บทนำ
ภาคผนวก ก
นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่
นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ ศูนย์กลางแห่งอาณาจักรล้านนา ถือกำเนิดขึ้นในปีพุทธศักราช ๑๘๓๙ โดยพญามังรายได้ทรงปรึกษากับพระสะหาย คือ พญางำเมือง และพ่อขุนรามคำแหง ในการสร้างเมืองใหม่บริเวณที่ราบดอยสุเทพ ให้เป็นเมืองหลวงของล้านนา จึงทรงสถาปนาเมืองเชียงใหม่ขึ้น โดยมีชื่อเต็มว่า นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ หรือ เวียงพิงค์
เมืองเชียงใหม่เป็นเมืองที่มีความรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะทางด้านพระพุทธศาสนา เชียงใหม่จึงมีวัดมากมายกว่าร้อยแห่ง และมีร่องรอยศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญของล้านนาปรากฏอยู่ตามวัดต่าง ๆ เช่น วัดเจ็ดยอด วัดสวนดอก วัดเจดีย์หลวง ฯลฯ
ต่อมาเมื่อล่วงเข้าสู้รัชสมัยของพระนางจิรประภา เมืองเชียงใหม่เริ่มเสื่อมอำนาจลงจึงยอมอ่อนน้อมต่อกรุงศรีอยุธยา และเกิดความระส่ำระสายอย่างยิ่งในรัชสมัยของพญาแม่กุ ทำให้ต้องตกอยู่ในพระราชอำนาจของพระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่าในปีพุทธศักราช ๒๑๐๑
เมืองเชียงใหม่อยู่ใต้การปกครองของพม่านานกว่าสองร้อยปี จนในปีพุทธศักราช ๒๓๑๔ พญาจ่าบ้านและพญากาวิละทำการสู้รบกับโปมุง่วนของพม่า แต่ไม่สามารถต่อสู้กำลังของพม่าได้ จึงขอกำลังสมทบจากกรุงศรีอยุธยาภายใต้การนำของพระยาตาก เมืองเชียงใหม่จึงขับไล่พม่าออกไปได้สำเร็จ และพญาจ่าบ้านขึ้นครองเมือง โดยมีพระนามว่า พระยาวชิรปราการ ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๓๑๘ พม่าได้นำทัพมาตีเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง พระยาวชิรปราการไม่สามารถต้านทานกำลังของพม่าได้ จึงล่าถอยไปตั้งมั่นอยู่ที่ป่าซาง ทำให้เชียงใหม่กลายเป็นเมืองร้างนานนับ ๒๐ ปี
จวบจนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์ทรงต่างตั้งพญากาวิลละให้ขึ้นปกครองเชียงใหม่ และรวบรวมกำลังขับไล่พม่าออกไปได้ เชียงใหม่จึงตกเป็นประเทศราชแห่งเมืองสยาม กระทั่งในปีพุทธศักราช ๒๔๗๖ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรับปรุงการปกครองของประเทศ เชียงใหม่จึงมาฐานะเป็นจังหวัดจวบจนทุกวันนี้
ภาคผนวก ข
วัดอินทะขีลสะดือเมือง
ปีพุทธศักราช ๑๘๓๘ พญามังรายปฐมกษัตริย์แห่งล้านาได้เสด็จมาพบซากเสาอินทะขีลและรูปกุมภัณฑ์ ณ บริเวณเมืองนพบุรีซึ่งป็นเมืองร้าง จึงมีรับสั่งให้ขุนนางชื่อ สรีกรชัย แต่งเครื่องบรรณาการไปถวายพญาลัวะซึ่งอยู่บนดอยสุเทพ พญาลัวะจึงถวายคำแนะนำว่า หากทรงมีพระประสงค์ที่จะสร้างเมืองขึ้นใหม่และอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขก็จงบูชากุมภัณฑ์และเสาอินทะขีล
ต่อมาเมื่อพญามังรายทรงสร้างเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่แล้ว จึงทรงโปรดให้นำเสาอินทะขีลไปประดิษฐานไว้ในบริเวณวัดสะดือเมือง ต่อมาจึงเรียกว่า วัดอินทะขีล ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเชียงใหม่นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทว่าเป็นที่น่าเสียดาย เมื่อหลังจากล้านนาตกเป็นของพม่าในปี พุทธศักราช ๒๑๐๑ แล้ว วัดอินทะขีลจึงกลายเป็นวัดร้างไปในที่สุด
ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๓๔๓ พระเจ้ากาวิละเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ในราชวงศ์พระเจ้าเจ็ดตนได้รับการช่วยเหลือจากเมืองสยามจนสามารถขับไล่พม่าออกไปจากดินแดนล้านนาและฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ขึ้น และย้ายเสา อินทะขีลมาประดิษฐานอยู่ ณ วัดเจดีย์หลวง พร้อมกับสร้างพระวิหารคร่อมฐานเดิม และอัญเชิญหลวงพ่ออุ่นเมือง หรือหลวงพ่อขาวมาเป็นพระประธาน
หลักฐานทางโบราณคดีของวัดอินทะขีลที่เหลือในปัจจุบัน หลวงพ่ออุ่นเมือง พระวิหาร องค์พระเจดีย์สี่เหลี่ยม และองค์พระเจดีย์แปดเหลี่ยม บริเวณองค์พระเจดีย์แห่งนี้นั้น เชื่อกันว่า เป็นบริเวณที่พญามังรายทรงต้องอัสนีบาตสวรรคต ต่อมาพระไชยสงคราม พระราชโอรสได้ทรงสร้างพระเจดีย์บรรจุพระอัฐิเอาไว้
ปัจจุบันวัดอินทะขีลสะดือเมืองได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครบ ๘๐ พรรษา จึงทำให้วัดอิลทะขีลอันเป็นเสาหลักของพุทธศาสนิกชนชาวเชียงใหม่ได้กลับมาเป็นศรีสง่าแห่งเมืองอีกครั้ง
ภาคผนวก ค
คำศัพท์ คำแปล
ก่อ ไหม
ก้อย ค่อย
กั๋น กัน
กา , ก๋า หรือ
ก๋าย ผ่าน
ก๋าร การ
กำเดียว เดี๋ยวเดียว
ก๋ำ ถือ
กู้วัน ทุกวัน
ขันโตก ภาชนะสำหรับวางสำรับอาหารของชาวล้านนา
ขึด ผิดประเพณี สิ่งไม่ดี
ค่าว การขับลำนำของชาวล้านนา
คำ ทอง
คิง มึง , แก
จ้ง โยน
จะได อย่างไร
จะอั้น อย่างนั้น
จั๊ก ชัก
เจ้า ค่ะ
เจื่อ บ่อย
เจื้อ เชื่อ
ใจ๊ ใช้
ใจ๋ ใจ
ซวาม คลำ
ตั๋วเก่า ตนเอง
ตี้ ที่
เต๊อะ เถอะ
เตียว เดิน
แต๊ จริง
ต๋าม ตาม
โตย ด้วย
บ่ ไม่
ใบต๋อง ใบตอง
ประเวณี ประเพณี
ป้อจาย ผู้ชาย
ปิ๊ก กลับ
ปี๋ ปี
เป๋น เป็น
เปิ้น เขา , เธอ
ไผ ใคร
พ่อง บ้าง
พี่เอื้อย พี่สาว
เมิน นาน
ยะ ทำ
ยามแลง ตอนเย็น
ละอ่อน เด็ก
สรวย การนำใบตองมาทำเป็นรูปกรวยสำหรับใส่ดอกไม้ธูป - เทียน
สีกรม สีน้ำเงิน
สีออน สีชมพู
เสี่ยว เพื่อนซี้
หื้อ ให้
แหม อีก
หยุบ จับ
ไห้ ร้องไห้
อะหยัง อะไร
เอ็นดู สงสาร
อู้ พูด
ฮอง รอง
ฮัก รัก
ฮั่ว รั่ว
ฮั้ว รั้ว
ฮา ข้า , กู
ฮ่ำฮ้อง ร่ำร้อง
เฮือน เรือน
โฮง โรง
รถโฟร์วีลล์สีดำขับทะยานขึ้นไปบนถนนสูงชันซึ่งสองข้างทางเต็มไปด้วยแมกไม้และป่ารกชัฏเย็นตา เมื่อขับไปได้สักระยะหนึ่ง คนขับซึ่งดูไกล ๆ เป็นหญิงสาว ผมยาว ผิวคล้ำ รูปร่างใหญ่ จึงลดกระจกลง และบ่ายหน้ามาสนทนากับผู้ที่นั่งข้าง ๆ ก่อนหันกลับไปมองท้องถนนด้วยความตั้งอกตั้งใจเช่นเดิม “ เวลาขับรถขึ้นดอยสุเทพเนี่ย ถ้าจะให้ได้อารมณ์ต้องลดกระจกลงนะพู่กัน ขับรถไป สายลมโกรกเย็นสบายเสียยิ่งกว่าเปิดแอร์เสียอีก เพลงนี่ก็ไม่ต้องเปิด ฟังเสียง
หรีดหริ่งเรไรเซ็งแซ่สองข้างทางเพราะกว่ากันเยอะ รู้จักไหมล่ะบทเพลงแห่งธรรมชาติน่ะ ”
กัณฐ์ลดาอมยิ้ม พยักหน้าน้อย ๆ แล้วปรับเบาะเอนลง เอียงหน้ามองออกไปนอกตัวรถ “ แล้วนี่มาร์กี้จะพาพู่กันไปไหนล่ะ ”
“ เดี๋ยวก็รู้ ” มาคินกั๊กคำตอบไว้ แล้วจึงขับรถขึ้นดอยสูงไปเรื่อย ๆ เกือบสิบกิโลเมตร จึงหักพวงมาลัยเข้าจอดชิดด้านซ้ายของถนน ซึ่งมีรถยนต์คันอื่นจอดเรียงรายอยู่อีกหลายคัน “ ถึงแล้วล่ะ ”
“ จุดชมวิว...” ผู้โดยสารสาวอ่านป้ายสีขาวขนาดใหญ่ ก่อนหันมามองเพื่อน “ ทำเป็นอุบไว้นะมาร์กี้ นึกว่าจะทำอะไรเซอร์ไพรส์เสียอีก ”
คนขับค้อนใส่เพื่อนแต่พองาม และหยิบกระเป๋าถือก้าวลงจากรถไปก่อน “ ก็เราไม่ได้ขึ้นมานานแล้วนี่นา ”
กัณฐ์ลดาก้าวลงจากฝั่งตรงข้ามคนขับแล้วปิดประตูปังใหญ่ ดึงผ้าพันคอให้ลงมาคลุมไหล่บาง เนื่องจากความหนาวเย็นเริ่มซึมซาบเข้าสู่ผิวเนื้อจนยะเยือก ก่อนเดินตามเพื่อนเข้าไปยังบริเวณระเบียงศาลาซึ่งยื่นออกไปเหนือหน้าผา กว้าง มองเห็นท้องฟ้าฝั่งตรงข้ามเป็นสีเทาจัดตัดเมฆสีขาวหม่นดูซึมเศร้าจนหญิงสาวอดเปรยขึ้นไม่ได้ว่า “ เวลาตะวันตกดินนี่เป็นช่วงที่เหงาจับใจเลยนะ ”
ผู้ซึ่งกำลังดื่มด่ำกับความงามของทิวทัศน์ชะงักงัน ก้มลงมองหน้าเพื่อน “ มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของคนด้วยนะพู่กัน ถ้าจะให้เศร้ามันก็เศร้า นี่คิดถึงใครอยู่หรือเปล่าล่ะ ”
ศีรษะงามสั่นน้อย ๆ พลอยทำให้เรือนผมยาวดกดำสะบัดปลิวระใบหน้าสวยอมเศร้าจนผู้เป็นเจ้าของต้องใช้สองมือรวบมันเอาไว้ ดวงตาทอดมองไปเบื้องหน้าไกลลิบ
“ ดูถนนห้วยแก้วโน่นสิพู่กัน ไฟเริ่มสว่างขึ้นทีละดวงแล้ว สวยจัง ” มาคินลอบถอนหายใจเบา ๆ แล้วปรับทีท่าเป็นกระดี๊กระด๊า เผื่อว่ามันจะทำให้เพื่อนรักสดใสขึ้นได้บ้าง เพราะรู้ดีว่า ภายใต้ท่าทีเรียบเรื่อย ยิ้มละไม ของกัณฐ์ลดานั้นมีความเศร้าหมองซุกซ่อนอยู่ลึก ๆ มานานแล้ว
อีกฝ่ายเออออ ยื่นมือชี้ลงไปด้านล่างไกลลิบ “ ภาพข้างล่างสวยจังนะมาร์กี้ ที่มองเห็นเป็นน้ำ ๆ นั่นอ่างแก้วใช่ไหม ”
มาคินพยักหน้าหงึกหงัก “ ใช่แล้วล่ะ นั่นอ่างแก้ว โน่นสนามบิน ส่วนทางโน้นก็บ้านพู่กันไง น้ำปิงคงจะอยู่แถวนั้นล่ะ ”
ผู้ฟังนิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่ คิดตามคำพูดของเพื่อน ใช่ น้ำปิงสายยาวทอดสายจากทิศเหนือลงไปใต้ ณ จุดหนึ่งคือ ขอบเขตของเฮือนเอื้องดอย บ้านที่หล่อนอาศัยร่วมกับแม่เลี้ยงวงเดือนยายผู้ล่วงลับ แต่บัดนี้มีเพียงหญิงสาวที่ครอบครองอยู่เพียงลำพัง เพราะหญิงชราได้ละโลกไปนานเกือบครบเดือนแล้ว ส่วนฝั่งตรงข้ามกันคงจะเป็นเขตแดนของบ้านราชกิจชัยยศ เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงที่เสมือนอยู่กันคนละโลก
“ มาที่แบบนี้แล้วคิดถึงปูนเหมือนกันนะ ” มาคินเปรย
“ ใช่สิ ปกติเราจะมาด้วยกันสามคนเป็นประจำนี่นา ”
“ ชิส์ แล้วยายทอมก็แต่งงานไปก่อนเพื่อน ทิ้งเราเอาไว้ หารู้ไม่ว่า การเป็นโสดเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลยล่ะ ”
ผู้ฟังหันมองหัวเราะกิ๊ก “ แล้วทำไมคนถึงชอบตกนรกกันจังเลยล่ะ ”
มาคินหัวเราะคิกคักบ้ง ชอบใจที่เพื่อนตกหลุมพราง “ เอ๊า ! ก็ในนรกมันมีสวรรค์อยู่ด้วยนี่นา ”
สาวร่างบอบบางหันไป เอานิ้วชี้จิ้มจมูกเพื่อน บ่นเบา ๆ “ ได้ทีก็เซี้ยวใหญ่เลยนะเราเนี่ย แต่เอาเถอะ คนมีความรักน่ะ ไม่ว่าจะขึ้นสวรรค์ หรือตกนรกเขาก็คงยินดี ”
มาคินตีเผียะลงบนไหล่เพื่อน “ ทำมาเป็นสำบัดสำนวน แล้วอย่ามาร้องไห้แง ๆ ซบไหล่ชั้นเหมือนเมื่อสี่ห้าปีก่อนก็แล้วกัน ”
กัณฐ์ลดาหลบตาวูบ แสร้งทำเป็นสนใจกับต้นไผ้ที่เอนลู่ลมอยู่เบื้องล่าง
อยู่ในบรรยากาศเช่นนี้เมื่อใด หัวใจของหญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวด ทุกข์ทรมานกับการที่ต้องทนอยู่อย่างโดดเดี่ยวทั้งที่ไม่เคยต้องการ
“ ตอนมาร์กี้เป็นวัยรุ่นน่ะ เวลาอกหักจะชอบขึ้นมาบนนี้กันเสมอ ” มาคินเล่าย้อนอดีตอย่างสนุกปาก
“ มาทำไมเหรอ หรือว่าเพื่อให้บรรยากาศมันชะล้างหัวใจล่ะ ”
มาคินยักไหล่ ตอบกลั้วหัวเราะ “ เปล่า มาเพื่อตอกย้ำกับตัวเองต่างหากล่ะ ว่าที่ข้างล่างโน้นมีผู้ชายอีกเยอะแยะรอเราอยู่ และอย่าจมปลักเป็นควายอยู่กับคนที่ไม่รักเราเพียงแค่คนเดียว ”
กัณฐ์ลดาฟังแล้วยิ้มบาง ๆ หันไปจ้องหน้าเพื่อนรักนิ่ง “ ขอยืนอยู่ที่นี่สักพักได้ไหม ”
“ ทำไมละ ไม่ขึ้นไปไหว้พระธาตุข้างบนเหรอ ”
“ เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน วันนี้อยากคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ ระยะนี้งานที่บริษัทยุ่งมาก พอได้พัก พู่กันก็ไม่อยากทำอะไรเร่งรีบ อยากปล่อยชีวิตไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ ก็พอ ”
ผู้เป็นเพื่อนจึงพยักหน้า “ เอาสิ งั้นเดี๋ยวมาร์กี้ไปเอาไอแพดมานั่งเล่นรอก็ได้ ”
เสียงรองเท้ากระทบพื้นปูนห่างออกไป กัณฐ์ลดาจึงยืนนิ่ง ยกข้อศอกขึ้นพาดราวระเบียง ปล่อยสายตาทอดมองไปยังภาพเมืองที่ปรากฏอยู่ไกลลิบ ขณะหัวใจย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์ช่วงแรก ๆ ที่ตนเองต้องขึ้นมาเรียนอยู่ที่เชียงใหม่
อดีตนั้น ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ เจ็บช้ำ ก็ล้วนมีคุณค่าเพียงพอที่จะบันทึกเอาไว้ในเศษเสี้ยวของความทรงจำเสมอ