- KC05.jpg (26.57 KiB) เปิดดู 11198 ครั้ง
แล้วทั้งสามกษัตริย์ ก็ให้บุกเบิกแล้วแผ้วถางบริเวณ ที่จะสร้างเป็นเมือง แล้วขึงเชื่อกระดับดู ปรากฏว่าพื้นที่นั้นลาดไปทางทิศตะวันออกเป็นการต้องกับลักษณะชัยภูมิที่จะสร้างเป็นนครยิ่งนัก เมื่อพญาร่วงและพญางำเมืองทรงเห็นดังนั้น ก็กล่าวแก่พญามังรายว่า ทำเลที่จะสร้างเมืองนี้ถูกต้องด้วยหลักชัยภูมิ ๗ ประการคือ
๑. มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า เคยมีกวางเผือกสองตัวแม่ลูกเคยมาอาศัยอยู่ที่นี้ และมีคนพากันมาสักการบูชาเป็นอันมาก
๒. มีฟาน(เก้ง) เผือกสองแม่ลูกมาอาศัย และได้ต่อสู้กับฝูงสุนัขของพราน ซึ่งตามเสด็จพญามังรายมาดังกล่าวแล้ว
๓. ได้เห็นหนูเผือกพร้อมด้วยบริวาร ๔ ตัว วิ่งเข้าโคนต้นไม้นิโครธ(ไม้ลุง)
๔. พื้นที่สูงทางทิศตะวันตก เอียงลาดไปทางทิศตะวันออกเป็นทำเลต้องด้วยลักษณะพื้นที่ที่จะสร้างเมือง
๕. มีน้ำตกไหลจากดอยสุเทพ โอบล้อมตัวเมืองไว้เป็นการสะดวกในการที่ชาวเมืองจะได้ใช้สอยบริโภค
๖. มีหนองน้ำใหญ่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของตัวเมืองปรากฏว่า เคยเป็นที่เคารพสักการะของท้าวพระยาเมืองต่างๆมาแล้วและขณะนั้นก็ยังเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนอยู่ (หนองนี้ เรียกว่า หนองบัว อยู่ตรงสนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ ต่อมาในสมัยเจ้าอินทวิชยานนท์ ทรงใช้ขุดระบายน้ำลงแม่น้ำปิงเสียจึงตื้นเขินไป)
๗. แม่น้ำระมิงค์(หรือแม่น้ำปิง) ซึ่งเป็นแม่น้ำที่เกิดจากเทือกเขาผีปันน้ำ ซึ่งบนเทือกเขานั้นมีเขาลูกหนึ่งอยู่บนหลังเขาเชียงดาวชื่อว่า “ดอยอ่างสลุง” (ชาวเมืองเรียกว่าอ่างสะหลง) ซึ่งถือว่าเป็นที่สรงน้ำของพระพุทธเจ้า ไหลผ่านตัวเมือง นับว่าเป็นมงคลแก่บ้านเมืองอีกประการหนึ่งด้วย
ซึ่งชัยภูมิทั้ง ๗ ประการนี้หายากยิ่งที่จะสร้างเป็นพระนคร พญามังราย เชื่อว่าสิ่งมงคลทั้ง ๗ ประการนี้จะเป็นผลดีต่อการสร้างเมืองเชียงใหม่ ซึ่งจะนำมาสู่ความเจริญรุ่งเรืองและความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง ซึ่งหลักชัยมงคล ๗ ประการนี้ ได้ปรากฏอยู่ในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ดังนี้
“ ...อันแต่ก่อนเราได้ยินสืบมาว่ากวางเผือกสองตัวแม่ลูกลุกแต่ป่าใหญ่หนเหนือมาอยู่ชัยภูมิที่นี้ คนทั้งหลายย่อมกระทำบุชาเป็นชัยมงคลปฐมก่อนแล อันหนึ่งว่าฟานเผือกสองตัวแม่ลูกมาอยู่ชัยภูมิที่นี้รบหมา หมาทั้งหลายพ่ายหนีบ่อาจจัดตั้งได้สักตัว เป็นชัยมงคลถ้วนสอง อันหนึ่งเล่าเราทั้งหลายได้หันหนูเผือกกับบริวาร ๔ ตัว ออกมาแต่ชัยภูมิที่นี้ เป็นชัยภูมิถ้วนสาม อันหนึ่งภูมิฐานที่เราจัดตั้งเวียงนี้ สูงวันตกหลิ่งมาออก เป็นชัยภูมิถ้วนสี่ อันหนึ่งอยู่ที่นี้ หันน้ำตกแต่อุชอปัตตาดอยสุเทพ มาเป็นแม่น้ำไหลขึ้นหนเหนือ แล้วไหลดะไปหนวันออกแล้วไหลไปใต้ แล้วไหลไปวันตกเกี้ยวเวียงกุมกาม แม่น้ำนี้เป็นนครคุณเกี้ยวเมือง อันเป็นชัยมงคลถ้วนห้า แม่น้ำนี้ไหลแต่ดอยมาที่ขุนน้ำ ได้ชื่อว่าแม่ข่า ไหลเมื่อวันออกแล้วไหลไปใต้เทียบข้างแม่น้ำปิง ได้ชื่อว่าแม่โถต่อเท่าบัดนี้แล อันหนึ่งหนองใหญ่มีวันออกเฉียงเหนือแห่งชัยภูมิ ได้ชื่อว่าอิสาเนราชบุรี ว่าหนองใหญ่หนอิสานท้าวพระยาต่างประเทศจักมาบูชาสักการะมากนัก เป็นชัยมงคลถ้วนหกแล อันหนึ่งน้ำระมิงค์ไหลมาแต่อ่างสรงอันพระพุทธเจ้า เมื่อยังทรมาน ได้มาอาบในดอยอ่างสรง ไหลมาออกเป็นขุนน้ำแม่ระมิงค์ ภายวันออกเวียง เป็นชัยมงคลถ้วนเจ็ดแล...”
พญามังราย ได้ยินพระสหายกล่าวว่าบริเวณที่ตั้งเมืองเชียงใหม่ถูกต้องตามหลักชัยมงคลก็ทรงโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่ง ทรงชมเชยว่าพระสหายทั้งสองเป็นผู้มีสติปัญญาลึกซึ้งยิ่งนัก เมื่อตกลงเป็นที่แน่นอนแล้ว ทั้งสามกษัตริย์ก็ช่วยกันอำนวยการสร้างเมือง ก่อนสร้างได้เริ่มทำพิธีบวงสรวงเทพดาอารักษ์เสียก่อน เมื่อทำพิธีพลีกรรมบวงสรวงเรียบร้อยแล้ว ก็ให้แบ่งพลเมืองออกเป็น ๒ พวกพวกหนึ่งจำนวน ๕ หมื่นคน ช่วยกันก่อสร้างพระราชนิเวศน์มณเฑียรสถาน อีกพวกหนึ่งจำนวน ๔ หมื่นคนช่วยกันขุดคูเมือง และก่อกำแพงเมือง รวมใช้กำลังคนในการสร้างเมืองเชียงใหม่ ๙ หมื่นคน การขุดคูเมืองนั้นให้ขุดทางทิศอิสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ก่อน คือเริ่มที่แจ่งศรีภูมิอันเป็นศรีพระนครก่อน แล้วโอบล้อมไปทางทิศใต้แล้ววงรอบให้บรรจบกันทั้ง ๔ ด้าน การสร้างได้ทำพร้อมๆกันเลยทีเดียว และในวันเดียวกันนี้ก็ได้ ทำพิธีฝังเสาหลักเมือง ในวันพฤหัสบดี เดือนแปดเหนือ (เดือน ๖ ใต้) ปีวอกอัฐศก จุลศักราช ๖๕๗ (พ.ศ. ๑๘๓๕) ก่อนการทำพิธีขุดคูเมืองและสร้างพระราชนิเวศน์มณเฑียรสถาน
การสร้างเมืองเชียงใหม่ใช้เวลาทั้งหมด ๔ เดือน ก็สำเร็จเรียบร้อย พญามังรายจึงโปรดให้จัดงาน ฉลองสมโภชเมืองใหม่อย่างสนุกสนานเป็นการใหญ่ยิ่ง เป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน ได้เลี้ยงดูไพร่บ้าน พลเมือง และแจกจ่ายของรางวัลให้ทั่วหน้า แล้วทั้งสามกษัตริย์ก็ร่วมใจกันขนานนามเมืองใหม่ว่า “เมืองนพบุรี ศรีนครพิงค์ เชียงใหม่”
เมืองเชียงใหม่ตั้งอยู่บนที่ราบระหว่างดอยสุเทพกับแม่น้ำปิง ตัวเมืองอยู่ห่างจากแม่น้ำปิงประมาณ ๑ กิโลเมตร ผังเมืองเชียงใหม่มีลักษณะคล้ายกันกับผังเมืองสุโขทัย ตัวเมือง มีกำแพงล้อมรอบทั้งสี่ด้าน มีประตู ๕ ประตู ภายในกำแพงเมืองมีสิ่งปลูกสร้างหลายประเภท เช่น พระราชวัง หอคำ บ้านเรือนราษฎร วัด ตลาด สนามหลวงกลางเมือง (ข่วงหลวง) หอสังเกตการณ์ (หอหลิงหอเลอ) หอกลอง เป็นต้น
เมืองเชียงใหม่มีแม่น้ำไหลผ่าน ๓ สาย คือ แม่น้ำปิง ห้วยแก้ว และแม่น้ำข่า พญามังรายทรงใช้น้ำจากห้วยแก้วเข้ามาใส่คูเมืองทั้งสี่ด้าน แม่น้ำข่าช่วยระบายน้ำออกจากคูเมือง และเมื่อมีการสร้างคูเมืองชั้นนอกก็ได้ใช้แม่น้ำข่าเป็นคูเมือง
แหล่งน้ำธรรมชาตินอกกำแพงเมืองที่แจ่งศรีภูมิมีหนองน้ำใหญ่เรียกว่า หนองบัวเจ็ดกอ พญามังรายทรงใช้เป็นหนองสาธารณะ สำหรับเลี้ยงสัตว์ นอกจากนี้ยังมีหนองเส้ง อยู่บริเวณโรงพยาบาลแมคคอร์มิค หนองหอย อยู่ทางใต้ของตัวเมือง และหนองผาแตบ ซึ่งปัจจุบันไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด
ในกำแพงเมืองเป็นบริเวณที่ใช้อยู่อาศัย พื้นที่การเกษตร คือ นา และสวนจะอยู่นอกเมืองด้านเหนือด้านตะวันออก และด้านใต้ ชาวล้านนาถือว่าลักษณะสัณฐานของเมือง และหมู่บ้านว่าเหมือนกับร่างกายของคน คือมีส่วนหัวเรียกว่าหัวเวียง ส่วนลำตัวมีสะดือเมือง หรือใจเมือง เป็นศูนย์กลาง และมีเท้าอยู่ล่างสุดเรียกว่า ตีนเวียง หรือหางเวียง
จากการศึกษาตำนาน และภาพถ่ายทางอากาศพบว่ามีเมืองหลายเมืองตั้งอยู่รอบเมืองเชียงใหม่ได้แก่ เวียงนพบุรี เวียงสวนดอก หรือเวียงสวนดอกไม้ เวียงเจ็ดลิน เวียงรั้วน่าง และเชียงโฉม ยังมีแนวกำแพงเจดีย์ และพระพุทธรูปเหลืออยู่
เวียงสวนดอก ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของตัวเมืองเชียงใหม่ อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปประมาณ ๑ กิโลเมตร มีวัดสวนดอกเป็นศูนย์กลางเวียง ปัจจุบันยังมีแนวกำแพงเมือง และคูเมืองบางส่วนเหลืออยู่ ผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยม ตามตำนานเขียนว่าเป็นเวียงลัวะ
เวียงเจ็ดลิน ตั้งอยู่บนดอยเจ็ดลินหรือดอยลัวะ ปัจจุบันพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ตั้งสถาบันราชมงคลพายัพ มีถนนห้วยแก้วตัดผ่านกลางตัวเวียง ตามตำนานกล่าวว่า เวียงเจ็ดลินเป็นเวียงลัวะ เช่นเดียวกับเวียงสวนดอก ผังเมืองมีลักษณะเป็นวงกลม เหมือนกับเมืองเชียงตุง
เวียงรั้วน่างหรือน่างรั้ว ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประตูเมืองเชียงใหม่ ด้านในของกำแพงเมืองชั้นนอก (กำแพงดิน) ปัจจุบันอยู่ใกล้กับวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่
เชียงโฉม ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองเชียงใหม่ด้านเหนือ ห่างจากประตูช้างเผือกออกไปประมาณ ๒ กิโลเมตร ปัจจุบันอยู่บริเวณสถาบันราชภัฏเชียงใหม่ มีวัดร้างและซากเจดีย์เหลืออยู่ ชาวบ้านเรียกเจดีย์ปล่อง
ตอนที่ ๒ เชียงใหม่เสียเมือง
พญามังรายครองเมืองเชียงใหม่ต่อมาจนกระทั่งพ.ศ. ๑๘๖๐ ทรงพระชนมายุได้ ๗๙ พรรษา (บางแห่งว่า ๘๐ พรรษา) วันหนึ่งพระองค์เสด็จไปประพาสตลาดกลางเวียง เกิดอัสนีบาตรสวรรคต เชื่อกันว่ามาจากการที่พระองค์ผิดคำสาบานที่มีต่อพระนางอั้วเวียงชัยพระมเหสี บริเวณนั้นมีต้นโพธิ์ใหญ่ขนาด ๔-๕ คนอ้อมอยู่ต้นหนึ่ง ต่อมาได้สร้างหอเรียกว่า หอมังราย เอาไว้ ปัจจุบันหอมังรายได้ถูกย้ายไปไว้หลังต้นโพธิ์ ข้างร้านตัดเสื้อ ถนนปกเกล้าห่างจากที่เดิมประมาณ ๑๐๐ เมตรเศษ) รวมเวลาที่พระองค์ครองเมืองเชียงใหม่ ๒๑ ปี เป็นกษัตริย์ครองอาณาจักรลานนาไทย ๕๘ ปี
กษัตริย์เชื้อสายของพระองค์ได้ครองเมืองเชียงใหม่ เป็นราชธานีต่อมาอีกหลายชั่วคน แต่บางองค์ก็ย้ายราชธานีไปตั้งอยู่ที่เมืองเชียงรายและเชียงแสน เชียงใหม่เป็นอิสระอยู่ได้ ๒๖๒ ปีถึงพ.ศ. ๒๑๐๑ ในรัชกาลของพระเจ้าเมกุฎิวิสุทธิวงศ์หรือชาวเมืองเรียกว่าเจ้าแม่กุเพราะเป็นชาวไทยใหญ่สืบเชื้อสายมาจากเจ้าขุนคราม ราชโอรสของพญามังราย สำเนียงชาวไทยใหญ่แปร่ง จึงขนานพระนามเพี้ยนเป็น “เจ้าแม่กุ”พระเจ้าเมกุฎฯพยายามจะกู้เอกราชในปีพ.ศ. ๒๑๐๗ แต่ไม่สำเร็จ พระเจ้าบุเรงนองได้ยกกองทัพมาปราบ และจับพระองค์ไปกักไว้ที่กรุงหงสาวดีจนถึงแก่ทิวงคต
ครั้งนั้นในปี พ.ศ.๒๑๐๑ ตำนานพื้นเมืองลานนาเชียงใหม่บันทึกว่า พระเจ้าบุเรงนองยกกองทัพมาโจมตีเมืองเชียงใหม่ โดยจัดทัพเจ้าประเทศราชไทใหญ่ ๑๙ พระองค์ โดยมี เจ้าฟ้าสุทโธธัมมิกราชยกพล ๙๐,๐๐๐ คน ข้ามแม่น้ำสาละวินที่ "ท่าผาแดง"แล้วจัดกองทัพออกเป็น ๓ ทัพ
ทัพที่ ๑ ไปทางเมืองปาย(อ.ปาย แม่ฮ่องสอน)
ทัพที่ ๒ ไปทางเมืองแหง(อ.เวียงแหง เชียงใหม่)
ทัพที่ ๓ ไปทางเมืองเชียงดาว (อ.เชียงดาว เชียงใหม่)
โดยกำชับคาดโทษให้แม่ทัพเคลื่อนกำลังพลให้เดินทางมาถึงเมืองเชียงใหม่ ในวันเดียวกันให้จงได้(เพื่อสนธิกำลังต่อสู้เมืองเชียงใหม่) หากแม่ทัพคนใดมาไม่ทันเพื่อน รับสั่งให้ตัดศีรษะแม่ทัพคนนั้น แล้วเสียบประจานที่เกาะแม่น้ำคงคา(สาละวิน)
ในที่สุดทั้ง ๓ กองทัพก็เคลื่อนพลมาถึงเมืองเชียงใหม่ในวันเดียวกัน จากนั้นทำการสนธิกำลังรายล้อมเมืองเชียงใหม่และได้เชียงใหม่เป็นเมืองขึ้นในปี พ.ศ.๒๑๐๑ ตรงกับรัชสมัยพระแม่เจ้าเมกุฏิสุทธิวงศ์รวมเวลาที่ล้อมเมืองเชียงใหม่ไว้ได้ ๓ วัน อาณาจักรล้านนาแตกล่มสลายตกเป็นเมืองขึ้นของพระเจ้าบุเรงนอง และผู้สืบทอดราชบัลลังก์ อย่างยาวนาน กว่า ๒๐๐ ปีเศษ(พ.ศ.๒๑๐๑ - ๒๓๑๗)
.....ฟ้าสุทโธธัมมิกราช ก็คุมเอารี้พลสกุลโยธาได้ ๙ หมื่นแล โป่(แม่ทัพ)ทั้งหลายคือว่า ๑๙ เจ้าฟ้า เขาก็เร่งรัดจัดกันมาเร็ววันเร็วคืน ก็มาข้ามท่าป่าแดง(ท่าผาแดง) มาทัง(ทางเมืองปายสายหนึ่ง มาทังเมืองหอด(เมืองแหง-คัดลอกคลาดเคลื่อน)สายหนึ่ง มาทังเมืองเชียงดาวสายหนึ่ง กษัตริย์เจ้าอังวะ(บุเรงนอง)คาดเอาคำ(คาดโทษ)โป่ทับ(แม่ทัพ)ทั้งหลายหื้อได้แผว(ถึง)เวียงลานนาเชียงใหม่วันเดียวนั้นแท้ คันว่า(ครั้นว่า)โป่ไม่ทันหมู่นั้น จักเอามาจ้องหัวมันเสีย(ตัดศีรษะเสียบประจาน)ที่เกาะแม่คงคา(แม่น้ำสาละวิน) บ่หื้อได้ล้ำมาชะแล(ไม่ให้ข้ามเขตแดนเข้ามาได้)เขาก็กลัวอาชญาเจ้าแห่งเขา ก็ผัดกับด้วยกันมาแผววันเดียวกันแท้ ยามนั้นข้าเสิกก็มากู่หมู่ก็ปายกู่ทาง แผวเวียงเชียงใหม่ เขาก็ตั้งจอดทับแวดล้อมเวียงไคว่แลว(ล้อมรอบเวียงเชียงใหม่) ทัพหลวงฟ้าสุทโทธัมมิกราชอันเป็นโป่แม่ทัพใหญ่นั้น ก็ไปตั้งทับอยู่ก้ำเหนือเวียงบ่พอไกลเท่าใด(ด้านเหนือเมืองเชียงใหม่) เขาก็ขุดกระตูกอยู่หื้อดีแล้ว....
จากนั้นพม่าได้ตั้งให้พระนางวิสุทธิเทวี (อาจจะเป็นคนเดียวกับพระนางจิรประภา ราชนิดาของพระเมืองเกษเกล้าซึ่งเคยรั้งเมืองเชียงใหม่ เมื่อพ.ศ. ๒๐๘๘) ครองเมืองเชียงใหม่ได้อีก ๑๔ ปี พระนางก็ทิวงคต ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๑๒๒ พระเจ้าหงสาวดี (บุเรงนอง) จึงให้เจ้าฟ้าสารวดีหรือมังซานรธามังคุยหรือ มังนรธาฉ่อ ราชบุตร มาครองเมืองเชียงใหม่ นับว่าสิ้นราชวงศ์มังรายอย่างเด็ดขาดแต่นั้นมา เชื้อสายของพระเจ้าหงสาวดีได้ครองเมืองเชียงใหม่ต่อมาอีก ๓ องค์ ก็สิ้นวงศ์ ในสมัยที่เจ้าฟ้าสารวดี หรือพระเจ้าเชียงใหม่มังซานรธามังคุยครองเมืองเชียงใหม่นี้ ตรงกับในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเจ้าเชียงใหม่ได้ยอมสวามิภักดิ์ ต่อกรุงศรีอยุธยาจนตลอดรัชกาลของพระองค์
เมื่อสิ้นวงศ์บุเรงนองแล้ว ก็มีกษัตริย์เจ้าเมืองน่านมาครองเมืองเชียงใหม่ มีพระนามว่าพระเจ้าเชียงใหม่ศรีสองเมือง หรือ เจ้าพระยาพลศึกซ้ายชัยสงครามทรงแข็งเมืองเป็นอิสรภาพ ไม่ยอมขึ้นต่อพม่า แต่เมื่อพระเจ้าสุทโธธรรมราชากษัตริย์พม่า ยกกองทัพมาปราบในปี พ.ศ. ๒๑๗๔ ตีเชียงใหม่แตกและจับตัวพระเจ้าเชียงใหม่ไปขังไว้ที่เมืองหงสาวดีจนทิวงคต เชียงใหม่ก็ได้ตกอยู่ในอำนาจของพม่าอีกครั้งหนึ่ง พม่าได้ตั้งให้พระยาหลวงทิพยเนตร เจ้าเมืองฝางมาครองเชียงใหม่ เมื่อหลวงทิพยเนตรถึงแก่กรรม บุตรชื่อพระแสนเมือง หรือทางพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเรียกพญาแสนหลวงได้ครองเมืองแทนในปี พ.ศ. ๒๒๐๔ แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงยกกองทัพหลวงมาตีเมืองเชียงใหม่ โดยให้เจ้าพระยาโกษา(เหล็ก) เป็นแม่ทัพหน้า ตีเมืองเชียงใหม่ได้ สมเด็จพระนารายณ์ทรงได้ธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่เป็นบาทบริจาริกา และเมื่อนางนั้นทรงครรภ์ขึ้น พระองค์ทรงมีความละอาย จึงยกนางนั้นให้แก่พระเทพราชา เจ้ากรมช้าง ต่อมานางนั้นประสูติกุมาร ซึ่งต่อมาคือ ขุนหลวงสรศักดิ์ หรือพระพุทธเจ้าเสือ มีนามเดิมว่า เดื่อ สมเด็จพระนารายณ์ทรงตีได้เมืองเชียงใหม่ แต่ไม่ได้มอบให้ผู้ใดครองเมืองเพราะอยู่ห่างไกลกันมาก ยากแก่การป้องกันรักษา และพม่าก็อาจจะยกมาตีเอาคืนเมื่อไรก็ได้ จึงกวาดต้อนครอบครัวชาวเมืองไป และจับตัวพระเยาวราชกวีเอกของเมืองเชียงใหม่ไปด้วยผู้หนึ่ง พระเยาวราชผู้นี้ได้เคยประคารมกวีกับศรีปราชญ์ยอดกวีในยุคนั้นเป็นที่น่าเสียดายที่ไม่อาจทราบได้ว่าพระเยาวราชผู้นี้คือใคร เพราะในตำนานพื้นเมืองไม่ได้กล่าวถึงเลย นอกจากในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น
นับแต่พ.ศ. ๒๒๑๑ เป็นต้นมา พม่าได้เริ่มยกกองทัพมาตีหัวเมืองต่างๆ ในลานนาไทยโดยเริ่มตีหัวเมืองชายแดนก่อน และตีได้เชียงรายเชียงแสน เมื่อตีได้เมืองใด ก็จัดแต่งผู้คนปกครองไว้ ส่วนเมืองเชียงใหม่ยังคงล้มลุกคลุกคลานอยู่ บางครั้งพม่าก็เข้าปกครองแต่ถูกชาวเมืองขับไล่ เกิดการจลาจลอยู่เสมอ ไม่เป็นปกติสุข ชาวเมืองต้องได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า หลังจากที่เจ้าองค์นกได้เอกราชและครองเมืองโดยอิสระสืบมาถึงพ.ศ. ๒๓๐๔ เจ้าองค์นกสิ้นพระชนม์แล้วเจ้าจันทร์ราชบุตรได้ครองเมือง แต่เจ้าปัดอนุชาคิดกบฏชิงเอาราชสมบัติได้ แต่ไม่ครองเมืองเอง ยกให้เจ้าอธิการวัดดวงดี ลาสิกขาบทมาครองเมือง ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๓๐๖ กองทัพพม่ายกมา ๙ ทัพมีโป่อภัยคามินีเป็นแม่ทัพยกมาตีเมืองเชียงใหม่ ลำพูน พม่ากวาดต้อนเครือญาติวงศ์เจ้าองค์นก และชาวเมืองเชียงใหม่ส่งไปเมืองอังวะเป็นอันมาก และโป่อภัยคามินีก็ยกเข้าตั้งรักษาเมืองเชียงใหม่ไว้