คุ้มหลวงเมืองลำปาง เขลางค์นคร
- 487572_568271103260219_1198383109_n.jpg (36.65 KiB) เปิดดู 11399 ครั้ง
คำว่า "คุ้ม" ในภาษาล้านนานั้นมีความหมายถึงวังของเจ้านาย แต่ถ้าเป็นคุ้มของเจ้าผู้ครองนครนั้นจะเรียกกันว่า "คุ้มหลวง" เหมือนกันทุกเมือง แต่ "หอคำ" หรือ "ตำหนักทอง" ซึ่งมีอยู่ที่เมืองนครลำปางและนครน่านนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ในพระนิพนธ์อธิบายไว้ใน "บันทึกชี้แจงเรื่องคุ้มหลวงเมืองนครลำปาง" ว่า
"...ที่คุ้มหลวง...นี้เห็นจะเป็นที่เจ้าเมืองนครลำปางอยู่สืบกันมาตั้งแต่เจ้าฟ้าชายแก้ว ปรากฏแต่ว่า เมื่อพระยากาวิละเป็นเจ้าเมืองตั้งบ้านเรือนอยู่ในที่คุ้มหลวงนี้ ครั้นเมื่อไทยรบพุ่งขับไล่พม่าไปจากเมืองเชียงใหม่ได้แล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ โปรดให้พระยากาวิละย้ายไปเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ ทรงตั้งพระยาคำโสมน้องพระยากาวิละคนที่ ๒ เป็นเจ้าเมืองนครลำปาง พระยานครลำปางคำโสมก็อยู่ในที่คุ้มหลวงนี้ต่อมา ถึงรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงตั้งพระยาดวงทิพน้องพระยากาวิละคนที่ ๓ เป็นเจ้าเมืองนครลำปาง ก็อยู่ในที่คุ้มหลวงนี้ ในรัชกาลที่ ๒ นั้น ทรงสถาปนาพระยานครลำปางดวงทิพให้มีเกียรติยศสูงขึ้นเป็นพระเจ้านครลำปาง เหมือนอย่างที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้เคยทรงสถาปนาพระยาเชียงใหม่กาวิละขึ้นเป็นพระเจ้าเชียงใหม่ พระเจ้าเชียงใหม่เคยสร้างเวียงแก้ว (คือทำนองเป็นอย่างวัง) ขึ้นประดับเกียรติยศ เมื่อพระยานครลำปางดวงทิพได้เป็นพระเจ้านครลำปาง ก็สร้าง "หอคำ" (แปลว่าตำหนักทอง) ขึ้นประดับเกียรติยศในที่คุ้มหลวงนั้น แต่นั้นมาบริเวณที่คุ้มหลวงจึงมีชื่อเรียกเป็น ๒ ตอน เรียกว่าที่หอคำตอน ๑ คงเรียกว่าที่คุ้มหลวงตอน ๑ แต่ที่ทั้ง ๒ ตอนนั้นอยู่ในบริเวณที่อันเดียวกัน ต่อจากพระเจ้านครลำปางดวงทิพมา พระยาชัยวงศ พระยากันทิยะ พระยาน้อยอินทร ล้วนเป็นบุตรพระยานครลำปางคำโสม ได้เป็นเจ้าเมืองนครลำปางต่อกันมา ๓ คนจนตลอดรัชกาลที่ ๓ ถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยกตำแหน่งพระยานครลำปางขึ้นเป็นเจ้าประเทศราช และทรงตั้งเจ้าวรญาณรังสี บุตรพระยานครลำปางคำโสมอีกคน ๑ เป็นเจ้าเมืองนครลำปาง เจ้าเมืองนครลำปางทั้ง ๔ คนนี้ก็อยู่ในคุ้มหลวงทุกคน ถึงรัชกาลที่ ๕ เมื่อเจ้าวรญาณรังสีถึงพิราลัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งบุตรของพระเจ้านครลำปางดวงทิพย์ ขึ้นเป็นเจ้าพรหมาภิพงศธาดา เจ้าเมืองนครลำปาง ได้ยินว่า เจ้าพรหมาภิพงศธาดาปลูกเรือนอยู่ในที่ตอนหอคำไม่ได้มาอยู่ทางตอนคุ้มหลวง สันนิษฐานว่าเห็นจะเป็นด้วยไม่อยากจะไล่ครอบครัวของเจ้าวรญาณรังษี แต่ก็อยู่ในบริเวณอันเดียวกันดังกล่าวมาแล้ว
เมื่อเจ้าพรหมาภิพงศธาดาถึงพิราลัย ข้าพเจ้าได้เป็นตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งเจ้านันทชัย บุตรเจ้าวรญาณรังสี เป็นเจ้านรนันทชัยชวลิตเจ้านครลำปาง ก็มาอยู่ที่คุ้มหลวง๑ ครั้นเจ้านรนันทชัยชวลิตถึงพิราลัย ทรงตั้งเจ้าบุญทวงศบุตรเจ้านรนันทชัยชวลิต เป็นเจ้าบุญวาทย์วงศมานิตยเจ้านครลำปาง (เป็นครั้งแรกที่บุตรได้เป็นตำแหน่งเจ้านครลำปางต่อบิดา) ก็มาอยู่ในคุ้มหลวง ในสมัยเมื่อเจ้าบุญวาทย์วงศมานิตยเป็นเจ้านครลำปางประจวบเวลาจัดการเทศาภิบาล เช่นสร้างที่ว่าการมณฑล แลที่ว่าการเมืองเปนต้น เจ้าบุญวาทย์วงศมานิตยจึงให้เอาที่ตอนหอคำสร้างสำนักงานรัฐบาล แลสร้างตึกศาลากลางขึ้น เวลานั้นเหย้าเรือนในคุ้มหลวงทรุดโทรม เจ้าบุญวาทย์วงศมานิตมีใบบอกขอไม้สักของหลวงไปใช้ซ่อมแซมให้คืนดี ก็ได้อนุญาตให้ตามประสงค์ เจ้าบุญวาทย์วงศมานิตยถึงพิราลัยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ ไม่ได้ทำพินัยกรรมสั่งเรื่องทรัพยมฤดกไว้ จึงได้มีกรรมารจัดการเรื่องมฤดกเจ้าบุญวาทย์วงศมานิตย ส่วนเจ้าราชบุตร (แก้วเมืองพวน) นั้น เพราะได้เจ้าสีนวลธิดาเจ้าบุญวาทย์วงศมานิตเป็นภรรยา จึงได้เข้าไปอยู่ในคุ้มหลวงกับภรรยาตั้งแต่เจ้าบุญวาทย์วงศมานิตยยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเจ้าบุญวาทย์มานิตยถึงพิราลัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ให้เจ้าราชบุตรเป็นผู้รั้ง ยังหาได้ตำแหน่งเจ้านครลำปางไม่..."
เมื่อเจ้าราชบุตร (น้อยแก้วเมืองพวน ณ ลำปาง) ผู้รั้งเจ้านครลำปางถึงแก่กรรมเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ แล้ว นายบุญชู บุรพรรค์ ชาวเชียงใหม่ผู้เป็นเจ้าหนี้ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกองมรดกของเจ้าราชบุตรต่อศาลจังหวัดลำปาง เมื่อศาลจังหวัดลำปางมีคำพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีแล้ว โจทก์ได้ร้องขอ "...ยึดคุ้มหลวงเพื่อขายทอดตลาดใช้หนี้ตามคำพิพากษา..."๓ แต่มหาอำมาตย์โท พระยาราชนกูลฯ๔ สมุหเทศาภิบาลมณฑลพายัพ ได้ร้องขัดทรัพย์โดยยกความเห็นของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ว่า
"...
(ก) ที่คุ้มหลวงเมืองนครลำปางนั้นเป็นที่สำหรับผู้เป็นตำแหน่งเจ้าเมืองนครลำปางอยู่มาตั้งแต่ก่อนตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ แม้จะนับตั้งแต่รัชชกาลที่ ๑ มา เจ้าเมืองนครลำปางก็ได้อยู่สืบกันมาถึง ๑๐ คน
(ข) แม้เจ้าเมืองนครลำปางในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์อยู่ในเชื้อวงศ์เจ้าเจ็ดตนด้วยกันทั้งนั้นก็ดี ก็มิได้ปกครองคุ้มหลวงโดยฐานเป็นทายาทรับมฤดก แล้วแต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งผู้ใดให้เป็นเจ้าเมืองนครลำปาง ผู้นั้นก็มาอยู่ในที่คุ้มหลวงเพียงตลอดอายุ แล้วผู้เป็นตำแหน่งต่อก็อยู่ต่อไป ข้อนี้พึงเห็นได้ที่ทรงตั้งน้องให้เจ้าเมืองต่อพี่เป็นพื้น บุตรได้เป็นเจ้าเมืองนครลำปางต่อบิดาแต่เจ้าบุญวาทย์วงศมานิตคนเดียว
(ค) บรรดาผู้ที่เป็นเจ้าเมืองนครลำปาง แม้เจ้าบุญวาทย์วงศมานิตย์เองเมื่อก่อนเป็นตำแหน่งนั้นย่อมตั้งบ้านเรือนอยู่ที่อื่น ต่อเป็นเจ้าเมืองนครลำปางเมื่อใดจึงได้ย้ายมาอยู่ในคุ้มหลวงเป็นประเพณีสืบมาดังนี้..."๕
คดีนี้ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาเป็นที่สุดเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๓ ว่า คดีนี้ศาลจังหวัดลำปางได้ยกเหตุผลกล่าวไว้ในคำสั่งเป็นอเนกประการ และเหตุผลนั้นๆ ก็น่าฟังอยู่มาก
"...แต่ศาลอุทธรณ์หาเห็นพ้องด้วยไม่ เพราะหลักฐานคำพยานฝ่ายผู้ร้องพอฟังได้ว่าที่คุ้มรายนี้ได้ใช้เป็นที่พำนักสำหรับเจ้าผู้ครองนครโดยตำแหน่งสืบเนื่องกันมาเป็นเวลา ๔๕ ปีแล้ว กับยังใช้เป็นที่รับเสด็จเจ้านายเสมอมา อีกประการหนึ่งคุ้มหลวงมิได้จกเป็นมฤดกแก่ ผู้รับมฤดกของเจ้าผู้ครองนคร แต่ว่าเมื่อผู้ใดได้รับพระราชทานตั้งแต่งให้เป็นเจ้าผู้ครองนครแล้ว ก็เข้าสำนักอยู่ในคุ้มหลวงต่อไป และไม่เคยมีเจ้าผู้ครองนครตนใดกล่าวอ้างว่ามีกรรมสิทธิแม้แต่ประการใด ๆ ในคุ้มนี้เลย
อาศัยเหตุดั่งกล่าวนี้ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีฝ่ายผู้ร้องขัดทรัพย์นั้นฟังขึ้น เหตุฉะนั้นจึ่งพร้อมกันพิพากษากลับคำสั่งศาลเดิม ให้ถอนการยึดคุ้มหลวงเสีย และโดยเหตุที่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ปกครองคุ้มหลวงนี้มีความเลินเล่อมิได้จัดทำหลักฐานแสดงกรรมสิทธิไว้ให้ชัดแจ้ง และทั้งดำเนินคดีไม่เรียบร้อยมาแต่ต้น จึ่งให้ค่าธรรมเนียมเป็นภัพไป..." ๖
เมื่อศาลอุทธรณ์มีตำพิพากษาให้คุ้มหลวงนครลำปางตกเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐโดยสมบูรณ์แล้ว แต่เจ้าศรีนวล ณ ลำปาง ในฐานะทายาทของเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต และเครือญาติก็ยังคงพำนักอยู่ในเรือนอีกหลายหลังซึ่งปล๔กสร้างอยู่ภายในบริเวณคุ้มหลวงซึ่งมีที่ดินกว้างขวางอยู่ต่อกับศาลากลางจังหวัดลำปาง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ "...เจ้าศรีนวล ณ ลำปาง เจ้าฝนห่าแก้ว เจ้าอ้ม ณ ลำปาง ได้ยื่นเรื่องราวร้องทุกข์ต่อกระทรวงมหาดไทยว่า ได้รับความทุกข์ลำบากยากแค้น ขอให้ช่วยอุปการะ ..."๗ เมื่อกระทรวง มหาดไทยได้รับเรื่องร้องทุกข์ดังกล่าวแล้ว จึงได้มีดำริว่า "...หากเจ้าศรีนวล ณ ลำปาง ได้ย้ายครอบครัวออกไปนอกคุ้มหลวงแล้ว บ้านเรือนและที่ดินในคุ้มหลวงจะมีประโยชน์แก่ทางราชการมาก และถ้าจะรอกว่าเจ้าศรีนวล ณ ลำปาง หมดอายุ เกรงว่าอาจยังเป็นเวลาอีกนาน บ้านเรือนที่มีอยู่จะชำรุดทรุดโทรมยิ่งขึ้น..."๘ ในที่สุด กระทรวงมหาดไทยได้เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีว่า "เพื่อปลดเปลื้องความผูกพันอันรัฐบาลจะต้องอุปการะแก่เชื้อวงศ์เจ้าผู้ครองนครลำปางให้เสร็จสิ้นไป ถือเสมือนหนึ่งเป็นบำเหน็จแก่ตระกูลเจ้าผู้ครองนคร ลำปาง ซึ่งได้เคยทำคุณความดีแก่ทางราชการมาแล้ว กับทั้งทางราชการก็จะได้ใช้คุ้มหลวงนี้เป็นประโยชน์ในราชการสืบไป..."๙ คณะ รัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษาและมีมติเป็นที่สุดเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ว่า "
(๑) ...ให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการสร้างบ้านให้เจ้าศรีนวล ณ ลำปาง อาศัยอยู่ตลอดชีวิต
(๒) ให้จ่ายเงินให้เจ้าศรีนวล อีก ๓,๐๐๐ บาท โดยจ่ายจากเงินสำรองจ่ายในงบส่วนกลาง..."๑๐ คุ้มหลวงนครลำปางนี้จึงได้ใช้เป็นศาลากลางจัดลำปางโดยสมบูรณ์นับแต่บัดนั้น.
ที่มา
[หนังสืออนุสรณ์ 100 ปี โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย, 2541]