โดย วิรัตต์ยา » จันทร์ 14 ก.ย. 2009 2:58 am
๖
ยังไงก็ตาม ฉันได้พยายามทำหน้าที่เพื่อนให้ดีที่สุดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนย้ายออกจากที่นั่น ด้วยการไปคุยกับพี่ตั้นแบบเปิดอกเป็นครั้งแรก และคำพูดของเขาก็ทำให้ฉันถึงกับจุก เข่าอ่อนไปด้วยความขยะแขยง
“พี่ไม่เคยจีบดาวนะ แอ๋ม ดาวมาชอบพี่เอง แอ๋มก็น่าจะรู้ว่าคนที่พี่ชอบคือใคร” เขาส่งตาหวานมาให้อีกครั้ง ทำเอาฉันขนลุก แต่แล้วเขาก็รีบพูดต่อว่า “แต่พี่ก็ให้ดาวเป็นคนเลือกนะว่าจะเอายังไงจะอยู่หรือจะไป ถ้าเขาอยากไปพี่ก็ไม่ห้าม”
“แล้วทำไมพี่ไม่ไปจากมันเสียเองล่ะ พี่ไม่ต้องยุ่งกับมันได้มั้ยล่ะ”
พี่ตั้นมองหน้าฉันเหมือนเห็นสิ่งประหลาดที่เพิ่งค้นพบใหม่ สายตาเขาบอกว่า คำพูดของฉันเป็นคำพูดที่โง่เง่าที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา (และฉันก็แปลออกมาได้ว่า ในเมื่อมีขนมมาป้อนถึงห้อง ใครไม่กินก็บ้าแล้ว!!!)
“งั้นแอ๋มถามใหม่ พี่รักดาวมันบ้างมั้ย”
คราวนี้เขาเงียบและมองหน้าฉันด้วยสายตาแบบเมื่อสักครู่อีกครั้ง
“พี่ไม่ได้รักมัน แต่พี่เห็นแก่ตัว พี่เอาเปรียบมัน”
“แอ๋มอย่าลืมว่า ดาวเป็นคนตัดสินใจเองนะ พี่ไม่ได้ขอร้องหรือบังคับอะไรเลย”
ดาวมันจะรู้หรือไม่นะ ว่าผู้ชายที่มันยอมเสียศักดิ์ศรีและก้าวข้ามเส้นศีลธรรมมาหานั้น ดูถูกและหยามเกียรติมันมากแค่ไหน
พอฉันก้าวออกจากห้องพี่ตั้น โหน่งก็มายืนอยู่ตรงกรอบประตูห้องเขาพอดี คงเห็นสายตาและท่าทางของฉันกระมัง เขาก็เลยก้าวมาหาและดึงมือเข้าไปในห้องของเขา
“ได้ยินว่าแอ๋มจะย้ายออก”
“แอ๋มอยู่ไม่ได้หรอก โหน่ง”
“แต่ถ้าแอ๋มไป ดาวก็ยิ่งเหมือนตัวคนเดียวนะ...”
“ดาวเลือกเองนี่”
“ถ้าเป็นผมนะ ผมจะไม่ทิ้งเพื่อนไปไหนหรอก ผมจะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ ไม่ว่าเขาจะเป็นยังไงก็ตาม ผมจะนึกถึงแต่สิ่งดีๆ ที่เขามีอยู่และเคยมีร่วมกันมา”
“แล้วดาวมันคิดถึงข้อนี้บ้างหรือเปล่า”
“การเสียตัวให้คนที่เรารักนี่มันเป็นเรื่องร้ายแรงขนาดที่แอ๋มจะให้อภัยเพื่อนไม่ได้เชียวหรือ”
“โหน่ง!” ฉันเรียกชื่อเขาด้วยความไม่เข้าใจและไม่พอใจ “โหน่งถามออกมาอย่างนี้ได้ยังไง เราไม่ใช่คนหัวโบราณที่ตะบี้ตะบันต่อต้านเรื่องการเสียตัวก่อนแต่งโดยไม่ดูอะไรนะ แต่คนที่ดาวเสียให้คือคนที่มีเมียแล้ว”
“ผมไม่ลืมความจริงข้อนั้นหรอก แอ๋ม...แต่...แอ๋มจะไม่อยู่คอยดึงดาวกลับมาหาเราหรือ แอ๋มไม่เสียดายเวลาที่ผ่านมาของแอ๋มกับดาวหรือ”
“เพราะเสียดายไง เราถึงต้องไป ขืนเราอยู่เห็นภาพที่ดาวมันยอมไปเป็นเมียน้อยเขาแบบเต็มตา ความรู้สึกเราคงแย่กว่านี้และเราก็จะไม่เหลือความรู้สึกที่ดีให้มันเลย”
“แอ๋มใจร้าย”
“เอ๊ะ โหน่ง...” คราวนี้ฉันโกรธเขาขึ้นมาจริงๆ จังๆ “นี่มันเรื่องของเรากับดาวนะ ไม่เกี่ยวกับเธอหรือใครๆ ไม่ต้องมายุ่งหรือมาแสดงความคิดเห็นอะไรทั้งนั้น”
“แอ๋ม...”
“หึ โหน่งจะบอกว่า เราไม่รักเพื่อนอย่างนั้นหรือ ถ้าเราไม่รักดาว ดาวมันก็ไม่รักเราเหมือนกันแหละ…เอาอย่างนี้แล้วกัน โหน่งก็ดูแลและคอยช่วยดาวไปแล้วกัน วันหนึ่งความดีของเธออาจทำให้มันรักเธอและยอมเลิกกับพี่ตั้นก็ได้มั้ง เราไปละ”
“แอ๋ม เดี๋ยวก่อน...จำได้มั้ย ที่ผมเคยบอกแอ๋มว่า มีอีกเรื่องที่แอ๋มต้องทำความเข้าใจน่ะ ผมอยากคุยกับแอ๋มเสียที”
“ทำไม จะให้แอ๋มเข้าใจความรักในแบบที่ดาวเป็นกับพี่ตั้นเนี่ยเหรอ แอ๋มไม่เข้าใจและไม่มีวันเข้าใจได้ด้วย อย่าพยายามเลย โหน่ง มันไม่มีประโยชน์หรอก”
ฉันอาศัยเวลาที่ดาวไม่อยู่ห้อง ค่อยๆ ทยอยเก็บข้าวของซึ่งก็ไม่มากมายอะไรนักหรอก ฉันทิ้งข้าวของบางอย่างรวมทั้งอุปกรณ์ครัวที่ฉันออกเงินซื้อไว้ให้ดาว เพราะคิดว่ามันน่าจะได้ใช้มากกว่าฉัน
และในวันที่ฉันย้ายออก มันก็ไม่ได้อยู่ช่วย เพราะพี่ตั้นชวนมันออกไปข้างนอก นัยว่าไปทำธุระอะไรสักอย่างนี่แหละ และฉันก็ไม่ได้ยินคำคัดค้านจากมันแม้แต่คำเดียว มันหันมามองฉันแว่บหนึ่งก็เดินตามพี่ตั้นไป
ฉันรีบไล่โหน่งและเพื่อนๆ ที่จะมาช่วยย้ายให้ออกไปจากห้องก่อน แล้วก็ปิดประตูเพื่อร้องไห้
เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ฉันร้องไห้ออกมานับแต่เกิดเรื่อง ดาวคนนั้นของฉันตายไปแล้วจริงๆ
โหน่งเป็นคนนั่งแท็กซี่มาส่งฉันที่หอใหม่ ช่วยย้ายและช่วยจัดจนเรียบร้อย ฉันเลือกหอและห้องที่มีเฟอร์นิเจอร์พร้อม ทุกอย่างถูกจัดวางเรียบร้อยแล้ว เราจึงไม่เหนื่อยกันมากนัก เหนื่อยก็แต่ตอนย้ายนั่นแหละ ให้ตายสิ ถ้าไม่จำเป็นนะ ฉันจะไม่ย้ายหอเด็ดขาด
โหน่งไม่พูดถึงเรื่องที่เรามีปากเสียงกันเมื่อวันนั้นอีกเลย ฉันเองก็ไม่รื้อฟื้นอะไร เราช่วยกันจัดห้องเงียบๆ ดูเหมือนต่างคนต่างหมกมุ่นอยู่ในความคิดของตนเองเสียมากกว่า จะคุยกันก็ต่อเมื่อหันไปถามความเห็นเรื่องการจัดวางของ
“ชั้นวางของนี่ไว้ตรงไหนดี แอ๋ม หัวเตียงนี่ดีมั้ย”
“ค่ะ หัวเตียงนั่นละ น่าจะเหมาะสุดแล้ว”
“แล้วหนังสือในลังนี่ละ แอ๋มจะเอายังไง ไปซื้อชั้นเลยหรือเปล่า เดี๋ยวผมไปช่วยเลือก”
“ไม่ต้องหรอก วางบนพื้นเลย ซ้อนๆ กันน่ะค่ะ ห้องแอ๋มกว้างขนาดนี้ ที่วางหนังสือเยอะแยะ”
“ปูเตียงเลยมั้ย แอ๋ม เดี๋ยวผมช่วย”
“ขอบคุณค่ะ”
และตอนช่วยกันปูเตียง เราถือผ้าคนละมุมและไม่ได้พูดอะไรกัน แต่เมื่อไรก็ตามที่ฉันมองไป เป็นต้องเห็นเขามองอยู่และกำลังยิ้มน้อยๆ เสมอ
“แอ๋มชอบผู้ชายแบบไหนเหรอ” จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“มันเกี่ยวกับเรื่องปูเตียงนี่หรือเปล่า โหน่ง”
“เกี่ยวสิ เกี่ยวมากด้วย” เขาพูดกลั้วหัวเราะและมองฉันอย่างมีนัย ฉันส่งค้อนไปให้เมื่อรับมุกของเขาได้ จากนั้นก็ก้มลงสอดชายผ้าปูเข้ากับมุมฟูกโดยไม่ตอบอะไร
“อ้าว ว่าไงครับ ไม่ตอบผมเลย”
“ตอนนี้เอาที่ตรงกันข้ามพี่ตั้นก็พอ โสด จริงใจ เป็นคนดี ให้เกียรติผู้หญิง”
โหน่งหัวเราะเบาๆ
“ท่าทางจะเกลียดพี่ตั้นมาก ระวังเหอะ เกลียดยังไงได้อย่างนั้นนะ” เขาทำหน้าขู่ฉัน
“อาจจะเจอและอาจจะเผลอรักเข้าก็ได้ ข้อนี้ไม่เถียงว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ถ้ารู้ความจริงว่าเขาไม่โสดแล้ว ก็จะเลิก ไม่ทนเป็นเมียน้อยหรอก ทุเรศ”
“อย่าเพิ่งพูดไปนะ ไม่เจอกับตัวไม่รู้หรอก ความรักนี่มันมีพลังมหาศาลนะ แอ๋ม สั่งให้เราทำอะไรได้มากมายที่เมื่อก่อนทำไม่ได้หรือไม่แม้แต่คิดจะทำ”
“เหมือนดาวเนี่ยเหรอ ที่ความรักสั่งให้มันเป็นเมียน้อย นี่ใช่มั้ย พลังของความรัก” ฉันอดประชดเข้าให้ไม่ได้ โหน่งหัวเราะอีกครั้งพลางส่ายหน้า
“แขวะได้นิดๆ หน่อยๆ ก็เอานะ คนเรา...ผมไม่ได้ปรามาสหรือดูถูกแอ๋มนะ แต่ผมจะรอดูว่า วันที่มีความรัก คนแข็งๆ อย่างแอ๋มจะเป็นยังไง”
“แอ๋มก็ยังเป็นของแอ๋มอย่างที่โหน่งเห็นนี่แหละ...เออ เราหิวแล้ว ไปกินข้าวกันนะ โหน่งอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า เดี๋ยวเราเลี้ยง”
“จะปิดปากผมไม่ให้พูดมากใช่มั้ย รู้ทันหรอกน่า”
พอเราหัวเราะให้กันนั่นละ บรรยากาศระหว่างเราจึงกลับมาดีเหมือนเดิม