Re: จากอดีตสู่ความทรงจำ
เมื่อ: จันทร์ 14 ธ.ค. 2015 1:36 pm
ย่างพระบาท สองกษัตริย์ ที่ชเวดากอง
สำหรับประเทศพม่านั้น ถือว่าเป็นประเทศที่มีความละเอียดอ่อนในเรื่องความสัมพันธ์กับสยามประเทศของเราเป็นอย่างยิ่ง เพราะในอดีตที่ผ่านมา ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับพม่าส่วนใหญ่แล้ว ล้วนเป็นไปในเรื่องของการศึกสงครามเสียมากกว่า การเสด็จฯ เยือนประเทศพม่าของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ในปี พ.ศ. ๒๔๑๔ จึงถือว่าเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนพม่าในฐานะพระราชอาคันตุกะ ในลักษณะของความเป็นมิตรไมตรีเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพระมหากษัตริย์ไทย แต่อย่างไรก็ตาม การเสด็จฯ เยือนพม่าในปี พ.ศ. ๒๔๑๔ นั้นเป็นเพียงการเสด็จฯ ผ่านเพื่อที่จะไปสู่ประเทศอินเดียอันเป็นเป้าหมายสำคัญของการเสด็จฯ ในครั้งนั้นเท่านั้น
ในปี พ.ศ. ๒๔๑๔ รัชกาลที่๕ เสด็จพระราชดำเนินเยือนมหาเจดีย์ชเวดากองของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ในครั้งนั้นถือเป็นต้นแบบของการปฏิรูปขนบธรรมเนียม ประเพณี ในเรื่องของการใส่รองเท้าและการถอดรองเท้าในเขตศาสนสถานที่สำคัญของราชสำนักของไทย เนื่องจากในครั้งนี้ ได้ทรงใส่ฉลองพระบาทเข้าสู่เขตพุทธสถานและลานประทักษิณรอบองค์พระเจดีย์ชเวดากอง ซึ่งในครั้งนั้นได้ถูกนายพันตรี อี.บี. สลาเดน (Mayor E.B. Sladen) บันทึกเหตุการณ์เอาไว้ ซึ่งนายพันตรีสลาเดนผู้นี้คือผู้ที่ทำการถอดถอนพระเจ้าสีป่อออกจากการเป็นกษัตริย์ และเป็นผู้เชิญพระองค์ลงเรือทอเรียะ จากนครมัณฑะเลย์ เนรเทศไปสู่เมืองรัตนปุระในเขตบังคลาเทศ พันตรีสลาเดนบันทึกไว้ว่า “...ข้อสังเกตประการหนึ่งของการเสด็จครั้งนี้คือ พุทธศาสนาที่สยามและที่พม่านั้น มีข้อแตกต่างกันหลายประการ โดยเฉพาะในเรื่องความเคร่งของพุทธศาสนิกชนพม่า ในการปฏิบัติตนในพุทธสถานศักดิ์สิทธิ์ ประการหนึ่ง คือ พุทธศาสนิกชนสยามนั้น สวมรองเท้าเข้าพุทธสถาน อีกทั้งสิ่งของที่นำมาสักการบูชานั้น มิได้ปรุงแต่งให้งดงามตามขนบธรรมเนียมของพิธีกรรมทางพุทธศาสนา ดังที่พุทธศาสนิกชนในพม่าปฏิบัติในการถวายสักการะต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ผิดไปจากของพม่าดังกล่าว ก่อให้เกิดอคติในใจชาวพม่าอยู่บ้างว่า พุทธศาสนิกชนชาวสยามนั้น ได้รับขนบธรรมเนียมประเพณีตะวันตกมาก จนคล้อยตามฝรั่งที่ปลูกฝังให้ต่อต้านพิธีกรรมความเชื่อ และมีอคติต่อพุทธปฏิบัติอันเคร่งครัด และจริยวัตรอันงดงาม อย่างไรก็ตามชนพม่าส่วนใหญ่นั้น มีจิตใจงดงามและมีความอดกลั้นพอที่จะไม่ถือสากับเหตุการณ์ดังกล่าวของอาคันตุกะชาวสยาม ด้วยเห็นเป็นวาระสำคัญที่สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามเสด็จฯ และเป็นที่รับรู้ว่าฝ่ายสยามมิได้มีเจตนา และฝ่ายพม่าจึงไม่ถือโทษ...”
เหตุผลของ...”การสวมรองเท้าเข้าเขตพุทธสถาน...” ของรัชกาลที่ ๕ ในครั้งนั้นได้รับการอธิบายจากรัฐบาลสยามว่า.... “....ในการเสด็จฯ เยือนอังกฤษ พม่า (British Burma) ครั้งนั้น มิได้เป็นการเสด็จฯ เยือนพุกามประเทศ ในพระบรมโพธิสมภารของพระเจ้ากรุงอังวะ หากแต่เป็นการเสด็จฯ เยือน “จักรภพอังกฤษในลุ่มอิระวดี” จึงเป็นเหตุให้ทรงถือปฏิบัติตามธรรมเนียมนิยมตะวันตก ซึ่งธรรมเนียมอันสำคัญยิ่งในทัศนะผู้นำสยาม คือการ “ฉลองพระองค์” ให้เหมาะสมกับกาละและเทศะ ซึ่งในการนี้การฉลองพระองค์อย่างเป็นทางการ จะเน้นไปทางธรรมเนียมตะวันตก ตามสถานะของผู้ “ดำรงสิทธิเป็นเจ้าบ้าน” (คืออังกฤษ) และด้วยเหตุตามกล่าวนี้เอง จึงไม่ทรงเปลือยพระบาทในคราวเสด็จฯ เยือนมหาเจดีย์ชเวดากอง ด้วยเมื่อได้ฉลองพระองค์ตามธรรมเนียมตะวันตกนั้น โดยวัตรปฏิบัติแล้วจะต้องสวมรองเท้า หากมิสวมก็ถือได้ว่า เป็นผู้ไม่รู้ธรรมเนียมและผิดมารยาท ...”
ครั้นถึงรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศพม่า ในช่วงระหว่างวันที่ ๒ -๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๓ ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของนายอู วิน หม่อง ประธานาธิบดีของสหภาพพม่าในขณะนั้น ซึ่งถือว่าเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศเป็นประเทศที่ ๓ ในรัชกาลปัจจุบัน
วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๐๓ เวลาแปดโมงครึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระภูษาโจงผ้าม่วงสีแดงเลือดนก ฉลองพระองค์หรือเสื้อราชปะแตนขัดกระดุม 5 เม็ด พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงฉลองพระองค์ชุดผ้าไหมไทย พระภูษาซิ่นป้ายสำเร็จรูปเป็นไหมยกทองมีลายกรุยเชิง ตัวฉลองพระองค์เป็นฉลองพระองค์คอแหลมผ่าหน้าตลอด ขัดดุมเรียงเม็ดขี่กัน เข้ารูปที่บั้นพระองค์ จากบั้นพระองค์ปล่อยเป็นระบายผ้าเนื้อเดียวกัน ความยาวคลุมพระโสณีบน เสื้อเป็นเสื้อแขนยาวกรอมข้อพระหัตถ์ และทรงมีผ้าแพรไหมสะพายเฉียงจากพระอังศาซ้ายมาที่พระโสณีขวา บนพระอังศาซ้ายนั้นตรึงด้วยเข็มกลัดแบบไทยประดับเพชรซีก
การที่ทั้งสองพระองค์ฉลองพระองค์ตามแบบพระราชประเพณีของไทยในวันนั้นน่าจะมีมูลเหตุสืบเนื่องมาจากเรื่องของฉลองพระบาทในการเสด็จฯ มหาเจดีย์ชเวดากองในครั้งรัชกาลที่ ๕ เพราะในช่วง พ.ศ. ๒๕๐๓ ที่เสด็จฯ พระราชดำเนินยังมหาเจดีย์ชเวดากองนั้นเป็นช่วงเวลาที่ประเทศพม่าได้ปรับเปลี่ยนธรรมเนียมการถอดรองเท้าเข้าสู่ในเขตพุทธสถานแล้ว โดยกำหนดให้ทั้งชาวพื้นเมืองและชาวต่างชาติทุกคนต้องถอดรองเท้าเข้าสู่เขตพุทธาวาสของพม่า ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะที่ทรงเป็นองค์พระประมุขแห่งชาติไทยและเสด็จพระราชดำเนินยังประเทศพม่า ในฐานะที่ประเทศพม่าเป็นพุกามประเทศ แม้จะไม่ได้อยู่ในพระบรมโพธิสมภารแห่งพระเจ้ากรุงอังวะแล้วก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นประเทศเอกราช ไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษดังแต่ก่อน การที่พระองค์จะทรงฉลองพระองค์ตามแบบตะวันตกจึงจะเกิดการลักลั่นในการถอดฉลองพระบาท ด้วยเหตุนี้ เพื่อเป็นการพระราชทานพระราชไมตรีอันดีแก่ประเทศและชาวพม่า พระองค์จึงเลือกที่จะทรงฉลองพระองค์ตามขัตติยราชประเพณีไทยแต่ดั้งเดิมแทน
แม้ว่าในการเสด็จฯ ในครั้งนี้ ทางฝ่ายพม่าก็มิได้กะเกณฑ์ให้ทั้งสองพระองค์ต้องถอดฉลองพระบาทแต่อย่างใด หากแต่เป็นพระราชประสงค์ของทั้งสองพระองค์ที่จะถอดฉลองพระบาทและถุงพระบาท โดยเมื่อเสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งถึงบริเวณลานชั้นล่างขององค์พระเจดีย์ชเวดากอง รถยนต์พระที่นั่งได้จอดเทียบที่ศาลาใกล้กับลิฟต์อันเป็นทางเสด็จฯ ขึ้น ณ ศาลา ในวันนั้น ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา องคมนตรี ได้เป็นผู้ถอดฉลองพระบาทถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อเวลาเสด็จฯ ขึ้นถึงลานพระเจดีย์ได้มีประชาชนพม่าเฝ้าถวายช่อดอกกล้วยไม้พื้นเมืองแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อทรงรับแล้วได้ทรงดึงช่อดอกกล้วยไม้นั้นออกมาช่อหนึ่งและนำขึ้นประดับที่มวยพระเกศาด้านหลัง ซึ่งเป็นพระราชจริยวัตรที่ประทับใจชาวพม่าที่ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ ณ ที่นั้นเป็นอย่างยิ่ง
การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศพม่าในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการเสด็จพระราชดำเนินครั้งสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่า ถือว่าเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ไทยเสด็จฯ ไปทรงเยือนสหภาพพม่าอย่างเป็นทางการ และถือเป็นการวางรากฐานความสัมพันธ์และยืนยันถึงมิตรภาพไมตรีจิตฉันพี่น้องระหว่างทั้งสองประเทศที่มีต่อกัน ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนใกล้ชิดติดกันมากกว่า ๒,๔๐๐ กิโลเมตร สมดั่งพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่สนามบินมิงกาลาดอน นครย่างกุ้ง ในวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๐๓ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงว่า ...“..ยึดมั่นในสัจจะแห่งพระพุทธศาสนาอย่างเดียวกัน รวมทั้งการยึดมั่นในสันติภาพและความร่วมมือต่อกัน...” ถือเป็นการกระชับเกลียวสัมพันธ์ของประชาชนของทั้งสองประเทศไว้ทั้งในด้านวัฒนธรรม ศาสนา และความเป็นอยู่ซึ่งคล้ายคลึงกัน อันจะนำไปสู่ความเข้าใจอันดีและความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในโอกาสต่อไป
ที่มา รายการสืบสายใย ผ้าไทย-อาเซียน
สำหรับประเทศพม่านั้น ถือว่าเป็นประเทศที่มีความละเอียดอ่อนในเรื่องความสัมพันธ์กับสยามประเทศของเราเป็นอย่างยิ่ง เพราะในอดีตที่ผ่านมา ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับพม่าส่วนใหญ่แล้ว ล้วนเป็นไปในเรื่องของการศึกสงครามเสียมากกว่า การเสด็จฯ เยือนประเทศพม่าของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ในปี พ.ศ. ๒๔๑๔ จึงถือว่าเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนพม่าในฐานะพระราชอาคันตุกะ ในลักษณะของความเป็นมิตรไมตรีเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพระมหากษัตริย์ไทย แต่อย่างไรก็ตาม การเสด็จฯ เยือนพม่าในปี พ.ศ. ๒๔๑๔ นั้นเป็นเพียงการเสด็จฯ ผ่านเพื่อที่จะไปสู่ประเทศอินเดียอันเป็นเป้าหมายสำคัญของการเสด็จฯ ในครั้งนั้นเท่านั้น
ในปี พ.ศ. ๒๔๑๔ รัชกาลที่๕ เสด็จพระราชดำเนินเยือนมหาเจดีย์ชเวดากองของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ในครั้งนั้นถือเป็นต้นแบบของการปฏิรูปขนบธรรมเนียม ประเพณี ในเรื่องของการใส่รองเท้าและการถอดรองเท้าในเขตศาสนสถานที่สำคัญของราชสำนักของไทย เนื่องจากในครั้งนี้ ได้ทรงใส่ฉลองพระบาทเข้าสู่เขตพุทธสถานและลานประทักษิณรอบองค์พระเจดีย์ชเวดากอง ซึ่งในครั้งนั้นได้ถูกนายพันตรี อี.บี. สลาเดน (Mayor E.B. Sladen) บันทึกเหตุการณ์เอาไว้ ซึ่งนายพันตรีสลาเดนผู้นี้คือผู้ที่ทำการถอดถอนพระเจ้าสีป่อออกจากการเป็นกษัตริย์ และเป็นผู้เชิญพระองค์ลงเรือทอเรียะ จากนครมัณฑะเลย์ เนรเทศไปสู่เมืองรัตนปุระในเขตบังคลาเทศ พันตรีสลาเดนบันทึกไว้ว่า “...ข้อสังเกตประการหนึ่งของการเสด็จครั้งนี้คือ พุทธศาสนาที่สยามและที่พม่านั้น มีข้อแตกต่างกันหลายประการ โดยเฉพาะในเรื่องความเคร่งของพุทธศาสนิกชนพม่า ในการปฏิบัติตนในพุทธสถานศักดิ์สิทธิ์ ประการหนึ่ง คือ พุทธศาสนิกชนสยามนั้น สวมรองเท้าเข้าพุทธสถาน อีกทั้งสิ่งของที่นำมาสักการบูชานั้น มิได้ปรุงแต่งให้งดงามตามขนบธรรมเนียมของพิธีกรรมทางพุทธศาสนา ดังที่พุทธศาสนิกชนในพม่าปฏิบัติในการถวายสักการะต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ผิดไปจากของพม่าดังกล่าว ก่อให้เกิดอคติในใจชาวพม่าอยู่บ้างว่า พุทธศาสนิกชนชาวสยามนั้น ได้รับขนบธรรมเนียมประเพณีตะวันตกมาก จนคล้อยตามฝรั่งที่ปลูกฝังให้ต่อต้านพิธีกรรมความเชื่อ และมีอคติต่อพุทธปฏิบัติอันเคร่งครัด และจริยวัตรอันงดงาม อย่างไรก็ตามชนพม่าส่วนใหญ่นั้น มีจิตใจงดงามและมีความอดกลั้นพอที่จะไม่ถือสากับเหตุการณ์ดังกล่าวของอาคันตุกะชาวสยาม ด้วยเห็นเป็นวาระสำคัญที่สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามเสด็จฯ และเป็นที่รับรู้ว่าฝ่ายสยามมิได้มีเจตนา และฝ่ายพม่าจึงไม่ถือโทษ...”
เหตุผลของ...”การสวมรองเท้าเข้าเขตพุทธสถาน...” ของรัชกาลที่ ๕ ในครั้งนั้นได้รับการอธิบายจากรัฐบาลสยามว่า.... “....ในการเสด็จฯ เยือนอังกฤษ พม่า (British Burma) ครั้งนั้น มิได้เป็นการเสด็จฯ เยือนพุกามประเทศ ในพระบรมโพธิสมภารของพระเจ้ากรุงอังวะ หากแต่เป็นการเสด็จฯ เยือน “จักรภพอังกฤษในลุ่มอิระวดี” จึงเป็นเหตุให้ทรงถือปฏิบัติตามธรรมเนียมนิยมตะวันตก ซึ่งธรรมเนียมอันสำคัญยิ่งในทัศนะผู้นำสยาม คือการ “ฉลองพระองค์” ให้เหมาะสมกับกาละและเทศะ ซึ่งในการนี้การฉลองพระองค์อย่างเป็นทางการ จะเน้นไปทางธรรมเนียมตะวันตก ตามสถานะของผู้ “ดำรงสิทธิเป็นเจ้าบ้าน” (คืออังกฤษ) และด้วยเหตุตามกล่าวนี้เอง จึงไม่ทรงเปลือยพระบาทในคราวเสด็จฯ เยือนมหาเจดีย์ชเวดากอง ด้วยเมื่อได้ฉลองพระองค์ตามธรรมเนียมตะวันตกนั้น โดยวัตรปฏิบัติแล้วจะต้องสวมรองเท้า หากมิสวมก็ถือได้ว่า เป็นผู้ไม่รู้ธรรมเนียมและผิดมารยาท ...”
ครั้นถึงรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศพม่า ในช่วงระหว่างวันที่ ๒ -๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๓ ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของนายอู วิน หม่อง ประธานาธิบดีของสหภาพพม่าในขณะนั้น ซึ่งถือว่าเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศเป็นประเทศที่ ๓ ในรัชกาลปัจจุบัน
วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๐๓ เวลาแปดโมงครึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระภูษาโจงผ้าม่วงสีแดงเลือดนก ฉลองพระองค์หรือเสื้อราชปะแตนขัดกระดุม 5 เม็ด พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงฉลองพระองค์ชุดผ้าไหมไทย พระภูษาซิ่นป้ายสำเร็จรูปเป็นไหมยกทองมีลายกรุยเชิง ตัวฉลองพระองค์เป็นฉลองพระองค์คอแหลมผ่าหน้าตลอด ขัดดุมเรียงเม็ดขี่กัน เข้ารูปที่บั้นพระองค์ จากบั้นพระองค์ปล่อยเป็นระบายผ้าเนื้อเดียวกัน ความยาวคลุมพระโสณีบน เสื้อเป็นเสื้อแขนยาวกรอมข้อพระหัตถ์ และทรงมีผ้าแพรไหมสะพายเฉียงจากพระอังศาซ้ายมาที่พระโสณีขวา บนพระอังศาซ้ายนั้นตรึงด้วยเข็มกลัดแบบไทยประดับเพชรซีก
การที่ทั้งสองพระองค์ฉลองพระองค์ตามแบบพระราชประเพณีของไทยในวันนั้นน่าจะมีมูลเหตุสืบเนื่องมาจากเรื่องของฉลองพระบาทในการเสด็จฯ มหาเจดีย์ชเวดากองในครั้งรัชกาลที่ ๕ เพราะในช่วง พ.ศ. ๒๕๐๓ ที่เสด็จฯ พระราชดำเนินยังมหาเจดีย์ชเวดากองนั้นเป็นช่วงเวลาที่ประเทศพม่าได้ปรับเปลี่ยนธรรมเนียมการถอดรองเท้าเข้าสู่ในเขตพุทธสถานแล้ว โดยกำหนดให้ทั้งชาวพื้นเมืองและชาวต่างชาติทุกคนต้องถอดรองเท้าเข้าสู่เขตพุทธาวาสของพม่า ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะที่ทรงเป็นองค์พระประมุขแห่งชาติไทยและเสด็จพระราชดำเนินยังประเทศพม่า ในฐานะที่ประเทศพม่าเป็นพุกามประเทศ แม้จะไม่ได้อยู่ในพระบรมโพธิสมภารแห่งพระเจ้ากรุงอังวะแล้วก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นประเทศเอกราช ไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษดังแต่ก่อน การที่พระองค์จะทรงฉลองพระองค์ตามแบบตะวันตกจึงจะเกิดการลักลั่นในการถอดฉลองพระบาท ด้วยเหตุนี้ เพื่อเป็นการพระราชทานพระราชไมตรีอันดีแก่ประเทศและชาวพม่า พระองค์จึงเลือกที่จะทรงฉลองพระองค์ตามขัตติยราชประเพณีไทยแต่ดั้งเดิมแทน
แม้ว่าในการเสด็จฯ ในครั้งนี้ ทางฝ่ายพม่าก็มิได้กะเกณฑ์ให้ทั้งสองพระองค์ต้องถอดฉลองพระบาทแต่อย่างใด หากแต่เป็นพระราชประสงค์ของทั้งสองพระองค์ที่จะถอดฉลองพระบาทและถุงพระบาท โดยเมื่อเสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งถึงบริเวณลานชั้นล่างขององค์พระเจดีย์ชเวดากอง รถยนต์พระที่นั่งได้จอดเทียบที่ศาลาใกล้กับลิฟต์อันเป็นทางเสด็จฯ ขึ้น ณ ศาลา ในวันนั้น ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา องคมนตรี ได้เป็นผู้ถอดฉลองพระบาทถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อเวลาเสด็จฯ ขึ้นถึงลานพระเจดีย์ได้มีประชาชนพม่าเฝ้าถวายช่อดอกกล้วยไม้พื้นเมืองแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อทรงรับแล้วได้ทรงดึงช่อดอกกล้วยไม้นั้นออกมาช่อหนึ่งและนำขึ้นประดับที่มวยพระเกศาด้านหลัง ซึ่งเป็นพระราชจริยวัตรที่ประทับใจชาวพม่าที่ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ ณ ที่นั้นเป็นอย่างยิ่ง
การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศพม่าในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการเสด็จพระราชดำเนินครั้งสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่า ถือว่าเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ไทยเสด็จฯ ไปทรงเยือนสหภาพพม่าอย่างเป็นทางการ และถือเป็นการวางรากฐานความสัมพันธ์และยืนยันถึงมิตรภาพไมตรีจิตฉันพี่น้องระหว่างทั้งสองประเทศที่มีต่อกัน ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนใกล้ชิดติดกันมากกว่า ๒,๔๐๐ กิโลเมตร สมดั่งพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่สนามบินมิงกาลาดอน นครย่างกุ้ง ในวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๐๓ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงว่า ...“..ยึดมั่นในสัจจะแห่งพระพุทธศาสนาอย่างเดียวกัน รวมทั้งการยึดมั่นในสันติภาพและความร่วมมือต่อกัน...” ถือเป็นการกระชับเกลียวสัมพันธ์ของประชาชนของทั้งสองประเทศไว้ทั้งในด้านวัฒนธรรม ศาสนา และความเป็นอยู่ซึ่งคล้ายคลึงกัน อันจะนำไปสู่ความเข้าใจอันดีและความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในโอกาสต่อไป
ที่มา รายการสืบสายใย ผ้าไทย-อาเซียน