ตำนานเสาอินทขิล
เสาอินทขิลมีความสำคัญต่อชาวล้านนามาแต่โบราณ ชาวเมืองจะมีการสักการบูชาเสาอินทขิลอันเป็นหลักบ้านหลักเมืองเพื่อให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นเป็นประจำทุกปี ในด้านความเป็นมาของเสาอินทขิลนี้เท่าที่ปรากฏในหนังสือตำนานสุวรรณ คำแดง (พระมหาหมื่น วัดเจดีย์หลวง) แปลจากอักษรพื้นเมือง มีความดังนี้
ในกาลก่อนโน้นบริเวณที่ตั้งเมืองเชียงใหม่นี้ เป็นที่ตั้งของพวกลัวะ และลัวะที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ถูกผีรบกวนต่าง ๆ นานา เป็นที่เดือดร้อนทั่วบ้านทั่วเมือง พระอินทร์ทรงเล็งเห็นความเดือดร้อนของพลเมือง ก็คิดจะช่วยเหลือโดยบอกให้ชาวเมืองถือศีลรักษาสัตย์บ้านเมืองจึงจะรอดปลอดภัยจากอันตราย ชาวเมืองก็เชื่อฟังและปฏิบัติตาม เมื่อพระอินทร์ทรงเห็นว่าประชาชนมีสัตย์ดี ก็บันดาลให้บ่อเงินบ่อททองและบ่อแก้วขึ้นภายในเมือง และให้ชาวเมืองอธิบานเอาตามปรารถนา ในสมัยนั้นชาวเมืองชาวเมืองมีอยู่ ๙ ตระกูล คงจะเป็นตระกูลใหญ่ทำนองเดียวกับพวกแปะแช่ของพวกจีน พวกลัวะ ๙ ตระกูล นั้นแบ่งพวกออกเป็นหมู่ ๆ ละ ๓ ตระกลู ค่อยอยู่เฝ้ารักษาบ่อเงิน บ่อทอง บ่อแก้วนั้น พวกลัวะทั้ง ๙ ตระกูลนี้เองทำให้เมืองนี้ได้ชื่อว่า "เมืองนพบุรี” ต่อมาพวกลัวะ ๙ ตระกูลนั้นได้สร้างเวียงสวนดอกขึ้น และอาศัยอยู่ภายในเมืองนั้นด้วยความเจริญรุ่งเรืองเป็นเวลานาน บรรดาลัวะทั้งหลายต่างก็มีความสุขกายสบายใจ เพราะมีของทิพย์เกิดขึ้นในเมืองตน ไม่ต้องทำมาหากินก็มีใช้ ขุดเอาแก้ว เงิน ทอง จากบ่อไปขายก็พอกิน ต่อจากนั้น ข่าวความอุดมสมบูรณ์ของเมืองนพบุรีที่มีบ่อเงิน บ่อทอง บ่อแก้ว ของทิพย์เกิดขึ้นในเมืองก็เป็นที่เลื่องลือทั่วไปตามบ้านเมืองต่าง ๆ ทั้งใกล้เคียงและห่างไกล พวกหัวเมืองต่าง ๆ ที่ได้ข่าวก็จัดแต่งรี้พลเป็นกองศึก ยกมาชิงเอาบ่อเงิน บ่อทอง และบ่อแก้ว พวกชาวเมืองได้ทราบข่าวศึก ดังนั้นก็มีความตกใจและหวาดหวั่นในการศึก จึงนำความไปให้แก่ฤๅษีที่มาจำศีลภาวนาอยู่บริเวณนั้นให้ช่วยเหลือ ฤๅษีจึงเอาความนั้นไปกราบทูลให้พระอินทร์ พระอินทร์ทรงทราบจึงเรียกกุมภกัณฑ์มา ๒ ตน แล้วให้ไปขุดเอาอินทขิลแหลมกลางใส่สาแหรกเหล็ก ให้ยักษ์ ๒ ตนหาบลงไปฝังที่เมืองนพบุรี
เสาอินทขิลดังกล่าวมีฤทธิ์มาก ด้วยอิทธิอำนาจของเสาอินทขิลนี้เองบันดาลให้พวกข้าศึกที่ยกกองทัพมาชิงเอาเมืองนพบุรีนั้นกลายร่างเป็นพ่อค้ากันหมด และเมื่อพวกพ่อค้าเหล่านี้เข้าไปในเมืองพวกลัวะ ชาวเมืองก็ถามว่าท่านมีประสงค์ต้องการสิ่งใด หรือ พวกค้าก็ตอบว่า พวกเรามีความต้องการอยากได้แก้ว เงิน ทองในเมืองของท่าน พวกชาวเมืองก็ตอบว่า พวกท่านอยากได้สิ่งใดก็อธิษฐานเอาตามปรารถนาเถิด ขอแต่ให้ท่านรักษาความสัตย์ขอสิ่งใดจงเอาสิ่งนั้น อย่าได้ละโมบไปในสิ่งอื่นด้วยก็แล้วกัน พวกพ่อค้าได้ยินดังนั้นก็มีความดีใจ ต่างก็สัจจาธิษฐานบูชาขอแก้ว เงิน ทอง ตามความปรารถนา พวกพ่อค้าเหล่านี้ได้มาอธิษฐานขออยู่ทุกปี บางคนก็ทำพิธีขอเอาตามพิธีการของพวกลัวะ บางคนก็ถือวิสาสะหยิบเอาไปเสียเฉย ๆ ไม่ปฏิบัติบูชา มิหนำซ้ำยังเอาท่อนไม้ ก้อนอิฐ ก้อนดิน และอาจมีของโสโครกขว้างทิ้งบริเวณนั้น และไม่ทำพลีกรรมบวงสรวงยักษ์กุมภัณฑ์สองตนซึ่งเฝ้าอยู่นั้น กุมภัณฑ์สองตนเห็นว่าคนพวกนั้นไม่มีความนับถือตนก็โมโห จึงพากันหามเอาเสาอินทขิลกลับขึ้นไปบนสวรรค์เสีย นับแต่นั้นมาบ่อเงิน บ่อทองและบ่อแก้ว ก็เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ไป พวกคนนั้นจะไปขอสิ่งใดก็ไม่ได้ พวกพ่อค้าเหล่านั้นจึงขาดลาภ และต่างก็พากันกลับไปยังบ้านเกิดของตนเสีย
วันหนึ่งลัวะผู้เฒ่าซึ่งเคยไปสักการะบูชาเสาอินทขิลเสมอได้เอาดอกไม้ธูปเทียนจะไปบูชาเสาอินทขิล ก็ปรากฏว่ายักษ์สองตนนั้นหามกลับไปบนสวรรค์เสียแล้ว ลัวะผู้เฒ่ามีความเสียใจมากจึงร้องไห้ และละจากเพศคฤหัสถ์ไปถือเพศเป็นชีปะขาวบำเพ็ญศีลภาวนาอยู่ใต้ต้นยาง(เข้าใจว่าคงไม่ใช้ต้นยางปัจจุบัน) เป็นเวลานานถึง ๒ ปี ก็มีพระเถระเจ้าองค์หนึ่งจาริกมาแต่ป่าหิมพานต์ ทำนายว่าต่อไปบ้านเมืองนี้จะถึงกาลวิบัติ พวกลัวะได้ยินดังนั้นก็มีความกลัวเกรงเป็นอันมาก จึงขอร้องให้พระเถระองค์นั้นช่วยเหลือให้พ้นภัยพิบัติ พระเถระเจ้าก็รับปากว่าจะช่วยเหลือและได้ขึ้นไปขอความช่วยเหลือจากพระอินทร์ พระอินทร์ทรงบอกว่าให้ชาวเมืองหล่ออ่างขาง (กระทะใหญ่) หนา ๘ นิ้วมือขวาง กว้าง ๘ ศอก ขุดหลุมอีก ๘ ศอก แล้วให้ปั้นรูปสัตว์ทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้อย่างละ ๑ คู่ ปั้นรูปคนทั้งหลายให้ครบ ร้อยเอ็ดเจ็ดภาษา เป็นรูปช้าง ๑ คู่ ม้า ๑ คู่ แล้วเอารูปปั้นเหล่านี้ใส่ลงในกระทะเอาฝังในหลุมนั้น แล้วก็เอาดินถมไว้แล้วก่อสร้างเสาอินทขิลไว้เบื้องบน และให้ทำพิธีสักการะให้เหมือนกับเสาอินทขิลจริง ๆ เถิด บ้านเมืองจะพ้นภัยพิบัติ
พระเถระก็นำความมาแจ้งแก่ชาวเมืองได้ทราบ ดังนั้นจึงปฏิบัติตามคำของพระอินทร์ทุกประการ และได้ทำพิธีบวงสรวงสักการบูชาเสาอินทขิลและรูปกุมภกัณฑ์ที่สร้างเทียมไว้นั้นแทนเสาจริง ๆ มิได้ขาด บ้านเมืองก็รอดพ้นจากภัยพิบัติตามที่พระเถระได้ทำนายไว้ และเจริญรุ่งเรือวงสืบมา จึงมีประเพณีสักการบูชาเสาอินทขิลมาตราบกระทั่งทุกวันนี้
ครั้นต่อมาในสมัยพระเจ้ากาวิละได้ครองเมืองเชียงใหม่ พระองค์ทรงให้สร้างกุมภกัณฑ์และฤๅษีไว้พร้อมกับเสาอินทขิลนั้นด้วย เพื่อจะให้พวกประชาชนชาวเมืองได้สักการบูชาสืบต่อไป
ครูบาเถิ้ม เจ้าอาวาสวัดแสนฝางซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงทางไสยศาสตร์ครั้งนั้นเห็นว่ากุมภกัณฑ์เฮี้ยนนัก จึงทำพิธีไสยศาสตร์ตัดศีรษะกุมภกัณฑ์ออกเสีย แล้วต่อใหม่เพื่อให้ความขลังลดลง นับแต่นั้นมากุมภกัณฑ์ก็เลยลดความเฮี้ยนลงมาจนกระทั่งปัจจุบัน