Re: จากอดีตสู่ความทรงจำ
เมื่อ: ศุกร์ 23 มี.ค. 2018 6:22 am
พันท้ายนรสิงห์ นายท้ายเรือผู้ซื่อสัตย์ในสมัยพระเจ้าเสือ
ภาพจากอินเทอร์เน็ต
ตามพระราชพงศาวดาร บันทึกว่า พันท้ายนรสิงห์ มีชื่อเดิมว่า "สิน" เป็นชาวบ้านนรสิงห์ แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ (ปัจจุบัน คือ อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง) มีภรรยาชื่อ "นวล" หรือ "ศรีนวล" ได้รู้จักกับพระเจ้าเสือด้วยการแข่งขันชกมวยไทยกัน เมื่อพระองค์แปลงองค์มาเป็นชาวบ้านธรรมดาและทรงโปรดในอุปนิสัยใจคอ ต่อมาได้กลายมาเป็นนายท้ายเรือพระที่นั่งของพระเจ้าเสือ ในบรรดาศักดิ์ พัน
เมื่อครั้งที่พระเจ้าเสือ เสด็จโดยเรือพระที่นั่งเอกไชย ประพาสเพื่อทรงเบ็ด ณ ปากน้ำเมืองสาครบุรี เมื่อเรือพระที่นั่งถึงตำบลโคกขามซึ่งเป็นคลองคดเคี้ยวและมีกระแสน้ำเชี่ยวกราก พันท้ายนรสิงห์ซึ่งถือท้ายเรือพระที่นั่งมิสามารถคัดแก้ไขได้ทัน โขนเรือพระที่นั่งกระทบกับกิ่งไม้หักตกลงไปในน้ำ พันท้ายนรสิงห์จึงได้กระโดดขึ้นฝั่งแล้วกราบทูลให้ทรงลงพระอาญาตามพระกำหนดถึงสามครั้งด้วยกัน เนื่องจากในครั้งแรก พระเจ้าเสือพระราชทานอภัยโทษ เพราะเห็นว่าเป็นอุบัติเหตุสุดวิสัย ครั้งที่สองก็รับสั่งให้สร้างรูปปั้นปลอมแล้วตัดหัวรูปปั้นนั้นแทน แต่ท้ายสุดก็ได้ตรัสสั่งให้ประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะพันท้ายนรสิงห์ตามคำขอ ในเวลาเช้าตรู่ ตรงกับวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๓ พ.ศ. ๓๓๔๑ แล้วสร้างศาลไม้ขนาดเล็ก ลักษณะเป็นศาลไม้ในสมัยปัจจุบัน หลังคามุงกระเบื้องดินเผาหางมน พื้นศาลเป็นไม้ยกชั้น ๒ ชั้น มีเสารองรับ ๖ เสา พร้อมกับศีรษะของพันท้ายนรสิงห์และโขนเรือเอกไชยขึ้นตั้งไว้บูชาพร้อมกัน
ภายหลังพระเจ้าเสือได้ทรงให้พระยาราชสงคราม คุมไพร่พลจำนวน ๓,๐๐๐ คน ทำการขุดคลองลัดคลองโคกขามที่คดเคี้ยว ไปออกที่บริเวณแม่น้ำท่าจีน กว้าง ๕ วา ลึก ๖ ศอก สร้างเสร็จในสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ พ.ศ. ๒๒๕๒ ได้พระราชทานนามคลองนี้ว่าคลองสนามไชย ต่อมาเรียกเป็นคลองมหาชัย ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเมืองมหาชัย แต่ชาวบ้านเรียกว่าคลองถ่าน ปัจจุบันชาวบ้านฝั่งธนบุรี เรียกชื่อว่า คลองด่าน
พันท้ายนรสิงห์เป็นเรื่องจริงหรือตำนาน
เรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ มีปรากฏอยู่เฉพาะพงศาวดารที่ชำระขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ ได้แก่ พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาได้เล่าเรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ไว้ละเอียดพิสดารนัก ในขณะที่พงศาวดารที่ชำระในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายคือ พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) หรือพงศาวดารอีกเล่มที่ชำระในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นิคือ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) นั้นไม่ปรากฏเรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์เลย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เรื่องพันท้ายนรสิงห์นั้น อยู่ดี ๆ ก็โผล่ขึ้นมาในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาซึ่งชำระในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
นอกจากนี้ ไม่มีหลักฐานใดกล่าวถึงเรื่องราวแวดล้อมที่เรารับรู้กันว่ามีคนวางแผนจะซุ่มประทุษร้ายพระเจ้าเสือจนเป็นเหตุให้พันท้าย “จงใจ” ทำให้หัวเรือพระที่นั่งหักนั้นเลย ส่วนในประวัติศาสตร์ถ้าหากจะมีการดักสังหารผู้ที่เดินทางด้วยทางเรือนั้น เห็นจะมีคราวที่ขุนพิเรนทรเทพซุ่มสังหารขุนวรวงศาธิราช ในคราวที่เสด็จโดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคผ่านคลองสระบัว
อย่างไรก็ตามจากการศึกษาค้นคว้าหลักฐานสมัยอยุธยาทั้งสามชิ้น ผมพบว่าไม่มีการกล่าวถึงเรื่องพันท้ายนรสิงห์ไว้เลย แต่พบเรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ปรากฏอย่างละเอียดในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ที่แต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ หรืออย่างช้าที่สุดก็สมัยต้นรัชกาลที่ ๒ (ที่มา สมเกียรติ วันทะนะ, ๒๕๒๗, น. ๓๖)
เรื่องพันท้ายนรสิงห์มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในพระราชพงศาวดารฉบับบริติชมิวเซียมกรุงลอนดอน โดยเป็นฉบับที่ชำระในสมัยรัชกาลที่ ๑ โดยรัชกาลที่ ๒ เมื่อครั้งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายรัชกาลที่ ๑ ในปีเถาะ จุลศักราช ๑๑๖๙(พ.ศ.๒๓๕๐) ไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้ชำระ แต่ดูจากเนื้อความน่าจะชำระเพิ่มเติมจากพระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม)ที่ชำระก่อนหน้าใน จ.ศ.๑๑๔๗(พ.ศ.๒๓๓๘) โดยมีเนื้อความพิศดารและอิทธิปาฏิหาริย์ สำนวนโวหารบทสนทนาจำนวนมากเพิ่มขึ้นมาผิดจากคติการเขียนพงศาวดารเก่าๆอย่างชัดเจน เรื่องของพันท้ายนรสิงห์ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ถูกเพิ่มขึ้นมา จากนั้นพงศาวดารฉบับที่ชำระหลังจากนี้ก็จะมีเรื่องพันท้ายหมดทุกเล่ม
เนื้อหาของพันท้ายนรสิงห์ในพงศาวดารคือ 'ลุศักราชได้ ๑๐๖๖ ปีวอก ฉศก ขณะนั้นสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเสด็จด้วยเรือพระที่นั่งเอกชัย จะไปประพาสทรงเบ็ด ณ ปากน้ำเมืองสาครบุรี ครั้นเรือพระที่นั่งไปถึงตำบลโคกขาม และครองที่นั้นคดเคี้ยวนัก และพันท้ายนรสิงห์ซึ่งถือท้ายเรือพระที่นั่งคัดแก้ไขมิทันที และศีรษะเรือพระที่นั่งนั้นโดนกระทบกิ่งไม้อันใหญ่เข้า ก็หักตกลงในน้ำ พันท้ายนรสิงห์เห็นดังนั้นก็ตกใจ จึ่งโดดขึ้นเสียจากเรือพระที่นั่ง และขึ้นอยู่บนฝั่งแล้วร้องกราบทูลพระกรุณาว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้า พระราชอาญาเป็นล้นเกล้า ขอจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ทำศาลขึ้นที่นี้สูงประมาณเพียงตา แล้วจงตัดเอาศีรษะข้าพระพุทธเจ้ากับศีรษะเรือพระที่นั่งซึ่งหักตกน้ำลงไปนั้น ขึ้นบวงสรวงไว้ด้วยกันที่นี้ ตามพระราชกำหนดในบทพระอัยการเถิด จึ่งมีพระราชโองการตรัสว่า ไอ้พันท้ายซึ่งโทษเอ็งนั้นถึงตายก็ชอบอยู่แล้ว แต่ทว่าบัดนี้กูจะยกโทษเสีย ไม่เอาโทษเอ็งแล้ว เอ็งจงคืนมาลงเรือไปด้วยกูเถิด ซึ่งศีรษะเรือที่หักนั้น กูจะทำต่อเอาใหม่ แล้วเอ็งอย่าวิตกเลย พันท้ายนรสิงห์จึ่งกราบทูลว่า ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดมิให้เอาโทษข้าพระพุทธเจ้านั้น พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ แต่ทว่าจะเสียขนบธรรมเนียมในพระราชกำหนดกฎหมายไป และซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมาละพระราชกำหนดสำหรับแผ่นดินเสียดงนี้ ดูมิควรยิ่งนัก นานไปภายหน้าเห็นว่าคนทั้งปวงจะล่วงครหาติเตียนดูหมิ่นได้ และพระเจ้าอยู่หัวอย่าทรงพระอาลัยแก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้ถึงแก่มรณโทษเลย จงทรงพระอาลัยถึงพระราชประเพณี อย่าให้เสียขนบธรรมเนียมไปนั้นดีกว่า อันพระราชกำหนดมีมาแต่บุราณนั้นว่า ถ้าและพันท้ายผู้ใดถือท้ายเรือพระที่นั่ง ให้ศีรษะเรือพระที่นั่งนั้นหัก ท่านว่าพันท้ายผู้นั้นถึงมรณโทษ ให้ตัดศีรษะเสีย และพระเจ้าอยู่หัวจงทรงพระกรุณาโปรดให้ตัดศีรษะข้าพระพุทธเจ้า เสีย ตามโบราณราชกำหนดนั้นเถิด
จึ่งมีพระราชดำรัสสั่งให้ฝีพายทั้งปวง ปั้นมูลดินเป็นรูปพันท้ายนรสิงห์ขึ้น แล้วก็ให้ตัดศีรษะรูปดินนั้นเสีย แล้วดำรัสว่าไอ้พันท้าย ซึ่งโทษเอ็งถึงตายนั้น กูจะประหารชีวิตเอ็งเสีย พอเป็นเหตุแทนตัวแล้ว เอ็งอย่าตายเลย จงกลับมาลงเรือไปด้วยกับกูเถิด พันท้ายนรสิงห์เห็นดังนั้น ก็มีความละอายนัก ด้วยกลัวว่าจะเสียพระราชกำหนดโดยธรรมเนียมโบราณไป เกรงคนทั้งปวงจะครหาติเตียนดูหมิ่นในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งตนได้ สู้เสียสละชีวิตของตัวมิได้อาลัย จึ่งกราบทูลไปว่าขอพระราชทานซึ่งทรงพระกรุณาโปรดข้าพระพุทธเจ้าทั้งนี้ พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ แต่ทว่าซึ่งตัดศีรษะรูปดินแทนตัวข้าพระ-พุทธเจ้าดังนี้ ดูเป็นทำเล่นไป คนทั้งหลายจะล่วงครหาติเตียนได้ ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาโปรดตัดศีรษะข้าพระพุทธเจ้าเสียโดย ฉันจริงเถิด อย่าให้เสียขนบธรรมเนียมในพระราชกำหนดไปเลย ข้าพระพุทธเจ้าจะขอกราบทูลฝากบุตรภรรยาแล้ว ก็จะกราบถวายบังคมลาตายไปโดยลักษณยถาโทษอันกราบทูลไว้นั้น
สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินตรัสได้ทรงฟังดังนั้น ก็ดำรัสวิงวอนไปเป็นหลายครั้ง พันท้ายนรสิงห์ก็มิยอมอยู่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาภาพแก่พันท้ายนรสิงห์เป็นอันมาก จนกลั้นน้ำพระเนตรนั้นไว้มิได้ จำเป็นจำทำตามพระราชกำหนด จึ่งดำรัสสั่งนายเพชฌฆาตให้ประหารชีวิตพันท้ายนรสิงห์เสีย แล้วให้ทำศาลขึ้นสูงเพียงตา และให้เอาศีรษะพันท้ายนรสิงห์กับศีรษะเรือพระที่นั่งซึ่งหักนั้น ขึ้นพลีกรรมไว้ด้วยกันบนศาลนั้น แล้วให้ออกเรือพระที่นั่งไปประพาสทรงเบ็ด ณ ปากน้ำเมืองสาครบุรี แล้วเสด็จกลับยังพระมหานคร และศาลเทพารักษ์ที่ตำบลโคกขามนั้น ก็มีปรากฎมาตราบเท่าทุกวันนี้
จึ่งพระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระราชดำริ ว่า ณ คลองโคกขามนั้นคดเคี้ยวนัก คนทั้งปวงจะเดินเรือเข้าออกก็ยาก ต้องอ้อมวงไปไกลกันดารนัก ควรเราจะให้ขุดลัดตัดเสียให้ตรงจึ่งจะชอบ อนึ่งพันท้ายนรสิงห์ซึ่งตายเสียนั้น เป็นคนสัตย์ซื่อมั่นคงนัก สู้เสียชีวิตมิได้อาลัย กลัวว่าเราจะเสียพระราชประเพณีไป เรามีความเสียดายนัก ด้วยเป็นข้าหลวงเดิมมาแต่ก่อน อันจะหาผู้ซึ่งรักใคร่ ซื่อตรงต่อเจ้า เหมือนพันท้ายนรสิงห์นี้ยากนัก แล้วดำรัสให้เอากเฬวรพันท้ายนรสิงห์นั้น มาแต่งการฌาปนกิจพระราชทานเพลิง และบุตรภรรยานั้นก็พระราชทานเงินทอง สิ่งของเป็นอันมาก'
พันท้ายนรสิงห์มีตัวจริงมั้ยก็ไม่ทราบแต่จากข้อความที่ว่า 'และศาลเทพารักษ์ที่ตำบลโคกขามนั้น ก็มีปรากฎมาตราบเท่าทุกวันนี้ ' น่าจะสื่อให้เห็นว่าคนในสมัยรัชกาลที่ ๑ คิดว่าพันท้ายนรสิงห์มีตัวจริงและมีศาลอยู่ให้เห็นในตอนนั้น แต่ก่อนนี้เป็นอย่างไรยังสรุปไม่ได้
ที่มา พระราชพงศาวดาร, (สมเกียรติ วันทะนะ, ๒๕๒๗, น. ๓๖)
ภาพจากอินเทอร์เน็ต
ตามพระราชพงศาวดาร บันทึกว่า พันท้ายนรสิงห์ มีชื่อเดิมว่า "สิน" เป็นชาวบ้านนรสิงห์ แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ (ปัจจุบัน คือ อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง) มีภรรยาชื่อ "นวล" หรือ "ศรีนวล" ได้รู้จักกับพระเจ้าเสือด้วยการแข่งขันชกมวยไทยกัน เมื่อพระองค์แปลงองค์มาเป็นชาวบ้านธรรมดาและทรงโปรดในอุปนิสัยใจคอ ต่อมาได้กลายมาเป็นนายท้ายเรือพระที่นั่งของพระเจ้าเสือ ในบรรดาศักดิ์ พัน
เมื่อครั้งที่พระเจ้าเสือ เสด็จโดยเรือพระที่นั่งเอกไชย ประพาสเพื่อทรงเบ็ด ณ ปากน้ำเมืองสาครบุรี เมื่อเรือพระที่นั่งถึงตำบลโคกขามซึ่งเป็นคลองคดเคี้ยวและมีกระแสน้ำเชี่ยวกราก พันท้ายนรสิงห์ซึ่งถือท้ายเรือพระที่นั่งมิสามารถคัดแก้ไขได้ทัน โขนเรือพระที่นั่งกระทบกับกิ่งไม้หักตกลงไปในน้ำ พันท้ายนรสิงห์จึงได้กระโดดขึ้นฝั่งแล้วกราบทูลให้ทรงลงพระอาญาตามพระกำหนดถึงสามครั้งด้วยกัน เนื่องจากในครั้งแรก พระเจ้าเสือพระราชทานอภัยโทษ เพราะเห็นว่าเป็นอุบัติเหตุสุดวิสัย ครั้งที่สองก็รับสั่งให้สร้างรูปปั้นปลอมแล้วตัดหัวรูปปั้นนั้นแทน แต่ท้ายสุดก็ได้ตรัสสั่งให้ประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะพันท้ายนรสิงห์ตามคำขอ ในเวลาเช้าตรู่ ตรงกับวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๓ พ.ศ. ๓๓๔๑ แล้วสร้างศาลไม้ขนาดเล็ก ลักษณะเป็นศาลไม้ในสมัยปัจจุบัน หลังคามุงกระเบื้องดินเผาหางมน พื้นศาลเป็นไม้ยกชั้น ๒ ชั้น มีเสารองรับ ๖ เสา พร้อมกับศีรษะของพันท้ายนรสิงห์และโขนเรือเอกไชยขึ้นตั้งไว้บูชาพร้อมกัน
ภายหลังพระเจ้าเสือได้ทรงให้พระยาราชสงคราม คุมไพร่พลจำนวน ๓,๐๐๐ คน ทำการขุดคลองลัดคลองโคกขามที่คดเคี้ยว ไปออกที่บริเวณแม่น้ำท่าจีน กว้าง ๕ วา ลึก ๖ ศอก สร้างเสร็จในสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ พ.ศ. ๒๒๕๒ ได้พระราชทานนามคลองนี้ว่าคลองสนามไชย ต่อมาเรียกเป็นคลองมหาชัย ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเมืองมหาชัย แต่ชาวบ้านเรียกว่าคลองถ่าน ปัจจุบันชาวบ้านฝั่งธนบุรี เรียกชื่อว่า คลองด่าน
พันท้ายนรสิงห์เป็นเรื่องจริงหรือตำนาน
เรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ มีปรากฏอยู่เฉพาะพงศาวดารที่ชำระขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ ได้แก่ พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาได้เล่าเรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ไว้ละเอียดพิสดารนัก ในขณะที่พงศาวดารที่ชำระในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายคือ พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) หรือพงศาวดารอีกเล่มที่ชำระในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นิคือ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) นั้นไม่ปรากฏเรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์เลย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เรื่องพันท้ายนรสิงห์นั้น อยู่ดี ๆ ก็โผล่ขึ้นมาในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาซึ่งชำระในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
นอกจากนี้ ไม่มีหลักฐานใดกล่าวถึงเรื่องราวแวดล้อมที่เรารับรู้กันว่ามีคนวางแผนจะซุ่มประทุษร้ายพระเจ้าเสือจนเป็นเหตุให้พันท้าย “จงใจ” ทำให้หัวเรือพระที่นั่งหักนั้นเลย ส่วนในประวัติศาสตร์ถ้าหากจะมีการดักสังหารผู้ที่เดินทางด้วยทางเรือนั้น เห็นจะมีคราวที่ขุนพิเรนทรเทพซุ่มสังหารขุนวรวงศาธิราช ในคราวที่เสด็จโดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคผ่านคลองสระบัว
อย่างไรก็ตามจากการศึกษาค้นคว้าหลักฐานสมัยอยุธยาทั้งสามชิ้น ผมพบว่าไม่มีการกล่าวถึงเรื่องพันท้ายนรสิงห์ไว้เลย แต่พบเรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ปรากฏอย่างละเอียดในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ที่แต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ หรืออย่างช้าที่สุดก็สมัยต้นรัชกาลที่ ๒ (ที่มา สมเกียรติ วันทะนะ, ๒๕๒๗, น. ๓๖)
เรื่องพันท้ายนรสิงห์มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในพระราชพงศาวดารฉบับบริติชมิวเซียมกรุงลอนดอน โดยเป็นฉบับที่ชำระในสมัยรัชกาลที่ ๑ โดยรัชกาลที่ ๒ เมื่อครั้งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายรัชกาลที่ ๑ ในปีเถาะ จุลศักราช ๑๑๖๙(พ.ศ.๒๓๕๐) ไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้ชำระ แต่ดูจากเนื้อความน่าจะชำระเพิ่มเติมจากพระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม)ที่ชำระก่อนหน้าใน จ.ศ.๑๑๔๗(พ.ศ.๒๓๓๘) โดยมีเนื้อความพิศดารและอิทธิปาฏิหาริย์ สำนวนโวหารบทสนทนาจำนวนมากเพิ่มขึ้นมาผิดจากคติการเขียนพงศาวดารเก่าๆอย่างชัดเจน เรื่องของพันท้ายนรสิงห์ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ถูกเพิ่มขึ้นมา จากนั้นพงศาวดารฉบับที่ชำระหลังจากนี้ก็จะมีเรื่องพันท้ายหมดทุกเล่ม
เนื้อหาของพันท้ายนรสิงห์ในพงศาวดารคือ 'ลุศักราชได้ ๑๐๖๖ ปีวอก ฉศก ขณะนั้นสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเสด็จด้วยเรือพระที่นั่งเอกชัย จะไปประพาสทรงเบ็ด ณ ปากน้ำเมืองสาครบุรี ครั้นเรือพระที่นั่งไปถึงตำบลโคกขาม และครองที่นั้นคดเคี้ยวนัก และพันท้ายนรสิงห์ซึ่งถือท้ายเรือพระที่นั่งคัดแก้ไขมิทันที และศีรษะเรือพระที่นั่งนั้นโดนกระทบกิ่งไม้อันใหญ่เข้า ก็หักตกลงในน้ำ พันท้ายนรสิงห์เห็นดังนั้นก็ตกใจ จึ่งโดดขึ้นเสียจากเรือพระที่นั่ง และขึ้นอยู่บนฝั่งแล้วร้องกราบทูลพระกรุณาว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้า พระราชอาญาเป็นล้นเกล้า ขอจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ทำศาลขึ้นที่นี้สูงประมาณเพียงตา แล้วจงตัดเอาศีรษะข้าพระพุทธเจ้ากับศีรษะเรือพระที่นั่งซึ่งหักตกน้ำลงไปนั้น ขึ้นบวงสรวงไว้ด้วยกันที่นี้ ตามพระราชกำหนดในบทพระอัยการเถิด จึ่งมีพระราชโองการตรัสว่า ไอ้พันท้ายซึ่งโทษเอ็งนั้นถึงตายก็ชอบอยู่แล้ว แต่ทว่าบัดนี้กูจะยกโทษเสีย ไม่เอาโทษเอ็งแล้ว เอ็งจงคืนมาลงเรือไปด้วยกูเถิด ซึ่งศีรษะเรือที่หักนั้น กูจะทำต่อเอาใหม่ แล้วเอ็งอย่าวิตกเลย พันท้ายนรสิงห์จึ่งกราบทูลว่า ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดมิให้เอาโทษข้าพระพุทธเจ้านั้น พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ แต่ทว่าจะเสียขนบธรรมเนียมในพระราชกำหนดกฎหมายไป และซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมาละพระราชกำหนดสำหรับแผ่นดินเสียดงนี้ ดูมิควรยิ่งนัก นานไปภายหน้าเห็นว่าคนทั้งปวงจะล่วงครหาติเตียนดูหมิ่นได้ และพระเจ้าอยู่หัวอย่าทรงพระอาลัยแก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้ถึงแก่มรณโทษเลย จงทรงพระอาลัยถึงพระราชประเพณี อย่าให้เสียขนบธรรมเนียมไปนั้นดีกว่า อันพระราชกำหนดมีมาแต่บุราณนั้นว่า ถ้าและพันท้ายผู้ใดถือท้ายเรือพระที่นั่ง ให้ศีรษะเรือพระที่นั่งนั้นหัก ท่านว่าพันท้ายผู้นั้นถึงมรณโทษ ให้ตัดศีรษะเสีย และพระเจ้าอยู่หัวจงทรงพระกรุณาโปรดให้ตัดศีรษะข้าพระพุทธเจ้า เสีย ตามโบราณราชกำหนดนั้นเถิด
จึ่งมีพระราชดำรัสสั่งให้ฝีพายทั้งปวง ปั้นมูลดินเป็นรูปพันท้ายนรสิงห์ขึ้น แล้วก็ให้ตัดศีรษะรูปดินนั้นเสีย แล้วดำรัสว่าไอ้พันท้าย ซึ่งโทษเอ็งถึงตายนั้น กูจะประหารชีวิตเอ็งเสีย พอเป็นเหตุแทนตัวแล้ว เอ็งอย่าตายเลย จงกลับมาลงเรือไปด้วยกับกูเถิด พันท้ายนรสิงห์เห็นดังนั้น ก็มีความละอายนัก ด้วยกลัวว่าจะเสียพระราชกำหนดโดยธรรมเนียมโบราณไป เกรงคนทั้งปวงจะครหาติเตียนดูหมิ่นในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งตนได้ สู้เสียสละชีวิตของตัวมิได้อาลัย จึ่งกราบทูลไปว่าขอพระราชทานซึ่งทรงพระกรุณาโปรดข้าพระพุทธเจ้าทั้งนี้ พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ แต่ทว่าซึ่งตัดศีรษะรูปดินแทนตัวข้าพระ-พุทธเจ้าดังนี้ ดูเป็นทำเล่นไป คนทั้งหลายจะล่วงครหาติเตียนได้ ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาโปรดตัดศีรษะข้าพระพุทธเจ้าเสียโดย ฉันจริงเถิด อย่าให้เสียขนบธรรมเนียมในพระราชกำหนดไปเลย ข้าพระพุทธเจ้าจะขอกราบทูลฝากบุตรภรรยาแล้ว ก็จะกราบถวายบังคมลาตายไปโดยลักษณยถาโทษอันกราบทูลไว้นั้น
สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินตรัสได้ทรงฟังดังนั้น ก็ดำรัสวิงวอนไปเป็นหลายครั้ง พันท้ายนรสิงห์ก็มิยอมอยู่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาภาพแก่พันท้ายนรสิงห์เป็นอันมาก จนกลั้นน้ำพระเนตรนั้นไว้มิได้ จำเป็นจำทำตามพระราชกำหนด จึ่งดำรัสสั่งนายเพชฌฆาตให้ประหารชีวิตพันท้ายนรสิงห์เสีย แล้วให้ทำศาลขึ้นสูงเพียงตา และให้เอาศีรษะพันท้ายนรสิงห์กับศีรษะเรือพระที่นั่งซึ่งหักนั้น ขึ้นพลีกรรมไว้ด้วยกันบนศาลนั้น แล้วให้ออกเรือพระที่นั่งไปประพาสทรงเบ็ด ณ ปากน้ำเมืองสาครบุรี แล้วเสด็จกลับยังพระมหานคร และศาลเทพารักษ์ที่ตำบลโคกขามนั้น ก็มีปรากฎมาตราบเท่าทุกวันนี้
จึ่งพระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระราชดำริ ว่า ณ คลองโคกขามนั้นคดเคี้ยวนัก คนทั้งปวงจะเดินเรือเข้าออกก็ยาก ต้องอ้อมวงไปไกลกันดารนัก ควรเราจะให้ขุดลัดตัดเสียให้ตรงจึ่งจะชอบ อนึ่งพันท้ายนรสิงห์ซึ่งตายเสียนั้น เป็นคนสัตย์ซื่อมั่นคงนัก สู้เสียชีวิตมิได้อาลัย กลัวว่าเราจะเสียพระราชประเพณีไป เรามีความเสียดายนัก ด้วยเป็นข้าหลวงเดิมมาแต่ก่อน อันจะหาผู้ซึ่งรักใคร่ ซื่อตรงต่อเจ้า เหมือนพันท้ายนรสิงห์นี้ยากนัก แล้วดำรัสให้เอากเฬวรพันท้ายนรสิงห์นั้น มาแต่งการฌาปนกิจพระราชทานเพลิง และบุตรภรรยานั้นก็พระราชทานเงินทอง สิ่งของเป็นอันมาก'
พันท้ายนรสิงห์มีตัวจริงมั้ยก็ไม่ทราบแต่จากข้อความที่ว่า 'และศาลเทพารักษ์ที่ตำบลโคกขามนั้น ก็มีปรากฎมาตราบเท่าทุกวันนี้ ' น่าจะสื่อให้เห็นว่าคนในสมัยรัชกาลที่ ๑ คิดว่าพันท้ายนรสิงห์มีตัวจริงและมีศาลอยู่ให้เห็นในตอนนั้น แต่ก่อนนี้เป็นอย่างไรยังสรุปไม่ได้
ที่มา พระราชพงศาวดาร, (สมเกียรติ วันทะนะ, ๒๕๒๗, น. ๓๖)