เรื่องเล่าจากโรงเรียนสตรีฝึกหัดครู : หนึ่งในความทรงจำของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา
- 001-563x353.jpg (82.96 KiB) เปิดดู 7537 ครั้ง
โรงเรียนฝึกหัดครูกรุงเก่าตั้งอยู่หลังพระราชวังจันทรเกษม จากนั้นย้ายไปที่ตำหนักเพนียดระยะหนึ่ง ก่อนจะย้ายมาตั้งอยู่ ณ กรมทหารเก่าในย่านหัวแหลม แล้วจึงแยกย่อยออกไปสร้างใหม่ ๒ โรงเรียน คือ โรงเรียนฝึกหัดครู พระนครศรีอยุธยา หรือ ฝค.อย. ซึ่งเป็นโรงเรียนฝึกหัดครูชาย มีที่ตั้งอยู่ข้างวัดวรโพธิ์ ทางตอนเหนือของตัวเมือง จึงมีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า “บ้านเหนือ” และ โรงเรียนสตรีฝึกหัดครู พระนครศรีอยุธยา หรือ สฝ.อย. ตั้งอยู่ริมคลองมะขามเรียง ด้านใต้ของตัวเมือง เรียกกันว่า “บ้านใต้” ก่อนที่โรงเรียนฝึกหัดครูชาย จะย้ายมาตั้งอยู่ ณ พื้นที่ปัจจุบันคือ ปลายถนนปรีดี พนมยงค์ (เดิมชื่อถนนโรจนะ) แล้วยกฐานะขึ้นเป็นวิทยาลัยครู ช่วงเวลานี้เองที่ได้ยุบรวมโรงเรียนสตรีฝึกหัดครูไว้ด้วยกัน ก่อนวิวัฒนาการมาเป็น สถาบันราชภัฏ และมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ตามลำดับ
เค้าโครงความเป็นมาของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา จึงมีโรงเรียนฝึกหัดครู พระนคร-
ศรีอยุธยา (ฝึกหัดครูชาย) เป็นแกนเรื่องหลัก ในขณะที่เนื้อเรื่องของโรงเรียนสตรีฝึกหัดครู เป็นโรงเรียนที่ถูกย้ายเข้ามาผนวกเป็นสถานศึกษาเดียวกัน สิ่งหนึ่งสะท้อนได้จากการใช้ “สีเหลือง-แดง” อันเป็นสีประจำโรงเรียนฝึกหัดครู พระนครศรีอยุธยา (ฝึกหัดครูชาย) มาใช้เป็นสีประจำมหาวิทยาลัยในปัจจุบัน ขณะที่ “สีเขียว-ขาว” ประจำโรงเรียนสตรีฝึกหัดครู กลับเหลือไว้เพียงความทรงจำ
อีกทั้งร่องรอยในอดีตของโรงเรียนฝึกหัดครู พระนครศรีอยุธยา (ฝึกหัดครูชาย) ก็ยังปรากฏเป็นอนุสรณ์อย่างโดดเด่นและชัดเจน โดยได้รับการดูแลรักษา และใช้งานให้เกิดคุณค่าเป็นอย่างดีจากโรงเรียนประตูชัย ซึ่งเป็นสถานศึกษาระดับประถมและมัธยมศึกษา ที่ครอบครองดินแดนและอาคารเรียนที่เคยเป็นของโรงเรียนฝึกหัดครูเดิม ตรงข้ามกับโรงเรียนสตรีฝึกหัดครู ที่ในปัจจุบันถูกปรับใช้เป็นหอพักนักศึกษาหญิงของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ทำให้จำต้องซ่อนตัวอยู่ในรั้วกำแพงทึบ เป็นพื้นที่หวงห้าม ตามระบบความปลอดภัยของหอพักนักศึกษา นอกจากนี้อาคารเรียนหลังเดียวของโรงเรียน ก็ไม่หลงเหลือร่องรอยใด ๆ เป็นอนุสรณ์แล้ว ส่วนเรือนนอน ๓ หลัง ที่ยังเหลืออยู่ก็มีสภาพทรุดโทรม และมีแนวโน้มที่จะถูกรื้อเพื่อสร้างอาคารหอพักใหม่แทนที่ในเวลานี้
ด้วยปัจจัยต่างๆ ข้างต้นนี้ เป็นเหตุผลที่ชาวราชภัฏรับรู้ถึงการมีอยู่ของโรงเรียนฝึกหัดครู พระนคร-
ศรีอยุธยา (ชาย) ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยาได้ดีกว่าโรงเรียนสตรีฝึกหัดครูพระนครศรีอยุธยา
คำถามที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ เบื้องหลังของกลุ่มเรือนนอนของโรงเรียนสตรีฝึกหัดครูที่หลงเหลืออยู่เหล่านั้น มีเรื่องราวใดๆ เกิดขึ้นบ้าง โดยเมื่อผู้เขียนได้มีโอกาสพูดคุยกับศิษย์เก่าแห่งโรงเรียนสตรีฝึกหัดครูหลายท่าน ประกอบด้วย อาจารย์เฉลียว มีแสงเพชร อดีตครูใหญ่โรงเรียนวัดพระญาติการาม ศิษย์เก่า รุ่นปี ๒๔๙๑ อาจารย์อัมรา หันตรา อดีตครูประจำโรงเรียนวัดหันตรา ศิษย์เก่ารุ่นปี ๒๕๐๓ และอาจารย์อวยพร สัมมาพะธะ อดีตอาจารย์โรงเรียนจอมสุรางค์อุปถัมภ์ ซึ่งเป็นศิษย์เก่า ปกศ.รุ่นที่ ๘ ก็ทำให้ทราบว่า หลังกำแพงหอพักนักศึกษาหญิงของมหาวิทยาลัยราชภัฏนั้น มีเรื่องเล่าจากความทรงจำต่างๆ ที่น่าจดจำซ่อนไว้มากมาย
โรงเรียนสตรีฝึกหัดครู พระนครศรีอยุธยา
โรงเรียนสตรีฝึกหัดครู พระนครศรีอยุธยา มีสัญลักษณ์เป็นรูปพระสรัสวดี ประทับเหนือนกยูง มีสี เขียว-ขาว อันเป็นสีของหางนกยูง เป็นสีประจำโรงเรียน มีพื้นที่ตั้งอยู่ริมถนนอู่ทอง เลียบคลองมะขามเรียง (คลองในไก่) พื้นที่ด้านหลัง (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นด้านหน้า) จรดถนนปรีดี พนมยงค์ เริ่มเปิดทำการศึกษา ณ สถานที่ตั้งนี้ เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๓ ก่อนที่จะย้ายไปรวมกับวิทยาลัยครู ใน พ.ศ.๒๕๐๙ รวมระยะเวลาที่สถานที่นี้ทำหน้าที่เป็นสถานบ่มเพาะครูสตรีในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และท้องถิ่นใกล้เคียง นานถึง ๒๖ ปี
ในช่วงแรกโรงเรียนสตรีฝึกหัดครู เปิดสอน ๓ ระดับ คือ หลักสูตรครูประชาบาล (ป.บ.) หลักสูตร “ครูประกาศนียบัตรจังหวัด” (ว.) และ วุฒิ ครูมูล (ป.) ต่อมารัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนระบบการศึกษา โรงเรียนจึงได้เปิดสอน ปกศ. ต้น ๒ ปี ๆ ละ ๒ ห้องเรียน ๆ ละ ๔๐ คน นักเรียนที่สำเร็จการศึกษาออกมา บ้างไปเป็นครูตามท้องถิ่นต่าง ๆ บ้างไปศึกษาต่อในระดับ ปกศ.สูง ที่โรงเรียนเทพสตรี จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นการศึกษาวิชาชีพครูในระดับที่สูงขึ้น
โรงเรียนสตรีฝึกหัดครู พระนครศรีอยุธยา เป็นโรงเรียนประจำ หรือที่เรียกกันว่า “โรงเรียนกินนอน” คือนักเรียนที่เข้ารับการศึกษา ไม่ว่าจะมีที่พำนักอยู่ไกล หรือใกล้ชิดติดขอบรั้วโรงเรียนเพียงใด ก็ต้องเข้ามากิน-อยู่ ในโรงเรียนตลอดการศึกษา สามารถกลับบ้านได้ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น ดังนั้น นอกจากโรงเรียนจะมีอาคารเรียนสำหรับทำการศึกษาแล้ว ยังต้องมีเรือนนอนเพื่อเป็นสถานที่พักของนักเรียนทุกคน ประกอบด้วยหอพักต่างๆ ที่มีชื่อตามลำดับดังนี้ หอพักนพมาศ (หอ ๑) หอพักศรีสุริโยทัย (หอ ๒) หอพักทั้ง ๒ หลัง สร้างเรียงต่อกัน และใช้แบบก่อสร้างเดียวกัน คือเป็นเรือนไม้สองชั้น ชั้นบนเป็นเรือนนอน ส่วนชั้นล่างเป็นใต้ถุนโล่ง โดยชั้นล่างของ หอ ๑ ใช้เป็นที่เรียนหนังสือด้วย ส่วนชั้นล่างของ หอ ๒ ใช้เป็นโรงอาหาร ต่อมามีการสร้างหอ ๓ เพิ่มขึ้นภายหลัง ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นหอพักที่ทันสมัยที่สุด เพราะเป็นอาคารคอนกรีต ชั้นบนเป็นเรือนนอนที่ติดมุ้งลวด ส่วนด้านล่างเป็นโถงกว้าง มีเวทีสำหรับใช้เป็นหอประชุมของโรงเรียน
ทั้งโรงเรียนฝึกหัดครู (ชาย) และโรงเรียนสตรีฝึกหัดครู เปิดสอนด้วยหลักสูตรเหมือนๆ กัน ชีวิตประจำวันจึงคล้ายคลึงกัน เพียงแต่แยกเป็นโรงเรียนชายและโรงเรียนสตรี มีกิจกรรมร่วมกันบ้างเป็นครั้งคราว เช่นงานออกร้านที่พระราชวังจันทรเกษม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้งสองโรงเรียนจะมีการจัดพิธีมอบประกาศนียบัตรสำเร็จการศึกษาร่วมกัน โดยผลัดกันเป็นเจ้าภาพคนละปี
อาจารย์อวยพร เล่าถึงบรรยากาศความคึกคักของพิธีมอบประกาศนียบัตร เมื่อคราวที่จัดขึ้นที่ “บ้านเหนือ” ไว้อย่างชุ่มชื่นหัวใจว่า ครั้งนั้น นักเรียนโรงเรียนฝึกหัดครูชายมีการแสดงร้องเพลงรำตัด ท่อนหนึ่งมีใจความที่จำได้ทุกวันนี้ว่า “หัวแหลม หัวรอ แล้วก็ต่อมาถึงสถานี ไปโน้น ไปโน้น มานี่ ลอดสะพานปรีดี เข้าสตรีฝึกหัดครู” ความหมายของเนื้อร้องนี้ ก็คือชื่อสถานที่ ตามรายทางจากโรงเรียนฝึกหัดครูชาย จนถึงโรงเรียนสตรีฝึกหัดครูนั่นเอง
กินข้าวหม้อเดียวกัน
การใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนประจำ ทำให้ช่วงเวลา ๒ ปีแห่งการศึกษา ของนักเรียนในโรงเรียนสตรีฝึกหัดครู มีความทรงจำที่ละเอียดลออ เทียบไม่ได้กับระยะเวลาเวลา ๒ ปี ในโรงเรียนปกติ เพราะทุกคนอยู่ร่วมกันในโรงเรียนตลอด ๒๔ ชั่วโมง ดังนั้น เมื่อเหล่าศิษย์เก่ามาพบปะกัน จึงมีเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตประจำวันในรั้วโรงเรียนมาเล่าขานกันได้อย่างไม่รู้จบ
หนึ่งในเรื่องที่อยู่ในความทรงจำของนักเรียนประจำเป็นอย่างดีก็คือเรื่องการกิน จนดูเหมือนประโยคที่ว่า “กินข้าวหม้อเดียวกัน” หรือที่จริงควรกล่าวว่ากินข้าวกระทะเดียวกัน จะเป็นคำที่ถูกเหล่าศิษย์เก่าหยิบขึ้นมาใช้อยู่เสมอๆ จนน่าสงสัยไปถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในประโยคนี้
อาจารย์เฉลียว ได้เล่าถึงเรื่องอาหารการกินในโรงเรียนไว้ว่า “พอถึงเวลารับประทานอาหาร นักเรียนทั้งหมดก็มาเข้าแถว แล้วเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะ ซึ่งมีอาหารวางรอไว้แล้ว อาหารมีกับข้าว ๒ อย่าง ส่วนใหญ่เป็นแกง กับผัดหรือทอด แกงที่ไม่เคยได้รับประทานอีกเลย คือ แกงมะเขือ แกงแบบแกงบอน แต่ใช้มะเขือยาวแทนบอน มื้อเช้าเป็นข้าวต้ม กับข้าวที่มีประจำคือผัดผักกาดเค็มใส่ไข่ ถั่วลิสงคั่ว ปลาทูเค็ม นาน ๆ จะมีข้าวแปลกปลอมเข้ามาเช่นมี ผัดผัก ไข่เจียว ไข่เค็ม ปลาตัวเล็ก บางครั้งก็เป็นข้าวต้มเครื่อง”
ระหว่างการรับประทานอาหารร่วมกันในโรงอาหาร นักเรียนทุกคนต้องรักษาระเบียบวินัยอย่างเข้มงวด อาจารย์อวยพรเล่าว่า ทุกคนต้องทานอาหารโดยไม่ให้ช้อน-ส้อมกระทบกัน หรือพูดคุยเสียงดังเกินควร มิเช่นนั้น จะมีเสียงกระดิ่งจากครูดังขึ้น เป็นอันรับรู้กันว่า ทุกคนต้องหยุดทานอาหารทันที แล้วค่อยเริ่มต้นทานใหม่อีกครั้งอย่างมีวินัย
นักเรียนหลาย ๆ คน ได้มีโอกาสทานอาหารที่ไม่เคยทานที่ไหนมาก่อน จึงย่อมมีเมนูที่ถูกปากบ้าง ไม่ถูกปากบ้าง ต้องจำใจฝืนรับประทานกันไป แต่ก็มีนักเรียนบางส่วนที่ไม่พอใจฝึมือการทำอาหารของแม่ครัว ถึงขั้นล้มโต๊ะเป็นการประท้วงก็เคยมีมาแล้ว อาจารย์อัมรา เล่าว่านักเรียนที่เบื่ออาหารของโรงเรียน และพอมีสตางค์ติดตัวอยู่บ้าง ก็มักแอบสั่ง “ก๋วยเตี๋ยวชักรอก” ขึ้นไปทานบนหอพัก คือเป็นก๋วยเตี๋ยวที่ลักลอบซื้อขายกับแม่ครัว และแอบส่งขึ้นไปทานบนหอพักโดยการชักรอกขึ้นไป ตามแต่กลวิธีและช่องทางที่มี
กรณีที่น่าสนใจ คือการแอบปรุงอาหารกันบนหอพัก โดยใช้วัตถุดิบเท่าที่หาได้ และประยุกต์วัสดุอุปกรณ์ในการทำ ดังเรื่องเล่าของอาจารย์เฉลียวและกลุ่มเพื่อนๆ ที่แอบลักมะละกอดิบในโรงเรียน มาทำส้มตำทานกันบนหอพัก แม้จะไม่มีอุปกรณ์สำคัญอย่างครกและสาก แต่ก็หาได้เป็นอุปสรรค์อย่างใด กลุ่มนักเรียนนำมะละกอดิบห่อใส่ผ้าแล้วทุบจนได้ที่ ใช้น้ำปลา พริก และถั่วลิสงที่เก็บสะสมจากอาหารเช้ามาเป็นเครื่องปรุงรส จนได้เมนูส้มตำสุดโปรด แจกจ่ายรับประทานกันทุกระดับชั้น จนขนานนามส้มตำจานนั้นว่าเป็น “ส้มตำประสานสามัคคี”
เรื่องเล่าต่าง ๆ เกี่ยวกับอาหารการกินของศิษย์เก่าโรงเรียนประจำนั้น ทำให้ตั้งข้อสังเกตว่า ความหมายของคำว่า “กินข้าวหม้อเดียวกัน” นั้น อาจลึกซึ้งเกินกว่าความหมายโดยผิวเผิน เพราะมันมิได้หมายถึงเรื่องกินอย่างเดียว แต่หมายรวมไปถึงประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นร่วมกันตลอดเวลา จนเกิดความรักใคร่กลมเกลียว ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากสำหรับคนรุ่นใหม่ที่กินอยู่แบบ “กินใคร-กินมัน” และ “ต่างคนต่างอยู่” จะเข้าใจในความหมายของคำนี้ได้อย่างรู้แจ้ง
ความประทับใจที่เกิดขึ้นในบ้านหลังที่สอง
เมื่อผู้ปกครองมอบความไว้วางใจ ฝากบุตรหลานเข้าสู่รั้วโรงเรียนประจำแล้ว โรงเรียนก็ทำหน้าที่เสมือนบ้านหลังที่สอง อาจารย์เฉลียว เล่าถึงความประทับใจที่เกิดขึ้นในโรงเรียนว่า ท่านประทับใจในความรักใคร่ สามัคคีกลมเกลียวของเหล่ามิตรสหาย โดยหยิบยกกรณีตัวอย่าง ที่มีผู้มาจ้างวานให้โรงเรียนทำพวงมาลัยสำหรับใช้ในงานพิธีต่างๆ ครูก็ได้ขอให้นักเรียนช่วยกันทำ สิ่งที่น่าประทับใจคือ ทุกคนเต็มใจอาสา ช่วยกันทำงานร่วมกันอย่างไม่เกี่ยงงอน โดยแบ่งหน้าที่กันทำงานจนสำเร็จลุล่วงเสมอ ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว
คล้ายกับความประทับใจของอาจารย์อวยพร ที่มีต่อเพื่อน ๆ และครูอาจารย์ โดยยกเหตุการณ์ที่ตราตรึงอยู่ในใจ ตอนจัดพานพุ่มดอกไม้ไหว้ครูว่า “เราใช้ดินเหนียว และดอกกุหลาบ ทำอย่างสวยงามมาก ตั้งใจให้เพื่อนที่หน้าตาสวยที่สุดในห้องถือพาน พอเช้ามาดอกไม้เหี่ยวหมดเลย เหลือแต่ดินเหนียว จึงเป็นที่ขำขันกันไปทั่ว ครูประจำชั้นท่านก็อายมากนะ แต่ไม่ดุเลยซักคำ แล้วคุณครูก็เอาท็อฟฟี่มาแจกคนละสองเม็ด แล้วพูดว่า ไปคิดกันเอาเองนะ ว่าทำไมครูถึงแจกท๊อฟฟี่” เหตุการณ์นี้ทำให้ ชั้นเรียนของอาจารย์อวยพร เป็นที่กล่าวขานไปทั่ว และมิวายที่งานไหว้ครูปีถัดมา ครูท่านเดิมยังทักอีกเสียด้วยว่า “ปีนี้ฉันคงไม่ต้องแจกท๊อฟฟี่อีกแล้วนะ” ความทรงจำปนรอยยิ้มนี้สะท้อนได้ถึงความประทับใจที่มีต่อเพื่อนๆ และครูประจำชั้น ที่เป็นประสบการณ์ให้อาจารย์อวยพร ใช้เป็นกรณีศึกษา ไว้สั่งสอนนักเรียนของท่านเรื่อยมา
ในขณะที่ความประทับใจของอาจารย์อัมรานั้น แตกต่างออกไปบ้าง เนื่องจากการเล่าเรียนของท่านมิได้ราบรื่นเหมือนคนอื่นนัก เพราะบิดาของท่านมีปัญหาด้านสุขภาพระหว่างทำการศึกษา จนกระทบกระเทือนต่อปัญหาทางการเงิน แต่ท่านก็ผ่านพ้นวิกฤตเหล่านั้นมาได้ด้วยความช่วยเหลือของอาจารย์หลายท่าน จนทำให้อาจารย์อัมราได้เข้าถึงความหมายของ “จิตวิญญาณแห่งความเป็นครู” ที่ปกป้องดูแลลูกศิษย์อย่างสุดหัวใจ โดยเฉพาะเมื่ออาจารย์อนงค์ สังขะวร ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ ทราบข่าวบิดาป่วย ก็พยายามหางานสร้างรายได้พิเศษมาให้ทำ และส่งเสริมให้ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น แต่ด้วยสภาพปัญหาครอบครัวในขณะนั้น ทำให้อาจารย์
อัมราจำต้องเข้าไปขออนุญาตที่จะไม่เรียนต่อในระดับ ปกศ.สูง ตามที่อาจารย์อนงค์ได้ฝากฝังไว้ ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ อาจารย์อนงค์ได้มอบเงินจำนวน ๑,๐๐๐ บาท ซึ่งในสมัยนั้นถือเป็นเงินจำนวนมาก มาให้เป็นการใช้จ่ายในการไปศึกษาต่อ
มิเพียงเท่านั้น แม้จะพ้นจากภาระของการเป็นศิษย์-อาจารย์ในโรงเรียนสตรีฝึกหัดครู พระนครศรีอยุธยาไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าหน้าที่ของการเป็นครูด้วยจิตวิญญาณนั้นมิได้สิ้นสุดลงเลย ซึ่งสะท้อนได้จากตอนที่ ท่านอาจารย์เฉลา วายวานนท์ ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่โรงเรียนสตรีฝึกหัดครู ทราบข่าวการเสียชีวิตของบิดาอาจารย์อัมรา ที่ขณะนั้นไปศึกษาอยู่ในระดับปกศ.สูง ที่จังหวัดลพบุรีแล้ว แต่ท่านอาจารย์เฉลา ยังได้มีความอุตสาหะนั่งเรือไปเรียกหาที่ท่าน้ำหน้าบ้าน เพื่อสั่งให้อาจารย์อัมราไปรับเงินช่วยเหลือทุกเดือน จนกระทั่งสำเร็จการศึกษา อาจารย์อัมราเล่าผ่านน้ำเสียงที่สั่นเครือ สะท้อนความตื้นตันใจ ในความเป็นครูด้วยจิตวิญญาณที่ผูกพัน ดูแลทุกข์-สุข และปรารถนาดีต่อลูกศิษย์อย่างเที่ยงแท้ แม้จะจบการศึกษาไปแล้วก็ตาม ด้วยเหตุนี้ตลอดระยะเวลาที่รับราชการ อาจารย์อัมราได้ปฏิบัติหน้าที่ครูด้วยจิตวิญญาณ เฉกเช่นที่เคยได้รับมา และแม้ภายหลังเกษียณราชการแล้ว อาจารย์ยังคงมีเมตตา และปรารถนาดีต่อศิษย์ไม่เสื่อมคลาย
ความปรารถนาของคุณครูที่อยากให้ศิษย์ได้ดี มีการศึกษาสูง ๆ ยังสอดคล้องตรงกับที่ อาจารย์อวยพร ได้จดจำคำพูดของครูอาจารย์ ที่เป็นผู้จุดประกายอนาคตแห่งการเป็นครูของท่านว่า “ถ้าเธออยู่แค่นี้ เธอจะไม่สามารถค้นพบตัวเธอเองหรอกนะ เธอต้องไปต่ออีกก้าวหนึ่ง อย่าเรียนแค่ ปกศ.ต้น ต้องพยายามไปต่อ ปกศ.สูงให้ได้ แล้วจะรู้ว่าเธอคือใคร” คำพูดเหล่านี้ ที่เป็นแรงผลักดันให้อาจารย์อวยพร สำเร็จการศึกษาระดับ ปกศ.สูง ออกมาเป็นอาจารย์ในโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดสมดังปณิธาน
ทุกย่างก้าวยังกรุ่นด้วยความทรงจำ
การใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนตลอด ๒๔ ชั่วโมง ทั้งกิน-นอน และเล่นอยู่ในนั้น ทำให้ทุกย่างก้าวของบรรดาศิษย์เก่า ยังเต็มไปด้วยเรื่องเล่าและความทรงจำอันหลากหลาย แตกต่างกันไป ตามประสบการณ์ของแต่ละคน
สถานที่ต่างๆ ตั้งแต่อาคารเรียน เรือนนอน โรงอาหาร บ่อน้ำ สวน และแม้แต่ป่าหลังโรงเรียน ล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวในลักษณะที่เป็นตอนสั้นๆ ซ่อนอยู่มากมาย เช่น ความทรงจำของ อาจารย์เฉลียว เกี่ยวกับป่าข้างโรงเรียน ท่านเล่าว่า ท่านและเพื่อนๆ ใช้เวลาว่างไปนั่งเล่นกันในป่าข้างรั้ว บ้างนั่งอ่านหนังสือ แต่ส่วนใหญ่นั่งเล่น นั่งคุยกันเสียมาก อาจารย์เฉลียวเล่าเกี่ยวกับเรือนนอนต่อไปอีกว่า เมื่อก่อนเรือนนอนทั้งสองหลังมีระเบียงทางเดินอยู่ด้านหน้า นักเรียนที่ยังมีการบ้านคั่งค้าง หรือต้องการดูหนังสือต่อหลังจากครูเคาะระฆังดับไฟแล้ว ก็จะจุดตะเกียง ปูเสื่ออ่านหนังสือ ในบางคืนมีปรากฏการณ์ดาวหางมาให้ชมจากระเบียงเรือนนอนด้วย แต่ภายหลังทางโรงเรียนได้มีการกั้นฝาเรือนเพื่อเพิ่มพื้นที่เรือนนอน ทำให้ระเบียงทางเดินในความทรงจำได้หมดสิ้นไป
นอกจากความทรงจำเกี่ยวกับอาคารเรียนและหอพักแล้ว แม้แต่ต้นไม้ ต้นกล้วย ต้นมะละกอทั้งหลาย ที่สามารถออกผลให้สามารถแอบเด็ดมารับประทานได้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำด้วยเหมือนกัน
อาจารย์อวยพรเล่าว่า ท่านและเพื่อนๆ เคยพากันจับจองต้นกล้วยที่อยู่มุมหนึ่งของโรงเรียน เมื่อสบโอกาสในเวลากลางคืน ก็แอบปีนเก้าอี้เพื่อไปตัดเครือกล้วยลงมา แต่กลับพลาดท่าล้มลงกับพื้น เกิดเสียงดัง
พลัก จนครูเวรเปิดหน้าต่างออกมาทักเสียงหลงว่า “อะไรน่ะ …” ในขณะที่เหล่านักเรียนผู้ก่อการได้แต่ซุ่มเงียบกริบอยู่ในความมืด กลายเป็นวีรกรรมที่เล่าขานกันอย่างครื้นเครงมาจนถึงวันนี้
ภายหลังจากจบการศึกษา ทุกคนแยกย้ายกันไปประกอบอาชีพ โดยมีส่วนหนึ่งทำงานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และครั้งใดที่เพื่อนร่วมรุ่นได้เดินทางมาจากต่างจังหวัด ก็มักจะขอร้องให้อาจารย์อวยพร พาไปเกาะรั้วยืนดูสภาพปัจจุบันของโรงเรียนอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็ขออนุญาตเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้าไปดูบริเวณรอบๆ เพื่อร่วมกันระลึกถึงอดีตที่น่าจดจำ ทั้งเรื่องราวของเพื่อนๆ ครู สถานที่ ตลอดจนวีรกรรมต่างๆ แต่สภาพปัจจุบัน ที่เคยเป็นโรงเรียนนั้น กลับแปรเปลี่ยนไปมาก จนท่าน และเพื่อนจำไม่ได้ว่าต้นไม้ที่เคยจองผลไม้เอาไว้อยู่ตรงไหนบ้าง
แม้สรรพสิ่งมีการผันเปลี่ยนไปอันเป็นกฎแห่งธรรมชาติ แม้ไม่มีระเบียงหอพักทอดยาวที่เคยนั่ง-นอนอ่านหนังสือและชมดาวหาง ไม่มีต้นไม้และป่าข้างรั้วโรงเรียน แต่ถึงกระนั้นเรื่องราวต่างๆ ก็มิได้ถูกพรากไปจากความทรงจำของศิษย์เก่าทั้งหลาย ยังคงตราตรึง และมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึง และได้ถ่ายทอดเรื่องราว เหล่านั้น
รอยเท้าที่นับวันยิ่งจางหาย
เมื่อทุกย่างก้าวยังคุกรุ่นด้วยความทรงจำ ทว่าสิ่งที่สวนทางกันคือรอยเท้าเหล่านั้น นับวันยิ่งจางหายไปตามกาลเวลา เพราะอาคารไม้ซึ่งเคยเป็นเรือนนอนของโรงเรียนสตรีฝึกหัดครูที่เหลืออยู่นั้น กำลังอยู่ในสภาพทรุดโทรม อันเนื่องมาจากอุทกภัยครั้งใหญ่ ในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ที่ได้สร้างความเสียหายไว้แสนสาหัส และยังต้องเผชิญกับศัตรูไม้ตัวฉกาจอย่างปลวก ที่กำลังช่วยกัน กัด กิน และกลืนอนุสรณ์สถานแห่งนี้อยู่ตลอดเวลา
ในปัจจุบัน อาคารหอ ๑ และหอ ๒ ถูกใช้เป็นสถานที่เก็บวัสดุอุปกรณ์ที่ไม่ประสงค์ใช้งานแล้ว ซึ่งหากต้องการรักษาอาคารไว้ ย่อมต้องใช้งบประมาณในการดูแลไม่น้อย เรือนไม้ที่ไม่ถูกใช้สอยนี้จึงอยู่ในแผนการณ์ที่จะรื้อ และทดแทนด้วยอาคารหอพักนักศึกษาหลังใหม่
แม้ดูเหมือนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากศิษย์เก่า แต่เบื้องลึกแล้ว ข่าวคราวความเคลื่อนไหว รวมถึงแผนดำเนินการต่าง ๆ อันจะเกิดขึ้นเพื่อลบรอยอดีตของโรงเรียนสตรีฝีกหัดครูนั้น ล้วนอยู่ในกระแสการติดตามของเหล่าศิษย์เก่าเสมอมา
อาจารย์อวยพรเล่าถึงบรรยากาศในงานเลี้ยงรุ่นศิษย์เก่าของโรงเรียนสตรีฝึกหัดครู พระนครศรีอยุธยา ในปีที่จัดขึ้น ณ สถานที่เดิมของโรงเรียนว่า บรรดาศิษย์เก่ารุ่นต่าง ๆ ที่มางานเลี้ยงต่างสลดใจกับสภาพความเป็นไปของเรือนนอนที่ถูกปลวกกัดกินจนได้รับความเสียหาย พากันหารือถึงแนวทางที่จะรักษาเยียวยาเรือนนอนที่เหลืออยู่ให้คงอยู่ต่อไป บ้างก็มีความเห็นว่าควรรวบรวมสิ่งของเครื่องใช้ ตราสัญลักษณ์ ใบประกาศต่างๆ หรือแบบเรียนที่ได้เก็บรักษากันไว้ มาจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ให้คนรุ่นหลังได้เข้าชม เพื่อรักษาคุณค่าของอาคาร อันเป็นการประวิงเวลาออกไป เพราะต่างไม่อยากให้ร่องรอยสุดท้ายของโรงเรียนถูกรื้อไปในช่วงชีวิตของพวกท่าน
ในขณะที่อาจารย์อัมรา แสดงความเห็นในประเด็นเดียวกันนี้ว่า “…เข้าใจเรื่องของการเกิด การเสื่อมเป็นเรื่องธรรมดา และเข้าใจว่าการใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าเป็นเรื่องจำเป็น แต่มันน่าจะได้ปรับปรุงพัฒนาสถานที่นั้นให้สามารถใช้ได้คุ้มค่า ในขณะเดียวกันก็ยังอยู่เป็นความทรงจำของผู้ที่ผูกพันอยู่ด้วย อยากให้เป็นการพัฒนา ไม่ใช่เป็นการรื้อถอนทำลาย.. อยากให้ยื้อไว้เท่าที่จะทำได้ แต่ว่าถ้ามันเหลือบ่ากว่าแรง ก็จนใจ..”
เรื่องราวของโรงเรียนสตรีฝึกหัดครู พระนครศรีอยุธยานี้ สะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มอาคารเก่าๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในหอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ซึ่งดูเหมือนไม่มีคุณค่าสำหรับคนรุ่นปัจจุบันนั้น แท้จริงแล้ว คืออนุสรณ์สถานที่เปี่ยมด้วยความทรงจำ และความภาคภูมิของบรรดาผู้ที่ได้รับการประสิทธิ์ประสาทวิชา จากโรงเรียนสตรีฝึกหัดครูแห่งนี้ และยังกล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในประจักษ์พยานแห่งความสถาพรของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยาที่ยังเหลืออยู่
ที่มา: คลังจดหมายเหตุจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ศูนย์ข้อมูลอยุธยาศึกษา สถาบันอยุธยาศึกษา