Re: เกร็ดล้านนาและภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเหนือ โดย น้ำฟ้า
เมื่อ: ศุกร์ 29 พ.ย. 2013 10:12 pm
โคมลอยยี่เป็ง
เมื่อถึงวันลอยกระทงหรือเดือนยี่เป็งของทางภาคเหนือ สิ่งหนึ่งที่มักจะเห็นโดดเด่นกลางฟากฟ้ายามค่ำคืนนั่นก็คือ “โคมลอย” เอกลักษณ์อันงดงามอย่างหนึ่งของประเพณียี่เป็ง ซึ่งเป็นกิจกรรมอันเชิดหน้าชูตาเรียกรายได้เข้าประเทศไทยได้เป็นกอบเป็นกำนั่นเอง
ในอดีตนั้นโคมลอยทำจากกระดาษว่าว มีลักษณะทรงกลมคว่ำ วิธีการลอย คือ การจุดไฟ รมควัน เพื่อให้ควันนั้นดันโคมให้ลอยขึ้นฟ้า คนล้านนาโบราณจึงเรียกการลอยโคมในตอนกลางวันว่า “ว่าวลม” และถ้าลอยในตอนกลางคืนเรียกว่า “ว่าวไฟ” แต่ข้อเสียของโคมลอยแบบโบราณคือต้องใช้คนมาช่วยกันพยุงโคมและรมควันอยู่หลายคน จึงจะสามารถลอยโคมได้ ต่อมาจึงมีวิวัฒนาการ เปลี่ยนรูปแบบโคมลอยเสียใหม่ จนมีลักษณะแบบในปัจจุบันที่เป็นการจุดไฟลอยขึ้นฟ้า
ฟืนไฟเป็นสิ่งอันตราย ชาวล้านนาโบราณจึงมีกุศโลบายในการดูแลเรื่องนี้ โดยการปลูกฝังความเชื่อว่า หากใครลอยโคมแล้วตกลงมาก่อนลอยละลิ่วตามลมไปแสดงว่าเจ้าของโคมมีเคราะห์ ดังนั้นในแต่ละวัดที่ลอยโคม(ปกติชาวล้านนาจะไม่ลอยโคมที่บ้านแต่จะรวมตัวกันไปลอยโคมในวัด) จึงมักจะเขียนชื่อติดโคมเอาไว้ ถ้ามีใครเก็บได้ก็ให้ไปรับรางวัลได้ที่วัดดังกล่าว เป็นมิตรจิตมิตรใจ แต่ในระยะหลัง เมื่อโคมลอยกลายมาเป็นสิ่งดึงดูดเม็ดเงินจากการท่องเที่ยว จึงมีการนำโคมลอยออกมาขายนักท่องเที่ยวอยู่ทั่วไป โดยไม่เลือกสถานที่หรือเวลา ทำให้มีการลอยโคมเกิดขึ้นทั่วทุกพื้นที่ในประเทศไทย ไม่ว่าจะวันเกิด สงกรานต์ ปีใหม่ก็ล้วนแล้วแต่มีการลอยโคมยี่เป็งทั้งสิ้น แม้ในหลายพื้นที่จะมีลักษณะอากาศไม่เหมาะกับการลอยโคมเลยก็ตาม ท่านสังเกตหรือไม่ว่า คนทางภาคเหนือเขาลอยโคมกันในวันยี่เป็งแค่วันเดียว และเป็นช่วงของฤดูหนาวที่หนาวจริงๆ เมื่อคนยุคใหม่นำโคมลอยไปลอยในภาคอื่นๆซึ่งมีอากาศร้อนอบอ้าว ประกอบกับโคมลอยนั้นประดิษฐ์ขึ้นเพื่อธุรกิจ คนทำขายจึงทำอย่างง่ายๆ ส่งผลพวงให้เกิดไฟไหม้ได้ง่ายๆตามไปด้วย ทำให้หลายคนแสดงความเห็นว่าควรจะยกเลิกประเพณีนี้เสีย แล้วมันถูกไหม ที่คนยุคใหม่พากันทำอะไรอย่างมักง่ายแล้วมาโทษประเพณี เช่นนี้
คนล้านนาลอยโคมในวันยี่เป็ง เพื่อเป็นพุทธบูชาและเป็นการบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณี บนสรวงสวรรค์ ในตำนานสุวรรณโคมคำ ได้กล่าวถึงโคมลอยเอาไว้ว่า "อยะมหาเสนาบดีได้ประดิษฐ์โคมเพื่อจุดเป็นพุทธบูชาอยู่ริมท่าน้ำ" ดังนั้นสำหรับชาวล้านนาแล้ว โคมซึ่งเรานำไปลอยในคืนยี่เป็งนั้นเปี่ยมไปด้วยความศรัทธาอันแรงกล้า ชาวพุทธทั้งหลายจึงไม่ควรกระทำสิ่งใดที่ไม่ดีไม่งาม หรือนำสิ่งอันไม่เป็นมงคลใส่หรือห้อยบนโคม อีกประการหนึ่งโคมเป็นสิ่งที่ต้องลอยขึ้นฟ้า ลอยสูงเหนือวัดวาอารามและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงควรระมัดระวังให้ดี อย่าให้มีสิ่งใดแปลกปลอมเป็นอวมงคลอย่างเด็ดขาด
วัฒนธรรมประเพณีเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ เราทุกคนพึงควรรักษาเอาไว้ให้อยู่คู่กับแผ่นดินตราบนานเท่านาน กว่าจะรังสรรค์จนเกิดเป็นความเชื่ออันฝังรากลึกในจิตวิญญาณต้องใช้เวลานานเท่าใด จงอย่าปล่อยให้อคติและความหลงยุคมาบดบังดวงตาให้มืดบอดจนกลายเป็นคนไร้จิตวิญญาณ
เมื่อถึงวันลอยกระทงหรือเดือนยี่เป็งของทางภาคเหนือ สิ่งหนึ่งที่มักจะเห็นโดดเด่นกลางฟากฟ้ายามค่ำคืนนั่นก็คือ “โคมลอย” เอกลักษณ์อันงดงามอย่างหนึ่งของประเพณียี่เป็ง ซึ่งเป็นกิจกรรมอันเชิดหน้าชูตาเรียกรายได้เข้าประเทศไทยได้เป็นกอบเป็นกำนั่นเอง
ในอดีตนั้นโคมลอยทำจากกระดาษว่าว มีลักษณะทรงกลมคว่ำ วิธีการลอย คือ การจุดไฟ รมควัน เพื่อให้ควันนั้นดันโคมให้ลอยขึ้นฟ้า คนล้านนาโบราณจึงเรียกการลอยโคมในตอนกลางวันว่า “ว่าวลม” และถ้าลอยในตอนกลางคืนเรียกว่า “ว่าวไฟ” แต่ข้อเสียของโคมลอยแบบโบราณคือต้องใช้คนมาช่วยกันพยุงโคมและรมควันอยู่หลายคน จึงจะสามารถลอยโคมได้ ต่อมาจึงมีวิวัฒนาการ เปลี่ยนรูปแบบโคมลอยเสียใหม่ จนมีลักษณะแบบในปัจจุบันที่เป็นการจุดไฟลอยขึ้นฟ้า
ฟืนไฟเป็นสิ่งอันตราย ชาวล้านนาโบราณจึงมีกุศโลบายในการดูแลเรื่องนี้ โดยการปลูกฝังความเชื่อว่า หากใครลอยโคมแล้วตกลงมาก่อนลอยละลิ่วตามลมไปแสดงว่าเจ้าของโคมมีเคราะห์ ดังนั้นในแต่ละวัดที่ลอยโคม(ปกติชาวล้านนาจะไม่ลอยโคมที่บ้านแต่จะรวมตัวกันไปลอยโคมในวัด) จึงมักจะเขียนชื่อติดโคมเอาไว้ ถ้ามีใครเก็บได้ก็ให้ไปรับรางวัลได้ที่วัดดังกล่าว เป็นมิตรจิตมิตรใจ แต่ในระยะหลัง เมื่อโคมลอยกลายมาเป็นสิ่งดึงดูดเม็ดเงินจากการท่องเที่ยว จึงมีการนำโคมลอยออกมาขายนักท่องเที่ยวอยู่ทั่วไป โดยไม่เลือกสถานที่หรือเวลา ทำให้มีการลอยโคมเกิดขึ้นทั่วทุกพื้นที่ในประเทศไทย ไม่ว่าจะวันเกิด สงกรานต์ ปีใหม่ก็ล้วนแล้วแต่มีการลอยโคมยี่เป็งทั้งสิ้น แม้ในหลายพื้นที่จะมีลักษณะอากาศไม่เหมาะกับการลอยโคมเลยก็ตาม ท่านสังเกตหรือไม่ว่า คนทางภาคเหนือเขาลอยโคมกันในวันยี่เป็งแค่วันเดียว และเป็นช่วงของฤดูหนาวที่หนาวจริงๆ เมื่อคนยุคใหม่นำโคมลอยไปลอยในภาคอื่นๆซึ่งมีอากาศร้อนอบอ้าว ประกอบกับโคมลอยนั้นประดิษฐ์ขึ้นเพื่อธุรกิจ คนทำขายจึงทำอย่างง่ายๆ ส่งผลพวงให้เกิดไฟไหม้ได้ง่ายๆตามไปด้วย ทำให้หลายคนแสดงความเห็นว่าควรจะยกเลิกประเพณีนี้เสีย แล้วมันถูกไหม ที่คนยุคใหม่พากันทำอะไรอย่างมักง่ายแล้วมาโทษประเพณี เช่นนี้
คนล้านนาลอยโคมในวันยี่เป็ง เพื่อเป็นพุทธบูชาและเป็นการบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณี บนสรวงสวรรค์ ในตำนานสุวรรณโคมคำ ได้กล่าวถึงโคมลอยเอาไว้ว่า "อยะมหาเสนาบดีได้ประดิษฐ์โคมเพื่อจุดเป็นพุทธบูชาอยู่ริมท่าน้ำ" ดังนั้นสำหรับชาวล้านนาแล้ว โคมซึ่งเรานำไปลอยในคืนยี่เป็งนั้นเปี่ยมไปด้วยความศรัทธาอันแรงกล้า ชาวพุทธทั้งหลายจึงไม่ควรกระทำสิ่งใดที่ไม่ดีไม่งาม หรือนำสิ่งอันไม่เป็นมงคลใส่หรือห้อยบนโคม อีกประการหนึ่งโคมเป็นสิ่งที่ต้องลอยขึ้นฟ้า ลอยสูงเหนือวัดวาอารามและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงควรระมัดระวังให้ดี อย่าให้มีสิ่งใดแปลกปลอมเป็นอวมงคลอย่างเด็ดขาด
วัฒนธรรมประเพณีเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ เราทุกคนพึงควรรักษาเอาไว้ให้อยู่คู่กับแผ่นดินตราบนานเท่านาน กว่าจะรังสรรค์จนเกิดเป็นความเชื่ออันฝังรากลึกในจิตวิญญาณต้องใช้เวลานานเท่าใด จงอย่าปล่อยให้อคติและความหลงยุคมาบดบังดวงตาให้มืดบอดจนกลายเป็นคนไร้จิตวิญญาณ