ตำนานเมืองเชียงใหม่
ตอนที่ ๑ กำเนิดเมืองเชียงใหม่
เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา เป็นเมืองที่มีความโดดเด่นทั้งด้านวัฒนธรรม ประเพณี สถาปัตยกรรม ความงดงามของธรรมชาติ และความเจริญรุ่งเรือง แม้ในปัจจุบันอาณาจักรล้านนาจะรวมเข้ากับสยาม ทำให้ล้านนากลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย แต่เชียงใหม่ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของความเป็นล้านนาเอาไว้ได้อย่างงดงาม และภายใต้ความงดงามนั้นมีประวัติความเป็นมาอันยาวนานที่ลูกหลานควรได้รับรู้ เพื่อให้เกิดสำนึกรัก และเรียนรู้ที่จะช่วยกันธำรงรักษามรดกอันทรงคุณค่าซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษ
นับตั้งแต่พญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๙ ในปัจจุบันเชียงใหม่มีอายุรวมเจ็ดร้อยกว่าปี (๗๒๑ ปีในปี พ.ศ.๒๕๖๐) นับเวลาที่ราชวงศ์มังรายที่ครองเชียงใหม่ได้ ๒๖๒ ปี สิ้นรัชสมัยของพระราชวงศ์มังรายปี ๒๑๐๑ โดยมีพระเจ้าเมกุฏิสุทธิวงศ์ครองเมืองเป็นองค์สุดท้าย เนื่องจากเสียเมืองให้แก่พระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์พม่า เมื่อวันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ เวลา ๙ โมง ปี พ.ศ. ๒๑๐๑
พญามังรายมหาราช เป็นพระโอรสของพญาลาวเม็ง กับพระนางอั้วมิ่งจอมขวัญ ซึ่งเป็นธิดาของท้าวรุ่งแก่นชาย เจ้าเมืองเชียงรุ้ง ทรงประสูติเมื่อ พ.ศ. ๑๗๘๒ และขึ้นครองราชย์สมบัติแทนพระบิดาเมื่อ พ.ศ. ๑๘๐๒ ที่เมืองชัยวรนครเชียงลาว หรือเมืองหิรัญนครเงินยาง ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสายไหลลงมาบรรจบแม่น้ำโขง
หลังจากขึ้นเสวยราชสมบัติได้ ๓ ปี ช้างพระที่นั่งของพระองค์ซึ่งปล่อยไว้ที่ป่าหัวดอยทางทิศตะวันออกได้หลุดหายไป พระองค์จึงเสด็จตามช้างจนถึงดอยจอมทอง ริมฝั่งแม่น้ำกก เห็นภูมิประเทศเป็นที่เหมาะสมชัยภูมิดี ก็โปรดให้สร้างพระนครขึ้นที่นั่นโดยก่อกำแพงโอบรอบเอาดอยจอมทองไว้ตรงกลางเมือง แล้วเรียกว่า “เมืองเชียงราย” แล้วทรงย้ายราชธานีจากเมืองหิรัญนครเงินยางมาตั้งอยู่ที่เชียงราย
หลังจากนั้นพระองค์ก็รวบรวมพลเมืองตั้งกองทัพให้เข้มแข็ง แล้วเที่ยวตีหัวเมืองน้อยใหญ่ที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์เพื่อรวมเอาล้านนาไทยให้เป็นประเทศเดียวกัน จึงไม่ค่อยได้ประทับอยู่เชียงรายนัก จนปี พ.ศ.๑๘๑๑ พระองค์ประทับอยู่เมืองฝาง ให้ขุนเครื่องโอรสองค์โตครองเมืองเชียงราย ขุนเครื่องคบคิดกบถกับขุนไสเรืองผู้เป็นอำมาตย์ ทรงทราบเรื่องจึงแสร้งทำกลอุบายให้คนไปบอกขุนเครื่องมาเฝ้าที่เมืองฝาง แล้วใช้อ้ายเผียนเอาหน้าไม้ชุบยาพิษไปดักยิงเสียกลางทาง จึงเรียกที่แห่งนั้นว่า เวียงยิง (ปัจจุบันคือ บ้านทุ่งน้อย อำเภอพร้าว) แล้วทรงตั้งขุนครามให้อยู่ครองเมืองเชียงราย ต่อมาทรงยึดเมืองหริภุญชัยได้ในปี ๑๘๒๔ ก็ครองเมืองหริภุญชัยเป็นฐานทัพ ได้ ๒ ปีก็ย้ายไปสร้างเมืองใหม่อยู่ทางทิศอีสานของเมืองลำพูน อยู่ได้อีก ๓ ปีเห็นว่าสถานที่นั้นเป็นที่ลุ่ม ถึงฤดูฝนน้ำก็ท่วม พวกสัตว์พาหนะก็อยู่ลำบาก จึงย้ายเมืองไปอยู่ฝั่งแม่น้ำปิงเมื่อปี ๑๘๒๙ เรียกว่าเวียงกุ๋มก๋วม หมายถึงสร้างครอบแม่น้ำ เมืองนี้อยู่ที่ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ประทับอยู่เวียงกุ๋มก๋วมจนถึง พ.ศ.๑๘๓๕ ก็เสด็จล่าสัตว์ ณ เชิงดอยสุเทพ ไปพบทำเลที่เหมาะสม มีเทพนิมิตปรากฏ จึงไปสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่นั่น พร้อมพระสหายคือ พระร่วงเจ้า กษัตริย์เมืองสุโขทัย และพ่อขุนงำเมือง กษัตริย์เมืองพะเยา เป็นที่ปรึกษา เมื่อปี ๑๘๓๕ จึงเกิดเมืองเชียงใหม่ขึ้นมาแต่บัดนั้น ดังความพิสดารที่ปรากฏในหนังสือตำนานเมืองเหนือ ซึ่งสงวน โชติสุขรัตน์ ได้รวบรวมเอกสารตำนานดั้งเดิมมาเรียบเรียงไว้ดังนี้
เมื่อพญามังราย ทรงทำสงครามแผ่ราชอาณาจักร เพื่อรวมไทยภาคเหนือเข้าด้วยกัน ขณะเดียวกัน พ่อขุนรามคำแหง ผู้เป็นพระสหายก็สถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้นทางภาคกลาง และมีอาณาเขตติดต่อกัน ทั้งสองพระองค์จึงมิได้รุกรานซึ่งกันและกัน ตรงกันข้ามกลับมีสัมพันธไมตรีอันดียิ่งต่อกัน หลังจากที่พระองค์ตีได้อาณาจักรหริภุญชัยจากพญายีบา เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๒๔ จึงครองเมืองหริภุญชัยอยู่ ๒ ปี ก็มอบเมืองให้อ้ายฟ้าคนสนิทครองเมืองต่อไป ส่วนพระองค์ได้สร้างเมืองใหม่อยู่ทางทิศอีสานของเมืองหริภุญชัย อยู่ได้ ๓ ปี เห็นว่าตำบลนั้นเป็นที่ลุ่ม น้ำมักท่วมในฤดูฝน หาที่พักอาศัยให้แก่พาหนะ แลสัตว์เลี้ยงลำบากนัก จึงได้ย้ายมาสร้างเมืองใหม่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำมิงค์ เมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๙ เรียกว่า “เวียงกุมกวม” (ภาษาเหนือออกเสียงเป็น กุ๋มก๋วม แปลว่าสร้างครอบแม่น้ำมิงค์) เมืองนี้ปัจจุบันอยู่ในท้องที่ของตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่
พระเจ้าเมงรายมหาราช ครองเมืองกุมกาม อยู่จนถึงพ.ศ.๑๘๓๔ วันหนึ่งพระองค์เสด็จประพาสล่าสัตว์ ไปทางทิศเหนือ ไปถึงเชิงดอยอ้อยช้าง (หรือดอยกาละ หรือดอยสุเทพ) ทรงประทับแรมอยู่ตำบลบ้านแหนได้ ๓ เพลา พระองค์ทรงทอดพระเนตร เห็นสถานที่ชัยภูมิตรงนั้นดีมาก เป็นทำเลที่เหมาะสำหรับการสร้างเมืองอยู่อาศัย และในราตรีนั้นพระองค์ทรงสุบินนิมิตว่า มีบุรุษผู้หนึ่ง (คือเทพยดาจำแลง) มาบอกกับพระองค์ว่า หากพระองค์มาสร้างเมืองอยู่ที่นั่น จะประสบความเจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก เมื่อพระองค์ทรงตื่นจากสุบิน ทรงเห็นเป็นศุภนิมิต ก็มีความดีพระทัยเป็นอันมาก ทรงมีพระราชดำริที่จะสร้างเมืองขึ้น
หลังจากที่พระองค์กลับมายัง เวียงกุมกวมแล้ว ครั้นหมดฤดูฝน ฤดูทำนา พระองค์ก็เสด็จประพาสล่าสัตว์ พร้อมด้วยข้าราชการบริพารอีกครั้งหนึ่ง และคงไปล่าสัตว์ตามบริเวณดอยสุเทพตามเดิมคราวนี้ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จ ไปพบที่แห่งหนึ่ง เป็นที่น่าอัศจรรย์มาก ที่นั่นเป็นป่าเลาป่าคา และภายนอกบริเวณป่าเลาป่าคานั้นเป็นที่ราบกว้างขวาง ภายในป่าเลาป่าคาซึ่งขึ้นเป็นวงโอบล้อมหญ้าแพรกและแห้วหมูนั้น มีฟานเผือก(เก้งเผือก) สองแม่ลูกอาศัยอยู่ในที่นั้น เมื่อฟานสองตัวออกหากิน สุนัขล่าเนื้อของพรานที่ตามเสด็จก็รุมกันขับไล่ ฟานทั้งสองก็วิ่งกลับเข้าไปในนั้นอีก และสุนัขก็ไม่อาจทำอันตรายได้ พวกพรานทั้งหลายเห็นเป็นอัศจรรย์ก็นำความไปกราบทูลให้พญามังรายทรงทราบ เมื่อพระองค์ทรงทราบเช่นนั้นก็เข้าพระทัยว่า สถานที่นั้นเหมาะสมที่จะสร้างเป็นเวียงสำหรับอยู่อาศัยต่อไป พระองค์จึงสั่งให้ข้าราชบริพารช่วยกันล้อมจับฟานทั้งสองแม่ลูกนั้น แล้วให้สร้างพะเนียงล้อมไว้ทางทิศเหนือริมน้ำแม่หยวก
เมื่อพระองค์เสด็จกลับเวียงกุมกวมแล้ว จึงเกณฑ์ไพร่บ้านพลเมืองไปยังสถานที่นั้น เพื่อจะสร้างเมืองใหม่และให้เอาที่ป่าเลาป่าคาที่ฟานสองแม่ลูกนั้นอาศัยอยู่เป็นที่ชัยภูมิสร้างเมือง และทำพิธีตั้งชัยภูมิเมืองขึ้นเมื่อ วันพฤหัสบดี เดือน๗ เหนือ (เดือน๕ใต้) ขึ้น ๘ ค่ำดิถี ๘ นาทีจันทรเสวยฤกษ์ ๗ ปุณณะสฤกษ์ ในราศีกรกฎ ยามแตรรุ่ง ๓ นาที เศษ ๒ บาท ไว้ลักขณาเมือง ในราศีมีน อาโปธาตุยามศักราชขึ้นเถลิงศกเป็นจุลศักราช ๖๕๔ ปีมะโรง จัตวาศก พ.ศ.๑๘๓๕
เมื่อตั้งชัยภูมิเมืองแล้ว พญามังรายก็ทรงโปรดให้สร้างพระราชนิเวศน์มณเฑียรขึ้นใหม่ และให้สร้างบ้านเรือนให้ข้าราชบริพารอยู่แวดล้อมเป็นอันมาก เวียงเล็กที่พญามังรายทรงสร้างที่อยู่อาศัย เพื่อสร้างเมืองเชียงใหม่คือ ”เวียงเล็ก” (บริเวณวัดเชียงมั่นตรงที่สร้างเจดีย์ไว้นั้น เป็นหอบรรทมของพญามังราย) แล้วพระองค์ได้ให้กรุยเขตที่จะขุดคูเมือง และก่อกำแพงเมืองโดยกำหนดเอาที่ชัยภูมินั้นเป็นจุดศูนย์กลาง แล้ววัดจากศูนย์กลางด้านละ ๑,๐๐๐ วา เป็นขนาดกำแพงเมือง เมื่อกรุยทางไว้เรียบร้อยแล้ว พระองค์มารำพึงอยู่ว่า การที่พระองค์จะสร้างเมืองขึ้นครั้งนี้เป็นงานใหญ่มากควรที่ชวนพระสหายทั้งสองคือ พญางำเมืองเจ้าเมืองพะเยา และพญาร่วงเจ้าเมืองสุโขทัย ซึ่งเคยร่วมสาบานเป็นพันธมิตรกันนั้นมาปรึกษาหารือช่วยคิดการสร้างเมืองจะดีกว่า ทรงดำริเช่นนั้นแล้วพระองค์จึงแต่งตั้งให้ราชบุรุษถือพระราชสาส์น ไปทูลเชิญพระสหายทั้งสองนั้นมายังเวียงมั่น ซึ่งทำให้การสร้างเมืองหยุดชะงักไปวาระหนึ่ง เป็นเวลา ๓ ปีเศษ อาจเป็นเพราะพระสหายทั้งสองไม่มีเวลาที่จะเสด็จมายังเมืองใหม่ และอีกประการหนึ่ง ในระหว่างนี้มีข่าวว่า พญายีบาเจ้าลำพูนที่แตกหนีไปอาศัยอยู่กับพญาเบิกผู้บุตร (บางแห่งว่าน้อง) จะยกทัพมาตีเมืองลำพูนคืน และจะยกมาตีเมืองกุมกวมของพญามังรายด้วย พญามังรายต้องเตรียมรับศึก ซึ่งการยุทธครั้งนี้ เกิดขึ้นในเดือน ๔ เหนือก่อนการสร้างเมืองเชียงใหม่ ๔ เดือน เป็นการยุทธครั้งใหญ่ยิ่งในรัชสมัยสองพระองค์เมื่อกษัตริย์ทั้งสามพร้อมเพรียงกันแล้ว ก็ปรึกษาหารือกันถึงการวางแผนผังสร้างเมือง พญามังรายมีความเห็นว่า จะสร้างกำแพงเมืองวัดจากชัยภูมิอันเป็นศูนย์กลางออกไปด้านละ ๑,๐๐๐ วาเป็นตัวเมืองกว้าง ๒,๐๐๐ วา หรือ๑๐๐เส้น
พญางำเมือง ประมุขแห่งอาณาจักรพะเยาเห็นชอบด้วย แต่พญาร่วงมีความเห็นว่า“การที่จะสร้างเมืองกว้างขวางเช่นนั้น หากในเวลาไม่มีศึกสงคราม ก็ไม่เป็นที่น่าวิตกอย่างใด หากแต่ว่าเกิดศึกมาประชิดติดเมืองแล้วการป้องกันบ้านเมืองจะลำบากมาก เพราะตัวเมืองกว้างขวางเกินไป ควรที่วัดจากชัยภูมิเมืองไปด้วนละ ๕๐๐ วา เป็นเมืองกว้าง ๑,๐๐๐ วา จะดีกว่าซึ่งถ้าหากจะมีข้าศึกมาเบียดเบียนก็ไม่เป็นการยากลำบากในการป้องกัน และหากว่าในการข้างหน้า บ้านเมืองเจริญขึ้น ก็ย่อมขยายตัวเมืองออกไปได้ตามกาลเวลา”
เมื่อได้ยินพระสหายออกความเห็นเช่นนั้น พญามังรายก็ทรงดัดแปลงผังเมืองใหม่ โดยให้มีด้านยาวเพียง ๑,๐๐๐ วาดังเดิม และให้มีด้านกว้างวัดจากหลักชัยภูมิไปเพียง ๔๐๐ วาเป็นกว้าง ๘๐๐ วา เป็นรูปสี่เหลียมผืนผ้า ซึ่งพระสหายทั้งสองก็เห็นชอบด้วย
ดังนั้นพญามังรายจึงเชิญชวนพระสหายทั้งสองออกไปยังชัยภูมิ เพื่อตรวจดูทำเลสถานที่ๆจะสร้างพระราชนิเวศน์มณเฑียรถาวรใหม่ เมื่อกษัตริย์ทั้งสามไปถึงสถานที่แห่งนั้น ก็ปรากฏศุภนิมิตให้เห็นคือ มีหนูเผือกตัวใหญ่เท่าดุมเกวียน มีบริวาร ๔ ตัวก็วิ่งออกจากชัยภูมิที่นั้น ไปทางทิศตะวันออกก่อน แล้วบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ไปลงรูแห่งหนึ่งที่ใต้ต้นนิโครธ(ต้นไม้ลุง) กษัตริย์ทั้งสามเห็นเป็นนิมิตอันดีเช่นนั้น ก็จัดแต่งดอกไม้ธูปเทียนไปสักการบูชาที่ต้นนิโครธนั้น (ต้นไม้ต้นนี้ถูกทำลายไปในรัชสมัย พระเจ้าติโลกมหาราชพระองค์ทรงให้ขุดขึ้นเพื่อสร้างพระราชนิเวศน์มณเฑียรใหม่) แล้วให้จัดสร้างรั้วไม้ล้อมรอบไม้นั้นจึงถือว่าเป็นไม้เสื้อเมืองหรือศรีเมืองสืบมา