Re: ประวัติศาสตร์ล้านนา
เมื่อ: พฤหัสฯ. 30 มิ.ย. 2016 8:25 pm
วิหารล้านนา ตอนที่ ๒ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของวิหาร
ครั้นเมื่อคณะราษฎร์ยกเลิกการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลใน พ.ศ. ๒๔๗๖ มณฑลพายัพจึงถูกยุบ แต่ผลของการเปลี่ยนแปลงในช่วงการปฏิรูปการปกครองเป็นรากฐานสืบมาถึงปัจจุบันผลกระทบของการปฏิรูปการปกครองที่มีต่อรูปแบบสถาปัตยกรรมวิหารล้านนาในจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๑ – ๒๔๘๒ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้เดินทางไปตรวจราชการทางจังหวัดทางภาคใต้ ท่านได้ปรารภว่าการออกแบบวัดวาอารามต่างๆ ตามระยะทางที่ผ่านไปนั้นมีลักษณะทรวดทรงไม่สวยงาม ไม่เหมาะที่จะเป็นเครื่องแสดงวัฒนธรรมของชาติ ดังนั้นรัฐบาลจึงได้มอบหมายงานมายังกรมศิลปากร เพื่อทำการออกแบบพระอุโบสถที่ได้มาตรฐานทางสถาปัตยกรรมไทยขึ้น โดยแบ่งออกเป็น ๓ ขนาด ขึ้นอยู่กับงบประมาณในการก่อสร้างเพื่อจัดส่งไปยังจังหวัดต่างๆ ให้ประชาชนได้เห็นเป็นตัวอย่างในการนำไปใช้ก่อสร้างต่อไป
กรมศิลปากรได้มอบหมายให้ พระพรหมพิจิตร เป็นผู้ออกแบบพระอุโบสถทั้งสามแบบดังกล่าว ซึ่งรู้จักกันในเวลาต่อมาในชื่อว่า “พระอุโบสถแบบ ก.ข.ค.” รูปแบบพระอุโบสถดังกล่าวทั้งสามถูกคิดขึ้นจากรูปทรงพระอุโบสถแบบภาคกลางเพียงอย่างเดียวและทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่เป็นงานสถาปัตยกรรมไทยเครื่องคอนกรีตทั้งสิ้น รูปแบบดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดชาตินิยมทางศิลปะ ณ ขณะนั้นที่นิยมยกย่องศิลปะแบบภาคกลางเพียงแบบเดียวเท่านั้นว่ามีความเป็นไทยและสร้างทัศนะคติต่องานท้องถิ่นทั้งหมดว่าไม่สวยงามและไม่มีคุณค่าทางศิลปะเพียงพอรูปแบบมาตรฐานดังกล่าวได้กลายเป็นต้นเหตุสำคัญให้เกิดการรื้อถอนทำลายพระอุโบสถแบบดั้งเดิมที่ถูกออกแบบด้วยศิลปะแบบท้องถิ่นลงไปอย่างมากมาย รูปแบบพระอุโบสถฉบับมาตรฐานภาคกลางจากกรุงเทพฯ ของพระพรหมพิจิตร ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความทันสมัยและสวยงามแบบใหม่ในสายตาของชนชั้นนำท้องถิ่น โดยเฉพาะเจ้าอาวาสตามวัดต่างๆ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การปฏิรูปการปกครองในเชียงใหม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านรูปแบบของสถาปัตยกรรมวิหารล้านนาเชียงใหม่คือ
๑. ภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีการจัดทำแบบพระอุโบสถเพื่อก่อสร้างต่างจังหวัดขึ้นจำนวน ๓ แบบ คือ พระอุโบสถ ก. ข. ค. ซึ่งสร้างขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๘๓ เป็นจุดเริ่มต้นของการเผยแพร่รูปแบบสถาปัตยกรรมไทยสู่ภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศไทย
๒. ด้านการเผยแพร่รูปแบบของสถาปัตยกรรมไทยจากหน่วยงานของรัฐสู่ท้องถิ่นในลักษณะของแบบแปลนเอกสารทำให้เกิดความสะดวกในการนำมาเป็นแบบก่อสร้าง
๓. การเปลี่ยนแปลงวัสดุก่อสร้างจากอาคารไม้ เป็นอาคารที่ใช้วัสดุประเภทคอนกรีตเสริมเหล็กในการก่อสร้าง เนื่องจากความสะดวก รวดเร็ว ได้อาคารที่มีขนาดใหญ่
๔. การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้าง มีการสร้างอาคารที่ปิดล้อมทุกด้าน มีการเจาะช่องประตู หน้าต่างที่ใหญ่ขึ้น โครงสร้างแบบม้าต่างไหมหายไป ส่วนอาคารที่สร้างขึ้นโดยสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น ไม่มีรูปแบบของโครงสร้างหลังคาที่ชัดเจน
๕. การเปลี่ยนแปลงขนาดอาคาร ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าอุโบสถและวิหารล้านนาเดิม ส่งผลต่อการจัดวางผังวัดที่ไม่มีการแบ่งเขตพุทธาวาส สังฆาวาส เป็นการใช้พื้นที่ร่วมกัน อาคารที่มีขนาดใหญ่ทำให้ใช้เวลาในการระดมทุนซึ่งเป็นปัจจัยในการสร้างมาก
๖. การเปลี่ยนแปลงส่วนประดับตกแต่งองค์ประกอบต่างๆ ของอาคาร ได้แก่ เครื่องบนหน้าบันและลวดลาย ซุ้มประตูและหน้าต่าง
๗. การเปลี่ยนแปลงด้านหน้าที่ใช้สอย จากการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจนระหว่างอุโบสถและวิหารล้านนา ต่อมาเมืองเปลี่ยนเป็นอุโบสถวิหารเป็นการกำหนดหน้าที่ใช้สอยใหม่โดยใช้พื้นทีร่วมกัน
๗. ด้านความรู้ ความเข้าใจ และข้อกำหนดเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมภายในวัดที่ลดลงเนื่องจากวัดไม่ได้เป็นศูนย์กลางหรือแหล่งเรียนรู้ดังเช่นอดีต
ครั้นเมื่อคณะราษฎร์ยกเลิกการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลใน พ.ศ. ๒๔๗๖ มณฑลพายัพจึงถูกยุบ แต่ผลของการเปลี่ยนแปลงในช่วงการปฏิรูปการปกครองเป็นรากฐานสืบมาถึงปัจจุบันผลกระทบของการปฏิรูปการปกครองที่มีต่อรูปแบบสถาปัตยกรรมวิหารล้านนาในจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๑ – ๒๔๘๒ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้เดินทางไปตรวจราชการทางจังหวัดทางภาคใต้ ท่านได้ปรารภว่าการออกแบบวัดวาอารามต่างๆ ตามระยะทางที่ผ่านไปนั้นมีลักษณะทรวดทรงไม่สวยงาม ไม่เหมาะที่จะเป็นเครื่องแสดงวัฒนธรรมของชาติ ดังนั้นรัฐบาลจึงได้มอบหมายงานมายังกรมศิลปากร เพื่อทำการออกแบบพระอุโบสถที่ได้มาตรฐานทางสถาปัตยกรรมไทยขึ้น โดยแบ่งออกเป็น ๓ ขนาด ขึ้นอยู่กับงบประมาณในการก่อสร้างเพื่อจัดส่งไปยังจังหวัดต่างๆ ให้ประชาชนได้เห็นเป็นตัวอย่างในการนำไปใช้ก่อสร้างต่อไป
กรมศิลปากรได้มอบหมายให้ พระพรหมพิจิตร เป็นผู้ออกแบบพระอุโบสถทั้งสามแบบดังกล่าว ซึ่งรู้จักกันในเวลาต่อมาในชื่อว่า “พระอุโบสถแบบ ก.ข.ค.” รูปแบบพระอุโบสถดังกล่าวทั้งสามถูกคิดขึ้นจากรูปทรงพระอุโบสถแบบภาคกลางเพียงอย่างเดียวและทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่เป็นงานสถาปัตยกรรมไทยเครื่องคอนกรีตทั้งสิ้น รูปแบบดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดชาตินิยมทางศิลปะ ณ ขณะนั้นที่นิยมยกย่องศิลปะแบบภาคกลางเพียงแบบเดียวเท่านั้นว่ามีความเป็นไทยและสร้างทัศนะคติต่องานท้องถิ่นทั้งหมดว่าไม่สวยงามและไม่มีคุณค่าทางศิลปะเพียงพอรูปแบบมาตรฐานดังกล่าวได้กลายเป็นต้นเหตุสำคัญให้เกิดการรื้อถอนทำลายพระอุโบสถแบบดั้งเดิมที่ถูกออกแบบด้วยศิลปะแบบท้องถิ่นลงไปอย่างมากมาย รูปแบบพระอุโบสถฉบับมาตรฐานภาคกลางจากกรุงเทพฯ ของพระพรหมพิจิตร ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความทันสมัยและสวยงามแบบใหม่ในสายตาของชนชั้นนำท้องถิ่น โดยเฉพาะเจ้าอาวาสตามวัดต่างๆ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การปฏิรูปการปกครองในเชียงใหม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านรูปแบบของสถาปัตยกรรมวิหารล้านนาเชียงใหม่คือ
๑. ภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีการจัดทำแบบพระอุโบสถเพื่อก่อสร้างต่างจังหวัดขึ้นจำนวน ๓ แบบ คือ พระอุโบสถ ก. ข. ค. ซึ่งสร้างขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๘๓ เป็นจุดเริ่มต้นของการเผยแพร่รูปแบบสถาปัตยกรรมไทยสู่ภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศไทย
๒. ด้านการเผยแพร่รูปแบบของสถาปัตยกรรมไทยจากหน่วยงานของรัฐสู่ท้องถิ่นในลักษณะของแบบแปลนเอกสารทำให้เกิดความสะดวกในการนำมาเป็นแบบก่อสร้าง
๓. การเปลี่ยนแปลงวัสดุก่อสร้างจากอาคารไม้ เป็นอาคารที่ใช้วัสดุประเภทคอนกรีตเสริมเหล็กในการก่อสร้าง เนื่องจากความสะดวก รวดเร็ว ได้อาคารที่มีขนาดใหญ่
๔. การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้าง มีการสร้างอาคารที่ปิดล้อมทุกด้าน มีการเจาะช่องประตู หน้าต่างที่ใหญ่ขึ้น โครงสร้างแบบม้าต่างไหมหายไป ส่วนอาคารที่สร้างขึ้นโดยสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น ไม่มีรูปแบบของโครงสร้างหลังคาที่ชัดเจน
๕. การเปลี่ยนแปลงขนาดอาคาร ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าอุโบสถและวิหารล้านนาเดิม ส่งผลต่อการจัดวางผังวัดที่ไม่มีการแบ่งเขตพุทธาวาส สังฆาวาส เป็นการใช้พื้นที่ร่วมกัน อาคารที่มีขนาดใหญ่ทำให้ใช้เวลาในการระดมทุนซึ่งเป็นปัจจัยในการสร้างมาก
๖. การเปลี่ยนแปลงส่วนประดับตกแต่งองค์ประกอบต่างๆ ของอาคาร ได้แก่ เครื่องบนหน้าบันและลวดลาย ซุ้มประตูและหน้าต่าง
๗. การเปลี่ยนแปลงด้านหน้าที่ใช้สอย จากการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจนระหว่างอุโบสถและวิหารล้านนา ต่อมาเมืองเปลี่ยนเป็นอุโบสถวิหารเป็นการกำหนดหน้าที่ใช้สอยใหม่โดยใช้พื้นทีร่วมกัน
๗. ด้านความรู้ ความเข้าใจ และข้อกำหนดเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมภายในวัดที่ลดลงเนื่องจากวัดไม่ได้เป็นศูนย์กลางหรือแหล่งเรียนรู้ดังเช่นอดีต