รำลึกถึงหมอเมืองพร้าว “นายแพทย์อภิเชษฎ์ นาคเลขา”
- 11021170_1546287402289830_6225788734765648826_n.jpg (39.85 KiB) เปิดดู 11351 ครั้ง
หากทุกวิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็นครู แพทย์ ทหาร ตำรวจ ตุลาการ นักการเมือง ฯลฯ ตั้งมั่นอยู่ในจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพและมีอุดมการณ์จริงๆ ประเทศไทยเราคงจะก้าวหน้าไปมากกว่านี้หลายเท่านัก น่าเสียดายที่ปัจจุบันหาคนที่จะทำอะไรด้วยอุดมการณ์ได้ยาก มีเพียงคนที่ทำเพียงฉาบหน้าเสียเยอะ เมืองไทยจึงลุ่มๆดอนๆอย่างที่เป็นอยู่ คนในหลากหลายสายอาชีพให้ความสำคัญกับเงินมากจนลืมให้เกียรติตนเอง และมีอัตตาจนกลายเป็นคนเอาแต่ใจ หนักเข้าก็กลายเป็นเห็นแก่ตัว วันนี้จะมาเล่าถึงคนในอดีต หมอ..ที่มีความเป็นหมอด้วยอุดมการณ์ที่แท้จริง “นายแพทย์อภิเชษฎ์ นาคเลขา”
หลัง นายแพทย์อภิเชษฎ์ นาคเลขา หรือนามปากกาที่เป็นที่รู้จักคือ "หมอเมืองพร้าว" จบจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เขาถือเป็นผู้หนึ่งที่ได้สร้างตำนานการอุทิศตนเพื่อรักษาผู้เจ็บป่วยในชนบทห่างไกล โดยเลือกไปเป็นแพทย์ประจำสถานีอนามัย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ในช่วงหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และเขียนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความทุกข์ยากของคนไข้ในชนบทและการถูกคุกคามจากอิทธิพลท้องถิ่นมาลงในหนังสือหลายฉบับจนมีการรวมเป็นเล่มชื่อ "จดหมายจากหมอเมืองพร้าว" ต่อมาได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับแพทย์และบุคลากรด้านสาธารณสุขมุ่งมั่นที่จะออกไปทำงานในชนบทอย่างมากในช่วงดังกล่าว
นพ.อภิเชษฎ์ ผู้กลายเป็นตำนานในวงการแพทย์หมอชนบทของไทย เป็นที่รู้จักกันดีในนาม "หมอเมืองพร้าว" จากหนังสือ "เสี้ยวหนึ่งของชีวิต หมอเมืองพร้าว" ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์การทำงานในเมืองพร้าว อำเภอไกลปืนเที่ยงในจังหวัดเชียงใหม่ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองเมื่อ ๓๐ กว่าปีก่อน
ปี ๒๕๑๕ หลังจบการศึกษาจากแพทย์ศิริราช นพ.อภิเชษฎ์รักษาคนไข้ที่ยากไร้ใน อ.พร้าวอยู่ ๓ ปี ที่นั่น เขาไม่เพียงแต่จัดบริการด้านสาธารณสุขเท่านั้น หากยังช่วยชาวบ้านต่อสู้กับความอยุติธรรมในสังคม จนตัวเขาเองถูกข่มขู่โดย "ผู้มีบารมี" และถูกบังคับให้กลับเข้าเมืองในไม่กี่ปีถัดมา
หนังสือของนพ.อภิเชษฎ์เป็นที่นิยมและถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ "หมอเมืองพร้าว" ในปี ๒๕๒๒
แม้จะลาออกจากการเป็นแพทย์ของรัฐหลังกลับมาจากเมืองพร้าวแล้ว นพ.อภิเชษฎ์ก็ยังคงให้บริการแก่คนยากคนจนในคลินิกส่วนตัวย่านพระโขนง
วันที่ ๒๖ พ.ย. ๒๕๔๙ นพ.อภิเชษฎ์ นาคเลขา เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งหลอดอาหาร ด้วยวัย ๕๗ ปี ทิ้งคลินิก นางซินี ภรรยาของเขา(เป็นพยาบาลชาวฮ่องกงที่เขาได้พบในงานสัมมนาเกี่ยวกับบริการสาธารณสุขที่ศรีลังกาเมื่อ ๒๖ ปีก่อน) และลูกทั้งสองเอาไว้เบื้องหลัง
ถึงคุณหมอจะจากไปแล้ว แต่ความดีของคุณหมอจะคงอยู่คู่กับวงการแพทย์ไทยไปตลอดกาล