นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

นวนิยาย เรื่องยาว ต่างๆ

นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » เสาร์ 16 ก.พ. 2013 3:09 pm

ตอนที่ ๑

1355050201.jpg
1355050201.jpg (118.97 KiB) เปิดดู 17483 ครั้ง


อาคารชั้นเดียวสีขาวหลังย่อมตั้งอยู่ข้างประตูรั้วอัลลอยด์ดูโดดเด่นตัดกับสีเขียวชอุ่มของสนามหญ้าญี่ปุ่นกว้างใหญ่ ซึ่งปลูกเป็นแนวไปจนจรดเทอเรซของตึกสีครีมสองชั้นที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้อันร่มรื่น ทำให้รู้ถึงรสนิยมผู้เป็นเจ้าของว่าหลงใหลในธรรมชาติสักเพียงใด



ลำแสงสีทองจางๆส่องลอดกิ่งชมพูพันธ์ทิพย์ลงมาเป็นทางยาว เรือนร่างได้สัดส่วนในชุดเสื้อลายสก็อตแขนกุดสีน้ำเงิน กางเกงขาสั้นสีครีมจึงต้องย้ายทำเลจากที่ยืนสำรวจด้านนอกสำนักงาน เข้าไปทรุดนั่งลงบนชุดรับแขกสีน้ำตาลในตัวอาคารแทน



เสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วมาจากด้านหลังประตูแบบบานพับอันเป็นโซนห้องทำงานที่มีโต๊ะตั้งอยู่ 5 ตัว ติดกับห้องส่วนตัวของเธอและพี่กฤตินซึ่งอยู่เยื้องไปทางปีกขวา



น้ำบุศย์และกฤตินพี่ชายของเธอมีเจตนารมณ์เดียวกัน คือ ต้องการจัดตั้งสำนักงานนักสืบ เนื่องจากกฤตินนั้นเป็นอดีตนายตำรวจ แต่ด้วยความเบื่อหน่ายต่อระบบราชการทำให้เขาหันกลับมารับผิดชอบธุรกิจของครอบครัวแทน ทว่าชายหนุ่มก็ยังแอบซ่อนความฝันเล็กๆว่าอยากมีสำนักงานนักสืบเป็นของตนเอง ดังนั้นทันทีที่น้ำบุศย์น้องสาวคนเดียวของเขาเรียนจบและเธอเห็นดีเห็นงามด้วย แน่นอนความฝันอันเลือนรางย่อมผนวกกันเป็นรูปเป็นร่างได้อย่างไม่ยากเย็นนัก



เสียงหัวเราะดังมาไม่ขาดสาย ขณะที่น้ำบุศย์หันมองไปรอบๆสำนักงานนักสืบบุศยาอย่างพึงพอใจ อาคารหลังนี้มีการจัดตกแต่งอย่างสวยงามและเป็นสัดส่วน โดยเฉพาะบริเวณที่เธอนั่งอยู่ซึ่งเป็นมุมรับแขกอันแสนเรียบง่ายแต่เก๋ไก๋ด้วยดอกไม้สีสดที่เด่นไสวอยู่กลางห้องอันประดับประดาด้วยกระจกรอบทิศ มีผ้าม่านลูกไม้สีขาวยาวระพื้นคอยบังแสงแดด ทั้งยังทำให้ห้องเรียบๆนี้ดูอ่อนหวานมากยิ่งขึ้นอีกด้วย



เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆหลังจากหญิงสาวเอนหลังพิงโซฟาตัวยาว ดวงตามองเหม่อทะลุกระจกหน้าต่างไปยังพื้นสนามซึ่งดอกชมพูพันธ์ทิพย์ร่วงหล่นอยู่เกลื่อนกลาด พลางนึกถึงคำพูดของบิดาในวันที่สองพี่น้องปรารภถึงการจัดตั้งสำนักงานนักสืบแห่งนี้



“พ่อไม่เห็นด้วยหรอกนะ ติน น้ำ” คุณอภิสัยหันมองลูกทั้งสองสลับกันก่อนเอ่ยต่อ “งานนักสืบน่ะมีแต่คนในละครหรือในนิยายเท่านั้นแหละที่จะประสบความสำเร็จ ใครมันจะมาสืบอะไรกันนักหนา ถ้าลูกอยากมีกิจการที่สร้างขึ้นกับมือของตัวเองก็หาอะไรที่คนจำเป็นต้องกินต้องใช้สิ อย่างเช่น ร้านอาหาร โรงงานน้ำดื่ม แบบนี้ถึงจะอยู่ได้”



“แต่นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่น้ำกับพี่ตินอยากทำนะคะคุณพ่อ” น้ำบุศย์ทำหน้าง้ำโพล่งขึ้นเมื่อถูกขัดใจ พ่อของเธอก็เป็นแบบนี้ทุกทีแหละ อะไรที่ตัวเองคิดว่าไม่ดี ไม่ใช่ ก็จะพยายามเกลี้ยกล่อมลูกเมียให้เชื่อตาม ดีที่ยังไม่เผด็จการเท่านั้นแหละ



“ชีวิตคนนะลูก ไม่มีใครสามารถทำตามใจอยากได้ทั้งหมดหรอก อีกอย่างที่พ่อห่วงที่สุดก็คือน้ำนี่แหละ น้ำเป็นผู้หญิง ช่วงนี้พี่ตินเขามัวแต่ดูแลโครงการบ้านจัดสรร จะให้มาตามเราไปสืบโน่นสืบนี่ไม่ได้หรอกนะ”



“เรามีทีมงานของเราอยู่แล้วครับคุณพ่อ”กฤตินเสริมขึ้นบ้าง เมื่อเห็นว่าหน้าน้องสาวชักจะหงิกเป็นใบผักกูดขึ้นทุกทีๆ



คุณอภิสัยยกมือขึ้นกอดอกแล้วจึงยิ้มเยือกเย็น นึกในใจว่า น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือขวาง เขาควรจะปล่อยให้ลูกๆเรียนรู้ปัญหาด้วยตนเองจะดีกว่า“เอาล่ะ ถ้าลูกมั่นอกมั่นใจกันขนาดนั้นล่ะก็ ลองดู แต่พ่อไม่ให้ไปเปิดสำนักงานไกลๆหรอกนะ ตั้งมันที่หน้าบ้านเรานี่แหละ”



คิ้วเรียวของลูกสาวคนเล็กเลิกขึ้นสูงลิบ “แต่บ้านเราไม่ใช่ที่ชุมชนนะคะคุณพ่อ ทำเลดีๆมันต้องย่านที่คนพลุกพล่านกว่านี้”



บิดาหัวเราะหึๆตอบเสียงเข้ม “บ้านเราก็ติดถนนใหญ่ เป็นทางผ่าน สะดวกสบาย ไม่ได้ไกลปืนเที่ยง พ่อจะให้โอกาสพวกแกสัก 3 เดือน ถ้ายังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ตาตินก็ต้องทำงานให้พ่ออย่างเดียว ส่วนยายน้ำก็ต้องเรียนต่อจนได้เป็นอัยการ ตกลงไหม”



น้ำบุศย์กลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ หันมองพี่ชายอย่างขอความคิดเห็น กฤตินส่งยิ้มมาให้ด้วยท่าทีไม่ยี่หระ หญิงสาวจึงสูดลมหายใจลึกๆก่อนพยักหน้า “ตกลงค่ะ น้ำสัญญาว่าถ้าไปไม่รอด น้ำจะยอมเป็นอัยการเหมือนที่คุณพ่ออยากให้เป็นแน่นอนค่ะ”



พี่ตินน่ะไม่เท่าไหร่หรอก ถึงสำนักงานนักสืบจะไปรอดไม่รอดก็อยู่ตัว แต่เธอนี่สิ ตอนแรกอยากเรียนศิลปะบิดาก็หาว่าเป็นงานที่ไม่มั่นคง อยากเป็นตำรวจหญิงมารดาก็บ่นว่าอันตราย อยากให้เรียนนิติศาสตร์มากกว่า เมื่อเธอยอมทำตามใจท่านแล้ว พอเรียนจบเบนเข็มมาเป็นนักสืบ ท่านก็ไม่น่าจะมาขัดแข้งขัดขาอีก เฮ้อ...



เพล้ง!



เสียงขวดหล่นกระทบพื้นดังกังวาน หญิงสาวสะดุ้งเฮือก ลุกพรวดขึ้นเดินไปชะโงกที่ประตู ได้ยินเพียงเสียงหวีดร้องของภูมิชญาหนุ่มร่างใหญ่หัวใจสาวและเสียงขอโทษขอโพยของพริมาภานักสืบสาวเพื่อนของเธอดังมาจากทางด้านหลัง จึงส่งเสียงร้องถามออกไปดังๆว่า “อะไรแตกเหรอ พรีม”



สาวแว่นร่างบางในชุดเสื้อยืดสีขาวกระโปรงลายพร้อยสีชมพูจึงทำหน้าเจื่อนๆชะโงกหน้าออกมาตอบ “ขวดน้ำมันหอยน่ะ”



“น้ำมันหอยอะไรมาอยู่ที่นี่ ในสำนักงานเราไม่มีห้องครัวนะ”



“พรีมซื้อมาเองแหละ เห็นมันลดราคาก็เลยซื้อมาตั้ง 5 ขวด”


“แล้วนี่แตกไปกี่ขวด”เจ้าของสำนักงานซักต่อ



พริมาภายกมือขึ้นเสยผมที่ตกลงมาระใบหน้าก่อนตอบเสียงเบาหวิว “แตกหมดเลย”



“มา เดี๋ยวน้ำไปช่วยเก็บ”



พริมาภารีบสั่นหน้าด้วยความเกรงใจแล้วดันเพื่อนกลับเข้าไปยังห้องเดิม “ไม่ต้องหรอก พรีมมีคำแพงคอยช่วยอยู่แล้วนี่”เธอหมายถึงแม่บ้านประจำสำนักงานบุศยาที่ยืมตัวมาจากตึกใหญ่นั่นเอง



น้ำบุศย์ก้มหน้าซ่อนยิ้ม พลางโบกไม้โบกมือ “งั้นรีบไปทำความสะอาดต่อเถอะ หยึย คงมันเยิ้มเลยสิเนี่ย” พูดพลางทำท่าประกอบก่อนจะหมุนตัวกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหน้าต่าง มองคนสวนของบิดาที่กำลังขะมักเขม้นกับการจัดแต่งสวนน้ำตกให้เป็นโซนป่าลึกตามที่บิดาของเธอสั่งอย่างสนใจ
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: สืบรักซ่อนแค้น

โพสต์โดย ภาษาสยาม » เสาร์ 16 ก.พ. 2013 3:09 pm

ชายหนุ่มร่างสูง ผิวสองสีในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน กางเกงยีนสีเข้มก้าวลงจากรถโฟร์วีลซึ่งจอดอยู่ด้านหน้ารั้วอัลลอยด์สีขาวติดกับอาคารสีขาวหลังจ้อยซึ่งมีป้ายบอกชื่อสถานที่เอาไว้ว่า “สำนักงานนักสืบบุศยา” แล้วจึงหยุดยืนอยู่หน้าสำนักงานครู่ใหญ่ เมื่อเห็นว่าประตูกระจกแบบเลื่อนเปิดแง้มอยู่แล้ว เขาจึงถอดรองเท้าเอาไว้ด้านนอก ก่อนถือวิสาสะเดินเข้าไปด้านใน


ภายในสำนักงานแห่งนี้ทาสีขาวดุจเดียวกับด้านนอกตัวอาคาร และมีการจัดตกแต่งที่ทำให้เขาต้องอมยิ้ม เพราะมันดูคล้ายจะเป็นบ้านพักตากอากาศมากกว่าสำนักงานนักสืบน่ะสิ


เอ..ไม่ยักกะมีคนอยู่แฮะ...ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ข้างประตูก็ว่างเปล่า แต่แล้วเมื่อหันไปมองทางซ้ายมือ เขาจึงพบว่ามีหญิงสาวในชุดเสื้อแขนกุด กางเกงขาสั้นนั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้สีขาวข้างหน้าต่างเพียงลำพัง
แต่งตัวแบบนี้ ท่าทางว่าจะเป็นแม่บ้าน...คิดแล้วชายหนุ่มจึงสาวเท้ายาวๆเข้าไปหาผู้ที่นั่งหันหลังให้ ก่อนจะยื่นมือออกไปหมายสะกิดไหล่ของเธอผู้นั้น เพราะหากจะเรียกเฉยๆก็เกรงว่าหญิงสาวจะตกใจเสียเปล่าๆ


ทว่าเป็นจังหวะเดียวกับที่น้ำบุศย์กำลังลุกขึ้นยืน มือที่ตั้งใจสะกิดไหล่งามจึงไพล่ไปโดนตะโพกผายของหล่อนเข้าจั๋งหนับ…


วินาทีแรกที่รู้สึกว่ามีใครมาโดนตัวนั้นหญิงสาวไม่ได้รู้สึกรู้สมอะไรนัก เพราะคิดว่าเป็นบัวบูชาหรือพริมาภาเพื่อนของเธอคนใดคนหนึ่งที่บางทีก็แอบเล่นแผลงๆแบบนี้อยู่บ่อยๆเหมือนกัน แต่เมื่อหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้าและได้เห็นบุคคลที่ยืนข้างหลังชัดๆ น้ำบุศย์ก็ถึงกับสะอึก เบิกตากว้าง ร้องลั่น


“ กรี๊ด! ไอ้โรคจิต” ไม่พูดเปล่า หญิงสาวหันรีหันขวางไปยกแจกันบนโต๊ะรับแขกขึ้นทำท่าจะทุ่มใส่เขา โชคดีที่มีเสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน “เฮ้ย! น้ำ อย่า...”


ทำให้น้ำบุศย์หันขวับมองไปยังทิศทางของประตูแล้วชะงัก ลดมือลง กระแทกเท้าเข้าไปยืนข้างๆพี่ชาย และฟ้องเสียงขึ้นจมูก “ก็มันลวนลามน้ำนี่คะพี่ติน”


กฤตินได้ฟังก็ถึงกับเลือดขึ้นหน้า เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะยอมความกันได้ง่ายๆ ในเมื่อน้องสาวของกฤติน วงศ์บวรยศไม่ใช่ดอกไม้ริมทาง เขาจึงก้าวพรวดเข้าไปประชิดตัวแขกไม่ได้รับเชิญพลางยกมือขวาขึ้นกระชากคอเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายโดยแรง ทว่าเหนือลิขิตก็ขืนตัวเอาไว้ได้ และให้สติพี่ชายของหญิงสาวเสียงเรียบ “ก่อนจะต่อยผม ช่วยถามหน่อยได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่เอะอะก็ฟังแต่น้องคุณฝ่ายเดียวแบบนี้”


กฤตินจึงยอมปล่อยมือแต่โดยดีแล้วยืนนิ่งฟังคำให้การของคู่กรณีบ้าง
น้ำบุศย์นึกฉุน ยกมือข้างที่ว่างขึ้นชี้หน้าอีกฝ่าย พร้อมส่งเสียงเกรี้ยวกราด “อย่ามาแก้ตัว นายไม่ใช่เหรอที่พยายามจะจับก้นฉันเมื่อกี้น่ะ”


เหนือลิขิตยิ้มมุมปาก ยกมือขึ้น หันนิ้วโป้งเข้าหาตัว “ผมเนี่ยนะลวนลามคุณ ผมตั้งใจจะสะกิดเรียก แต่คุณดันลุกขึ้นยืนไม่มีปี่มีขลุ่ย มือมันก็เลยพลาดไปโดน...แค่นั้น โธ่! แบนราบอย่างคุณ”เขาหยุดพูด ทำท่ากลั้นหัวเราะ“ดูยังไงก็ไม่ทำให้ปึ๋งปั๋งขึ้นมาได้หรอก”


กฤตินหันมองน้องสาวที่กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วจึงหันกลับไปมองอาคันตุกะแปลกหน้าอย่างสำรวจ ผู้ชายคนนี้น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเขา รูปร่างก็สูสีกัน จะต่างก็เพียงสีผิวที่อีกฝ่ายนั้นคล้ำกว่ามาก หากการแต่งตัวของฝ่ายนั้นก็ดูดี ไม่น่าจะเป็นมิจฉาชีพหรือพวกโรคจิต แต่สมัยนี้จะเชื่อใครได้ง่ายๆกันล่ะ เขาจึงยิงคำถาม “แล้วคุณเข้ามาที่นี่โดยพลการได้ยังไง”


คนถูกถามทำหน้าแปลกใจสุดขีด “ที่นี่เป็นสำนักงานนักสืบไม่ใช่เหรอ ผมเป็นลูกค้าทำไมจะเข้ามาไม่ได้”


“หมายความว่าคุณจะมาว่าจ้างนักสืบของเราใช่ไหมฮะ”น้ำเสียงของกฤตินดูเป็นมิตรมากขึ้น ทำให้น้องสาวคนสวยเริ่มไม่พอใจ จึงเดินลิ่วเข้ามายืนแทรกระหว่างพี่ชายและหนุ่มคู่อริ “แต่วันนี้สำนักงานยังไม่เปิด โน่นประตู เชิญกลับไปได้แล้วที่นี่ก็ไม่ต้อนรับคนอย่างนายด้วย”


กฤตินสั่นหัว ดึงแขนน้องสาวเข้าไปในห้องทำงานและวางมือลงบนไหล่งามเบาๆ “พี่ว่าใจเย็นๆก่อนเถอะ เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก สำนักงานเรากำลังจะเปิดใหม่ ถ้าเขาเอาไปพูดเสียหาย มันจะไม่ดีต่องานของเรานะ”


“แต่ว่ามัน...” หญิงสาวอ้าปากจะเถียง หากพี่ชายตัดบทขึ้นเสียก่อน “เดี๋ยวพี่ไปเคลียร์เอง น้ำเข้าไปคุยกับเพื่อนๆให้สบายใจก่อนเถอะ”


“ไล่มันออกไปให้ไวเลยนะคะ ถ้าน้ำกลับมาแล้วมันยังอยู่ละก็ เห็นดีกันแน่” น้ำบุศย์คาดโทษ แล้วหมุนตัวผ่านห้องทำงานไปทางประตูหลังซึ่งเพื่อนๆรวมตัวกันอยู่ที่นั่น ขณะที่พี่ชายเดินกลับไปหาลูกค้าคนแรกของสำนักงานนักสืบด้วยท่าทีอะลุ้มอล่วยมากขึ้น


เฮ้อ! ยายน้ำ เกือบโดนข้อหาทำร้ายร่างกายแล้วไหมล่ะ...
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: นวนิยาย สืบรักซ่อนแค้น น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » เสาร์ 16 ก.พ. 2013 3:11 pm

ด้านหลังสำนักงานนักสืบบุศยานั้นถูกให้จัดเป็นมุมพักผ่อนอีกมุมหนึ่ง อันประกอบด้วยสวนหย่อมซึ่งมีไม้ดอกไม้ประดับบานสะพรั่งปลูกเป็นแปลงรอบๆชุดเก้าอี้อัลลอยด์สีขาว ซึ่งเวลานี้ พริมาภา บัวบูชา พิรัชชัย ปนัดดา และภูมิชญากำลังนั่งคุยกันอยู่อย่างออกรส


“ทำไมทำหน้าบูดหน้าบึ้งแบบนั้นล่ะน้ำ”บัวบูชาทักขึ้นก่อน เนื่องจากเธอนั่งหันหน้ามาทางประตูอยู่เพียงคนเดียว


น้ำบุศย์ทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจ เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดวงหน้างามก็ยังมีร่องรอยไม่พอใจขณะตอบเพื่อน “ก็มีไอ้บ้ากามวิตถารที่ไหนไม่รู้มาลวนลามน้ำน่ะสิ”


คำตอบนั้นทำให้พริมาภาอ้าปากค้าง บัวชมพู พิรัชชัย และปนัดดานิ่งอึ้ง ส่วนภูมิชญานั้นร้องกรี๊ดกร๊าดเสียงหลง “โอ๊ย เลิศเลอมากค่ะคุณน้ำ ทำไมไม่มีใครทำกับพี่แบบนี้บ้าง”


น้ำบุศย์จึงค้อนขวับใส่คนพูด ก่อนตอบ “พี่ภูมิชญาวดีก็ลองไปยืนล่อไอ้เข้อยู่หน้าสำนักงานสิคะ ถ้าอีตานั่นโผล่มาก็คงได้เรื่องบ้างอยู่หรอก”


“พูดแบบนี้แปลว่าน้ำไปล่อไอ้เข้มาเหรอไง”บัวบูชาถามพลางหัวเราะคิกคัก ส่งผลให้ถูกพริมาภาตีเผียะ แล้วบ่นต่อ “ยังจะไปยั่วน้ำอีกยายบัวนี่ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ”


รอยยิ้มบัวบูชาหุบฉับ หันไปทำหน้าสำนึกผิดใส่เพื่อน “ขอโทษจ้ะแม่แก่ ก็บัวเห็นน้ำมันเครียด ก็เลยกระเซ้าเล่นๆหน่อยเดียวเท่านั้นเอง”


“แล้วตอนนี้ไอ้เข้ เอ๊ยนายนั่นอยู่ไหนแล้วครับคุณน้ำ”พิรัชชัยถามบ้าง


“พี่ตินกำลังเจรจาอยู่ค่ะ”


“ใจเย็นๆนะคะคุณน้ำ พี่เชื่อว่ายังไงคุณตินก็เข้าข้างเราอยู่แล้วล่ะ”ปนัดดาปลอบ


“แต่น้ำไม่ค่อยเชื่อถือหรอก ดูท่าทางพี่ตินจะเชื่อนายนั่นมากกว่าน้ำเสียอีก”เจ้าตัวยังคงทำแง่งอนประหนึ่งพี่ชายมานั่งอยู่ตรงหน้า แต่แล้วอยู่ดีๆหญิงสาวก็หัวเราะคิกคักขึ้นมาราวกับไม่มีเรื่องรกสมองใดเกิดขึ้นมาก่อน “ทำไมยายพรีมถึงมอมแมมจังล่ะ”


พริมาภาอ้าปากจะตอบเพื่อน แต่ต้องรีบปิดปาก เมื่อใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นแทน “จะมีอาไร้ ก็ต้องไปทำซุ่มซ่ามเฉิ่มเบ๊อะที่ไหนมาอีกล่ะสิ”


“อุ๊ย คุณตินมา อย่าบ่นน้องเขาเลย มานั่งนี่เถอะค่ะ นั่งตักญาญ่าก็ได้”ภูมิชญาจีบปากจีบคอพูด เมื่อเห็นว่าไม่เหลือที่ว่างให้หนุ่มหล่อนั่งแล้ว
คนปากร้ายเมื่อครู่ทำหน้าแหยงๆ ยืนกอดอกอยู่หลังน้องสาวเหมือนเป็นเกาะกันภัย เพราะไม่เพียงแต่ภูมิชญาเท่านั้นที่ทำท่าคล้ายจะเขมือบเขา สาวใหญ่วัยดึกอย่างปนัดดาก็ใช่ย่อย เล่นส่งสายตาพราวพรายมาเสียจนเขาสยอง “ไม่ล่ะฮะ ผมเกรงใจ คุณภูมินั่งเถอะ”


รอยยิ้มบนใบหน้าของภูมิชญาเลือนหาย ร่างสูงใหญ่รีบปรี่เข้ามาหาชายหนุ่มทันที “คุณตินล่ะก็แบบนี้ทุกทีเลย ญาญ่าบอกแล้วว่าอย่าเรียกชื่อนี้อีก มันแสลงยังไงล่ะคะ”


กฤตินจึงหัวเราะ ตอบว่า “มันติดปากน่ะครับ”


“พี่ตินจัดการไอ้บ้ากามเสร็จแล้วเหรอคะ”สาวสวยบัวชมพูเงยหน้าขึ้นถามบ้าง


“เขาไม่ได้บ้ากามหรอกนะบัว ยายน้ำน่ะแหละเข้าใจผิด”ชายหนุ่มตอบหนักแน่น



น้ำบุศย์ลุกพรวดขึ้น หันไปประจันหน้าพี่ชาย “นี่พี่ตินหาว่าน้ำตู่ว่านายนั่นลวนลามเหรอคะ คนอะไรแทนที่จะเชื่อน้องตัวเองดันไปเชื่อคนอื่น”


“แต่เท่าที่พี่ฟังเขามาน่ะ คุณเหนือลิขิตเขาจะมาจ้างนักสืบของเรานะ เขามีปัญหาจริงๆ พอขึ้นมาไม่เจอใคร เห็นน้ำนั่งอยู่คนเดียว เขาคิดว่าเป็นแม่บ้านของสำนักงานก็เลยเดินเข้าไปเรียก ประจวบเหมาะกับเราน่ะลุกขึ้นยืน มันก็เลยพลาด”กฤตินเล่ายืดยาว ใบหน้าจริงจัง


บัวชมพูหัวเราะ “ยายน้ำจะโกรธมากก็ตรงที่นึกว่าเป็นแม่บ้านนี่แหละค่ะพี่ติน”


“แต่ผมไม่ค่อยเชื่อถือเลย สมัยนี้โรคจิตมันเยอะนะคุณติน” พีรัชชัยเข้าข้างสาวน้อยที่กำลังทำหน้าเซ็งอยู่ข้างๆอย่างเอาใจ


“นั่นสิคะ พรีมว่าเขาอาจจะคิดไม่ดีก็ได้”พริมาภาเสริม แต่แทนที่กฤตินจะโต้ตอบคำพูดหล่อน เขากลับย้อนถามเจ้าตัวเสียงดุ “นั่นเธอไปเล่นซนอะไรมาน่ะ พริมาภา”


“น้องพรีมทำความสะอาดพื้นมาน่ะค่ะ พอดีเมื่อกี้พื้นมันเลอะ”ปนัดดาตอบแทน เพราะดูท่าสาวน้อยพริมาภาเริ่มจะหน้าจ๋อยเสียแล้ว


“ซุ่มซ่ามอีกตามเคย” เขาบ่นก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “มัวแต่ยุ่งๆเรื่องน้ำกับคุณเหนือลิขิต ลืมไปเลยว่าคุณพ่อ คุณแม่ให้มาเชิญทุกคนไปทานข้าวด้วยกันที่ตึกใหญ่ นี่ท่านคงรอนานแล้วล่ะ”


“อ้าว!งั้นไปเถอะค่ะ บัวหิวแล้ว”บัวบูชาเอ่ยชวน ขณะที่พริมาภายังเงียบกริบ เนื่องจากฝ่ายหลังไม่ค่อยสนิทกับพี่ชายเพื่อนเท่าฝ่ายแรก มิหนำซ้ำกฤตินยังใจร้าย ชอบดุ และหาว่าเธอเป็นจอมซุ่มซ่ามอีกต่างหาก หากสามารถเดินเลี่ยงกันสักร้อยโยชน์ได้ พริมาภาคงทำไปแล้ว


“ไปกันได้ละ เดี๋ยวคุณพ่อ คุณแม่หิว”น้ำบุศย์บอกพลางลุกขึ้นก่อน และหันไปขู่พี่ชาย “คอยดูเถอะ น้ำจะฟ้องคุณพ่อ”


ชายหนุ่มจึงได้แต่ส่ายหัวกับความเอาแต่ใจของน้องสาวแต่ก็ไม่คิดจะถือสา เนื่องจากรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นไม่เคยโกรธใครข้ามวัน พอนอนแล้วตื่นขึ้นมา เดี๋ยวน้ำบุศย์ก็ลืม...
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: นวนิยาย สืบรักซ่อนแค้น น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » อังคาร 19 ก.พ. 2013 7:06 pm

ตอนที่ ๒

ช่อสีม่วงเข้มของบลูซัลเวียข้างประตูรั้วไหวน้อยๆเมื่อรถโฟร์วีลสีดำมันวาวเคลื่อนเข้ามาจอดเทียบ ไม่ถึงนาทีชายหนุ่มผู้เป็นคนขับในชุดเสื้อคอโปโลสีดำ กางเกงยีนสีเข้มก็ก้าวลงจากรถ ร่างสูงก้าวผ่านประตูรั้วสีขาวเปิดโล่งเดินไปบนอิฐตัวหนอนสีเทาเข้ม ก่อนจะสาวเท้าขึ้นบนบันไดปูนเตี้ยๆปูด้วยกระเบื้องซึ่งทำเลียนแบบเนื้อไม้ได้อย่างแนบเนียน ทว่าเมื่อเลี้ยวผ่านประตูสำนักงานเข้าไปแล้วเขาจึงชะงักกึกเพราะเกือบชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ของใครบางคน เช่นเดียวกับภูมิชญาที่ยืนนิ่งราวกับต้องมนต์จ้องมองชายแปลกหน้าอย่างพินิจ


แม้เขาผู้นี้จะดูแตกต่างจากคุณกฤตินเจ้านายสุดหล่อมาดเนี้ยบของตนโดยสิ้นเชิง แต่ภูมิชญาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้มีใบหน้าคมสันสะดุดตา จมูกของเขาได้รูปสวย ริมฝีปากสีสดบางเฉียบ ดวงตาเล็กเรียวคมกริบใต้คิ้วหนาเป็นปื้นดูทรงเสน่ห์สะกดใจคนมองตั้งแต่แรกเจอ จนยากนักที่จะละสายตาจากไปได้ง่ายๆ


“สวัสดีค่ะ เชิญด้านในสำนักงานเลยนะคะคุณ”ยังไม่ทันที่หนุ่มหัวใจสาวจะเอ่ยทัก เสียงที่พยายามดัดให้หวานจ๋อยของปนัดดาก็ดังขึ้นเสียก่อน


ภูมิชญาค้อนขวับใส่เพื่อนอย่างมีจริตแล้วจึงเดินตามคนทั้งคู่เข้าไปในสำนักงานซึ่งมีบัวบูชาและพริมาภานั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะทำงานของฝ่ายหลังอย่างออกรส


เมื่อเห็นปนัดดาแทบจะจูงลูกค้าหนุ่มหน้าหล่อเข้ามาหา บัวบูชาจึงกระซิบบอกเพื่อนเสียงเบาว่า “เดี๋ยวบัวไปตามพี่ตินก่อนนะ” แล้วจึงหันไปพยักหน้ากับภูมิชญาและบอกก่อนเดินตัวปลิวจากไป “พี่ญาญ่าช่วยไปตามยายน้ำออกมาหน่อยนะคะ”


จากนั้นพริมาภาจึงกระวีกระวาดลุกขึ้นและสะกิดหญิงสาวรุ่นพี่พลางพยักเพยิด “พรีมว่าพี่ดาพาคุณคนนี้ไปรอในห้องประชุมก่อนดีกว่าค่ะ”


“ห้องประชุมเลยเหรอคะน้องพรีม”อีกฝ่ายยังลังเล


“ค่ะ ห้องประชุมนี่แหละค่ะเหมาะที่สุดแล้วสำหรับลูกค้ารายแรกของเรา”สาวรุ่นน้องบอกยิ้มๆ


ปนัดดาโปรยยิ้มแก่เขาผู้นั้นอีกครั้ง ก่อนผายมือเชื้อเชิญไปทางประตูฝั่งขวามือและเดินนำเข้าไปในห้องกระจกสีทึม ปล่อยให้สาวแว่นนั่งชะเง้อชะแง้มองห้องทำงานของน้ำบุศย์ด้วยใจเต้นตุบตับ


ก็แน่ล่ะสิ นี่เป็นงานแรกของพวกเธอเลยนะเนี่ย…
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: นวนิยาย สืบรักซ่อนแค้น น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » อังคาร 19 ก.พ. 2013 7:09 pm

ประตูห้องกระจกถูกผลักเข้าไปด้วยมือหนาใหญ่ของภูมิชญา แล้วเจ้าตัวจึงดึงประตูปิดตามหลังและเข้าไปนั่งเงียบกริบอยู่ข้างๆพีรัชชัย ขณะที่ดวงตาจ้องมองลูกค้าหนุ่มซึ่งดูเหมือนว่ากำลังตกอยู่ในสภาวะตึงเครียด ดูสิ คิ้วหนาน่าหยิกนั่นขมวดมุ่นเป็นปมเชียว เกิดอะไรขึ้นกันนะ


“น้ำล่ะคุณภูมิ”กฤตินซึ่งนั่งเป็นประธานอยู่หัวโต๊ะหันมาถามผู้มาทีหลังด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ ภูมิชญาแอบแปลกใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ข่มความสงสัยตอบออกไปว่า “เดี๋ยวคุณน้ำตามมาค่ะ”


สิ้นคำประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง หญิงสาวใบหน้าสวยเฉี่ยวในชุดทำงานเสื้อสีขาว กางเกงสีเดียวกันตัวเสื้อสวมทับด้วยสูทสีน้ำตาลจึงแทรกตัวผ่านเข้ามาและเดินตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้ติดกับพี่ชายของตน เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมองสมาชิกในห้องทีละคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนริมฝีปากบางได้รูปซึ่งถูกตกแต่งอย่างปราณีตจะหุบฉับ ร่างระหงลุกพรวดขึ้นยืนอีกครั้ง ดวงตาจ้องลูกค้าหนุ่มเขม็ง ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ และเอ่ยน้ำเสียงเกือบเป็นตะคอก “ฉันบอกแล้วไงว่าที่นี่ไม่ต้อนรับคนอย่างนาย”


เหนือลิขิตเลิกคิ้ว หันไปสบตากฤตินนิดหนึ่งแล้วจึงหันกลับมามองแม่เสือสาวตรงหน้าด้วยท่าทางใจเย็น “ผมก็บอกแล้วไง ว่าผมมาที่นี่เพราะเรื่องงาน”


“แล้วฉันจะต้องเชื่อนายด้วยหรือยังไง ไม่มีทางเสียล่ะ ฉันเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองมากกว่า”น้ำบุศย์ตอบเสียงเข้มแล้วมองกวาดไปยังคนอื่นๆในห้องทีละคนอีกครั้ง ราวกับต้องการหาพวก“ผู้ชายคนนี้แหละค่ะที่พยายามลวนลามน้ำเมื่อวาน ใครเป็นคนพาเขาเข้ามาไม่ทราบ”


หลังเงียบกริบอยู่เป็นครู่ปนัดดาจึงตอบเสียงอ่อย “พี่ดาเองค่ะคุณน้ำ แต่พี่ดาไม่ได้ตั้งใจจะพา เอ่อ คุณคนนี้เข้ามานะคะ ตอนแรกเห็นเค้ายืนคุยอยู่กับยายญาญ่าน่ะค่ะ พอญาญ่าจะไปตามคุณน้ำพี่ก็เลยพาเขามารอที่นี่ตามที่น้องพรีมบอก”


เสียงร้องอ้าวดังขึ้นจากภูมิชญาและพริมาภาพร้อมกัน แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะบานปลายกฤตินจึงขัดขึ้นว่า “เอาล่ะๆนี่ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องไร้สาระกันนะ ประเด็นมันอยู่ที่คุณเหนือลิขิตเขากลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อจะว่าจ้างสำนักงานนักสืบของเรา เราจึงควรจะถามรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องของเขาแล้ววางแผนสิถึงจะถูก ยายน้ำก็เหมือนกัน เป็นถึงเจ้าของสำนักงานนักสืบควรจะแยกให้ออกว่าอันไหนงานอันไหนเรื่องส่วนตัวนะ”


ผู้ไม่ชินกับการถูกตำหนิหันไปค้อนพี่ชายวงใหญ่ ยกมือขึ้นกอดอกทำหน้าคว่ำมองหน้าคู่กรณีของตนตาขวางแล้วเงียบเฉย


เมื่อเข้าสู่ภาวะปกติแล้วกฤตินจึงทำหน้าที่หัวเรือใหญ่ของสำนักงาน โดยการเอ่ยกับลูกค้าอย่างสุภาพ “ผมต้องขอโทษแทนน้องสาวด้วยนะครับคุณเหนือลิขิต ยายน้ำเขาเป็นคนใจร้อนไปหน่อยน่ะครับ”


“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือ”อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบ จ้องมองคู่สนทนาด้วยสายตาเป็นมิตร ก่อนจะเล่าถึงธุระของตน “คือ ที่ผมมาเนี่ย เพราะอยากจะว่าจ้างให้สำนักงานนักสืบบุศยาช่วยสืบหาคนคนหนึ่งให้หน่อยน่ะฮะ”



“สืบหาคน ไม่น่าจะยากนะคะคุณติน งานแรกนี้ญาญ่าขอแสดงฝีมือเองค่ะ”ภูมิชญาเอ่ยแทรกขึ้น แล้วจึงทำตัวหดลงอีกครั้งเมื่อเห็นเจ้านายสาวมองมาตาขุ่นๆ


“ไม่ทราบว่าคุณต้องการให้เราสืบหาใครครับ”กฤตินถามต่อโดยไม่สนใจปฏิกิริยารอบตัว


“เขาเป็นคนรักเก่าของน้าสาวผมเองครับ คือ คุณน้าที่เลี้ยงดูผมมาตั้งแต่เด็กท่านกำลังป่วยหนัก ผมจึงอยากให้ท่านได้สมหวังสักครั้ง”เหนือลิขิตบอกเสียงเศร้า ดวงหน้าคมเข้มนั้นสลดวูบสร้างความเวทนาแก่คนอื่นๆเป็นอย่างยิ่ง ยกเว้นน้ำบุศย์ที่มีเพียงความรู้สึกเดียวมอบให้เขานั่นก็ คือ ความไม่ชอบขี้หน้า


‘ก็นายนั่นอยากมาลวนลามเธอก่อนทำไมล่ะ’


“คุณพอจะมีรูปถ่ายติดมาให้ทางเราดูบ้างไหมครับ”กฤตินถามต่อ
เหนือลิขิตส่ายหน้า “ไม่มีเลยครับ จริงๆผมไม่รู้แม้แต่ชื่อของผู้ชายคนนั้นด้วยซ้ำ”


“ไม่รู้จักชื่อ แล้วพวกเราจะสืบได้ยังไงล่ะคะ”บัวบูชาสงสัย


น้ำบุศย์หัวเราะเบาๆแล้วลุกขึ้นยืน ยักไหล่งามของตนเบาๆ “อย่าสนใจคดีไร้สาระแบบนี้เลยค่ะพี่ติน มีอย่างเหรอจะให้เราไปสืบใครก็ยังตอบไม่ได้เลย น้ำขอตัวก่อนนะคะ เวลาของน้ำมีค่ามากกว่าจะมาฟังเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้”พูดจบหญิงสาวก็หมุนตัวทำท่าจะก้าวออกไปจากห้อง หากมือใหญ่ของพี่ชายก็รั้งข้อศอกของเธอเอาไว้ “พี่บอกแล้วไงว่าให้ใจเย็นๆ ทุกอย่างจะสรุปได้เมื่อเราฟังเขาพูดจนจบ พี่ว่าน้ำนั่งลงก่อนดีกว่านะ”


มือเรียวแกะมือพี่ชายออกขณะหันมาเผชิญหน้า หรี่ตาลงเล็กน้อย“ไม่ค่ะ พี่ตินก็เห็นอยู่นี่ว่าเขากำลังให้เราสืบเรื่องลมๆแล้งๆมันจะเป็นไปได้ยังไงคะ รูปก็ไม่มี ชื่อก็ไม่รู้แบบเนี้ย”


“ทำงานกับผู้หญิงก็แบบนี้ล่ะครับ อะไรก็กลัวไปเสียหมด”เสียงทุ้มเรียบเฉยที่ลอยมาตามลมทำให้ร่างบางชะงักงัน หันขวับไปทางต้นเสียงแล้วแหวใส่เขาอีกครั้ง “มันเรื่องของฉัน นายไม่เกี่ยว”


เหนือลิขิตขยับตัวพิงพนักเก้าอี้ ระบายยิ้มน้อยๆบนริมฝีปากก่อนกล่าวโต้ “ผมว่าคุณไม่กล้ารับงานนี้ เพราะอยากได้งานหมูๆ อย่างคดีหมาหายแมวหายมากกว่ามั้ง”


ใบหน้างามของคนฟังเชิดขึ้น ตรงข้ามกับสายตาที่ทอดมองต่ำมายังใบหน้าของผู้ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม เธอตอบพลางเปลี่ยนชื่อให้เขาเสร็จสรรพ “งั้นนายว่ามา ฉันจะรับคดีนี้เอง นายจะได้รู้จักฉันดีขึ้นนายเหนือลิกควิด”


“จะดีเหรอน้ำ เดี๋ยวก็ตีกันตายพอดี”พริมาภาค้านขึ้น แล้วจึงเงียบเสียงลงเมื่อถูกบัวบูชาสะกิดเตือน “รอดูไปก่อนสิพรีม”


เหนือลิขิตสังเกตสถานการณ์รอบตัวแล้วหัวเราะในลำคอทั้งที่ใบหน้ายังสงบนิ่ง ดวงตาเรียวคมมองคู่กรณีหมิ่นๆ“ผมว่าให้คนอื่นรับงานของผมดีกว่ามั้งฮะ ดูแล้วคุณคงไม่มีความอดทนและความตั้งใจสักเท่าไหร่”


“ให้ญาญ่ารับงานนี้แทนคุณน้ำเถอะค่ะ ญาญ่าเต็มใจ”ภูมิชญาเสนอตัวพร้อมกับสบสายตาลูกค้าหนุ่ม ในใจหวังลึกๆว่าการทำงานครั้งนี้อาจทำให้ได้ใกล้ชิดหนุ่มหล่อมากยิ่งขึ้น แล้วหลังจากนั้นความรักก็คงจะผลิช่อแบบในนิยายที่ชอบซื้อมาอ่านอยู่เป็นประจำ


“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าใครคือคนรักของคุณน้าของคุณ”กฤตินวกกลับเข้าเรื่องอีกครั้ง ทำให้ผู้ถูกถามแอบนึกชมในใจว่า ทั้งสำนักงานก็มีผู้ชายคนนี้แหละที่สุขุมและเป็นงานเป็นการมากกว่าคนอื่น


“เรื่องนี้คงต้องสืบจากคุณน้าพรของผมแหละครับ ผมถึงต้องจ้างนักสืบยังไงล่ะ เพราะตามลำพังผมเองคงไม่สามารถหลอกถามข้อมูลคุณน้าได้”


“ทำไมคุณไม่ถามคุณน้าตรงๆเลยล่ะคะ”บัวบูชาซักขณะที่พริมาภานั้นเป็นผู้คอยจดบันทึกข้อมูลต่างๆอยู่ยิกๆ


“คุณน้าไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับใครเลยครับ ท่านให้เหตุผลว่าไม่อยากให้อดีตคนรักลำบากใจ เพราะเขาเองก็มีครอบครัวอยู่แล้ว แต่ก็อย่างที่บอกนะครับ ว่าผมสงสารคุณน้าอยากให้ท่านสมหวังสักครั้ง เอ่อ ก่อนที่ท่านจะจากไป”


“ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องส่งใครสักคนให้ไปใกล้ชิดกับคุณน้าของคุณใช่ไหม”กฤตินพอจะเดาลู่ทางออก “ปัญหามันมีอยู่ว่าเราจะให้คนของสำนักงานเข้าไปในฐานะอะไรล่ะ”


“คนรักของผม”เขาตอบเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศก่อนขยายความ “คุณน้าต้องการเห็นผมเป็นฝั่งเป็นฝา ดังนั้นท่านจะต้องรักและไว้ใจคนที่จะมาเป็นหลานสะใภ้ของท่านแน่ๆ”


“ถ้างั้นญาญ่าคงทำงานนี้ไม่ได้แล้วล่ะ ให้ดาไปทำแทนนะคะคุณติน”ปนัดดาอาสาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น สาวใหญ่วัยใกล้คานอย่างเธอมีหรือจะทิ้งโอกาสอันงามเช่นนี้ไปได้



กฤตินเลิกคิ้วมองผู้อาสาแล้วยิ้มพลางส่ายหัว “ผมว่างานนี้น่าจะหาคนที่รุ่นราวคราวเดียวกับคุณเหนือลิขิตจะดีกว่านะ”


“แต่คนที่มีแฟนอายุมากกว่าก็มีเยอะแยะไปนะคะคุณติน”สาวใหญ่ยังคงจีบปากจีบคอเถียง


“ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแค่คุณน้ำ น้องบัว แล้วก็น้องพรีมสิครับ”พีรัชชัยช่วยสรุป “แล้วใครเหมาะสมที่สุดล่ะ”


“น้ำบอกแล้วไงคะ ว่างานนี้น้ำจะรับเอง” น้ำบุศย์แทรกขึ้นก่อนเดินเข้าไปประจันหน้ากับคู่ปรับรายล่าสุดของตน


“แต่พี่กลัวว่าจะล่มกลางงานน่ะสิ เพราะน้ำไม่ชอบคุณเหนือลิขิตเขาเลยนี่”ฝ่ายพี่ชายค้านขึ้น พลางอธิบายเหตุผล“ทำงานก็ต้องหาคนที่เหมาะสมที่สุด เพื่อความสำเร็จในภายหน้า ไม่ใช่ทำเพื่อเอาชนะเพียงอย่างเดียว การทำงานน่ะพลาดไม่ได้นะน้ำ ถ้าคุณน้าของคุณเหนือลิขิตจับได้เราก็จะไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีกเลย”


“พรีมเองได้ไหมคะพี่ติน”พริมาภาแทรกขึ้นด้วยท่าทีมั่นใจ ทว่าคนฟังกลับหัวเราะเสียงดังลั่น “เธอเป็นคนสุดท้ายที่ฉันจะเลือกนะพรีม สาวน้อยแสนซุ่มซ่าม เฉิ่มเบ๊อะ ปล่อยไปก็มีหวังแผนการพังหมดแน่ๆ”



“ถ้างั้นก็ต้องเป็นบัวล่ะสิ”บัวบูชาชี้นิ้วเข้ามาหาตัวเองพลางทำตาปริบๆ
ชายหนุ่มรุ่นพี่พยักหน้า“คงต้องเป็นน้องบัวแหละครับที่เหมาะที่สุด นางแบบสาวสวยรวยเสน่ห์แบบนี้คงทำให้คุณน้าของคุณเหนือลิขิตเชื่อได้ไม่ยากว่าเป็นแฟนของหลานท่านจริงๆ”
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: นวนิยาย สืบรักซ่อนแค้น น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » อังคาร 19 ก.พ. 2013 7:10 pm

“ค่ะ ถ้างั้นบัวก็ต้องตามคุณเหนือลิขิตไปที่บ้านใช่ไหมคะ”เจ้าตัวซัก
ลูกค้าหนุ่มพยักหน้า “ครับ แต่ว่าบ้านผมไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯนะฮะ อยู่จังหวัดลำปาง”


“ลำปาง!”หญิงสาวทวนคำเสียงดังแล้วสั่นหน้า “บัวคงไปอยู่ต่างจังหวัดนานๆไม่ได้หรอกนะคะพี่ติน ที่บ้านคงไม่ยอมแน่ๆ แล้วไหนจะงานถ่ายแบบอีกล่ะ”


“เราก็ปฏิเสธงานนี้ไป จบ!” น้ำบุศย์แนะด้วยท่าทีเป็นต่อ ดีเสียอีก นายโรคจิตจะได้ไปพ้นๆหน้าเสียที


เหนือลิขิตได้ฟังจึงลุกขึ้นยืน หันไปทางกฤตินแล้วค้อมศีรษะลงเล็กน้อย และทำท่าคล้ายจะผละไป “ผมนึกอยู่แล้วว่าสำนักงานนักสืบที่มีนักสืบเป็นผู้หญิงจะต้องปฏิเสธงานหินๆอย่างง่ายๆแบบนี้แหละ แต่ผมก็เข้าใจคุณนะครับ คุณกฤติน”


ใบหน้าของน้ำบุศย์งอง้ำ เธอขยับร่างโปร่งระหงของตนมายืนขวางร่างสูงเอาไว้ “นายพูดแบบนี้หมายความว่าไง”


เหนือลิขิตยักไหล่ “ผมก็พูดภาษาไทยชัดเจนดีแล้วนี่ และตอนนี้กำลังจะกลับ ขอทางหน่อยครับ”


“แต่นายต้องอยู่ก่อน”


“เพื่ออะไร”


“เพราะว่าฉันจะเป็นคนรับงานนี้เองน่ะสิ ฉันไม่ยอมให้ใครมาดูถูกเล่นแบบนี้หรอกนะ”หญิงสาวบอกด้วยสีหน้าบึ้งตึง ตรงข้ามกับคู่สนทนาที่กำลังซ่อนยิ้ม ใครจะดูไม่ออกกันเล่าว่าเธอตอบรับเพราะทิฐิหาใช่ความพึงพอใจไม่


ความเงียบครอบคลุมห้องสีขาวอยู่พักใหญ่กฤตินจึงย้อนถามน้องสาวของตนอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ “แน่ใจเหรอน้ำ”


น้ำบุศย์พยักหน้า “ค่ะถ้าไม่มีใครสามารถรับงานนี้ได้ น้ำก็จะทำเอง”


“แต่ต้องไปทำงานถึงลำปางเลยนะน้ำ จะดีเหรอ”แม่แก่อย่างพริมาภายังคงห่วง โอย...ก็เพื่อนของเธอยังเป็นสาวเป็นแส้อยู่นี่นา จะให้ตามลูกค้าหนุ่มไปถึงลำปางได้ยังไง


ผู้ถูกถามฝืนยิ้ม “น้ำจะทำตามที่พี่ตินบอกยังไงล่ะพรีม ว่าจะต้องแยกเรื่องส่วนตัวกับงานออกจากกันให้ได้ น้ำมีเวลาพิสูจน์ตัวเองกับคุณพ่อแค่สามเดือนเท่านั้นนะ ยังไงก็ต้องสู้อย่างเดียว ส่วนนาย...”สายตาคมมองจิกไปยังลูกค้าหนุ่มเขม็ง “จะต้องถ่ายสำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้านและให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองเอาไว้กับสำนักงานด้วย เพราะฉันก็ต้องห่วงความปลอดภัยของตัวเองเหมือนกัน”


“ตกลง”เหนือลิขิตรับคำแล้วเมินมองออกไปนอกหน้าต่าง เขามั่นใจว่า หากผู้ที่ติดตามเขากลับไร่เคียงดอยไปคือหญิงสาวผู้นี้ น้าสาวที่เขารักประดุจแม่บังเกิดเกล้าจะต้องสมหวังดังที่ต้องการอย่างแน่นอน
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: นวนิยาย สืบรักซ่อนแค้น น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » อังคาร 19 ก.พ. 2013 7:16 pm

“แน่ใจแล้วเหรอน้ำ”เสียงถามของเพื่อนรักทำให้มือขาวผ่องที่กำลังยกน้ำกระเจี๊ยบขึ้นดื่มชะงัก น้ำบุศย์ขยับตัวเอียงหน้าไปทางประตูหลังของสำนักงานแล้วจึงวางแก้วน้ำลงบนจานรองก่อนเงยหน้าขึ้นมองร่างระหงของนางแบบสาวซึ่งกำลังนั่งลงฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ “แน่ใจอะไรบัว”


บัวบูชายักไหล่ก่อนตอบ“ก็เรื่องตามนายเหนือลิขิตอะไรนั่นไปลำปางไง”


“อ๋อ เรื่องนั้นเอง น้ำตัดสินใจแล้วล่ะ มันเป็นงานของเรานี่นา”


“แต่ถึงน้ำจะรับงานนี้ ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะต้องสำเร็จเสมอไปนะ”


น้ำบุศย์พยักหน้า เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สองมือวางทาบลงบนโต๊ะขณะที่ดวงตานั้นสบตาเพื่อนรักอย่างแน่วแน่ “แต่นี่จะเป็นแบบเรียนอีกบทหนึ่งที่เราจะได้เรียนรู้ หากเรายังรักที่จะทำอาชีพนี้อยู่ทุกอย่างถือว่ามันเป็นประสบการณ์”


“ประสบการณ์เหรอ คุณลุง คุณป้าล่ะ น้ำจะตอบท่านว่ายังไงที่ต้องหายหน้าไปนานขนาดนั้นน่ะ มันไม่ใช่แค่วันสองวันก็สำเร็จนะ”บัวบูชาพยายามยกแม่น้ำทั้งห้ามาขวางเพื่อน เนื่องจากเธอและพริมาภาเห็นพ้องต้องกันว่า งานนี้ไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่เพื่อนของเธอต้องเผชิญ


“น้ำจะอ้างว่าตามบัวไปถ่ายแบบที่ต่างจังหวัดไง”


“ไม่สมเหตุสมผลเลย เมื่อก่อนน้ำอาจจะไปกับบัวได้ แต่เดี๋ยวนี้เรามีสำนักงานนักสืบต้องดูแล อยู่ดีๆเจ้าของสำนักงานจะตามเพื่อนไปทำงานต่างจังหวัดได้ยังไง”บัวบูชาค้าน ดวงตาคู่สวยมองเลยเพื่อนรักไปยังดอกชมพูพันธ์ทิพย์ที่เพิ่งร่วงจากต้นลงสู่พื้นดิน


“จริงสิ งั้นต้องบอกตามตรงแหละว่าไปทำงาน แต่อาจจะไม่บอกรายละเอียดอะไรมากนักไม่งั้นคุณแม่คงไม่ยอม ”


“เดี๋ยวพี่จะส่งนายพีไปคอยเป็นผู้ช่วยอยู่ห่างๆก็แล้วกัน”เสียงทุ้มที่ดังใกล้เข้ามาทำให้สองสาวรู้ว่ากฤตินนั้นยืนฟังอยู่นานแล้ว



“พี่ไม่ได้มาแอบฟังหรอกนะ แค่จะมาตามน้ำไปตกลงกับคุณเหนือลิขิตว่าจะเดินทางเมื่อไหร่ ยังไงเท่านั้นเอง”ชายหนุ่มออกตัว


“น้ำจะขึ้นเครื่องไปเชียงใหม่พร้อมบัววันมะรืนค่ะ ให้นายคนนั้นส่งคนไปรับที่สนามบินด้วยก็แล้วกัน”น้องสาวให้คำตอบขณะพี่ชายเดินเข้ามาใกล้จะถึงตัว “ทางโน้นเขาอยากให้น้ำไปด้วยกันวันนี้เลย เขาจะได้จัดการค่าใช้จ่ายให้”


“ไม่ล่ะค่ะ น้ำจะไปเอง ถ้าไปถึงค่อยเบิกค่าเดินทางที่นั่น”น้ำบุศย์บอกพี่ชายแล้วจึงลุกขึ้นยืนและหันบอกเพื่อนหน้ายิ้มๆ “เดี๋ยวน้ำเข้าบ้านไปกล่อมคุณพ่อก่อนนะบัว หาพวกก่อน”


“ตามสบายจ้ะ”บัวบูชายิ้มตอบ จากนั้นจึงหันไปหาหนุ่มรุ่นพี่“พี่ตินคะบัวขอเวลาสัก 5 นาทีสิ”


“ครับ มีอะไรเหรอน้องบัว”กฤตินหันหลังกลับและเอ่ยอนุญาตอย่างใจดี
“พี่ตินไม่เป็นห่วงน้ำเหรอคะ”นางแบบสาวถามขึ้นหลังจากถอนหายใจเฮือกใหญ่ “บัวไม่ค่อยสบายใจเลย คนสมัยนี้น่ากลัวนะคะ พี่พียังเคยเล่าให้ฟังเลยว่ามีการสร้างเรื่องมาหลอกคนอื่นแบบนี้อยู่บ่อยๆ”


กฤตินส่ายหน้าเล็กน้อย เขาเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเองและมั่นใจว่าน้องสาวของตนเฉลียวฉลาดดูแลตัวเองได้จึงย้อนถามอย่างขำๆ”นายพีเนี่ยเป็นนักแช็ทตัวยงไม่ใช่เหรอ ในสังคมออนไลน์มักจะมีการหลอกหลวงแบบนั้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่งานของเรามีพื้นฐานอยู่บนโลกแห่งความจริงนะน้องบัว ยังไงเราก็มีข้อมูลลูกค้าอยู่แล้วล่ะ ไม่น่าเป็นห่วงหรอก”


เมื่อได้ยินคำยืนยันหนักแน่นหญิงสาวจึงยิ้มแหยๆพยักหน้าตอบ “ใช่ค่ะ แต่ฟังแล้วก็น่ากลัวนะคะพี่ติน มีทั้งหลอกไปทำร้าย หลอกเอาเงิน อย่างน้ำเนี่ยอาจจะถูกหลอกไปเรียกค่าไถ่หรือไปทำมิดีมิร้ายก็ได้นะคะ”


พี่ชายเพื่อนหัวเราะ “อ่านนิยายมากไปหรือเปล่าจ๊ะน้องบัว พี่เชื่อว่าน้ำเอาตัวรอดได้ น้องบัวก็รู้นี่นาว่าเพื่อนตัวเองน่ะร้ายกาจขนาดไหน แต่เพื่อความสบายใจของทุกคน เดี๋ยวพี่จะให้เพื่อนที่เป็นตำรวจเช็คประวัติคุณเหนือลิขิตให้ก็แล้วกัน”


“ค่ะ ฝากด้วยนะคะ บัวจะได้ไปบอกพรีม รายนั้นห่วงเพื่อนจนเครียดเลย”


กฤตินได้ฟังจึงส่ายหัวด้วยความระอา ก่อนจะหัวเราะหึๆหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้เพื่อนของน้องสาวมองตามอย่างงงๆ


พี่ตินนี่ก็แปลก ตอนแรกทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แล้วก็ผละไปเฉยๆซะงั้นละ
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » พฤหัสฯ. 21 ก.พ. 2013 8:52 pm

ตอนที่ ๓

น้ำบุศย์เดินทางมาถึงท่าอากาศยานเชียงใหม่พร้อมกับบัวบูชาในอีกสองวันถัดมา โดยกะว่าจะอยู่เที่ยวให้หนำใจก่อนค่อยแจ้งให้ลูกค้าหนุ่มมารับ ทว่ายังไม่ทันออกจากอาคารที่พักผู้โดยสารหญิงสาวก็พบว่ามีใครบางคนมายืนรออยู่ก่อนแล้ว


“คุณกฤตินโทร.มาบอกเวลาเดินทางของคุณเอาไว้เมื่อเช้านี้”ชายหนุ่มขยายความหลังจากเห็นท่าทางงุนงงของสองสาว บัวบูชาหันไปสบตาเพื่อนและบ่นกระปอดกระแปด “แหม น่ารักจริงๆนะพี่ชายน้ำเนี่ย จะให้น้องอยู่เที่ยวเชียงใหม่สักคืนก็ไม่ได้”


“นั่นสิ น้ำก็บอกแล้วว่าจะติดต่อนาย เอ่อ คุณเหนือขิลิตเอง”หญิงสาวพยายามปรับเปลี่ยนท่าทีหลังจากที่ต้องร่วมงานกันจริงๆ แต่มันก็ช่างฝืนจิตใจเหลือเกิน ให้ตายสิ


แม้เขาจะรู้สึกหมั่นไส้ต่อท่าทีของหญิงสาวแต่เหนือลิขิตก็ไม่แสดงอาการใดๆออกไป ชายหนุ่มยังคงสงวนท่าทีและแสดงความเป็นสุภาพบุรุษอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว “มาคุณ ผมถือกระเป๋าให้”


หญิงสาวไม่ตอบ มือเรียวซึ่งกำคันชักกระเป๋าลากแบบสองล้ออยู่ยังคงนิ่ง เธอเคยชินกับการช่วยเหลือตัวเองมาตลอด ดังนั้นน้ำบุศย์จึงแอบคิดในใจว่า เธอไม่ต้องการน้ำใจอันแสนเสแสร้งจากผู้ชายตรงหน้าเลย


ระหว่างที่กำลังมีการรีๆรอๆอยู่นั้น ชายร่างใหญ่ท่าทางตุ้งติ้งคนหนึ่งเดินลิ่วๆเข้ามาหาบัวบูชาและพูดคุยกันอยู่สองสามคำ นางแบบสาวจึงหันมาบอกหนุ่มสาวทั้งคู่ว่า “บัวคงต้องไปแล้วล่ะ ดูแลตัวเองด้วยนะน้ำ ฝากเพื่อนบัวด้วยนะคะคุณเหนือลิขิต”


ผู้รับฝากยิ้มเต็มหน้าส่งสายตาเป็นมิตรให้แก่นางแบบสาวพลางรับคำ“ไม่ต้องห่วงครับคุณบัว ผมจะดูแลคุณน้ำเป็นอย่างดี”


บัวบูชาจึงเอ่ยคำขอบคุณทิ้งท้ายแล้วหันไปดึงมือเพื่อนมากุมไว้ชั่วครู่ก่อนผละจากไป ทิ้งให้สองหนุ่มสาวเผชิญหน้ากันอยู่ตามลำพัง


“จะส่งกระเป๋าให้ผมได้หรือยังคุณ ผมรีบนะ ต้องกลับไปทำงานอีก” เหนือลิขิตถามย้ำเสียงเข้ม


ใบหน้าเรียบเฉยของน้ำบุศย์จึงตึงขึ้นเล็กน้อย ‘หน็อย พอเพื่อนของเธอเดินไปไม่ทันถึงหน้าสนามบินตาบ้านี่ก็เริ่มวางตัวเป็นปฏิปักษ์เสียแล้วสิ โธ่เอ๊ย นายขี้เก๊ก แกล้งทำตัวเป็นคนดี เป็นสุภาพบุรุษต่อหน้าสาวๆล่ะสิ’ ด้วยทิฐิมานะเธอจึงเชิดหน้าตอบ “ไม่เป็นไรฉันถือเองได้”


เหนือลิขิตยิ้มมุมปาก แล้วยักไหล่ “ตามสบาย ผมดีใจนะที่คุณช่วยเหลือตัวเองได้ เวลาอยู่ที่ไร่จะได้ไม่ลำบากมากนัก”


“ไร่”หญิงสาวทวนคำ ทำตาโต “นี่นายอย่าบอกนะว่าฉันจะต้องเข้าไปอยู่ในป่าในดอย ห่างไกลความเจริญน่ะ”


ผู้ถูกถามหัวเราะหึๆเอ่ยตอบด้วยท่าทีสาแก่ใจ จากนั้นจึงหันหลังเดินนำไปฉับๆ “ผมคงไม่ต้องบอกแล้วล่ะ คุณรู้เองแล้วนี่ เอาล่ะ เดินตามผมมา เดี๋ยวระหว่างเดินทางก่อนถึงไร่ผมจะให้ข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับตัวเอง”


“เรื่องนั้นฉันไม่ต้องการรู้”หญิงสาวสวนไปทั้งที่เขาพูดยังไม่จบประโยคด้วยซ้ำ


ชายหนุ่มจึงเอี้ยวตัวกลับมาหาและบอกหน้าตาเฉยตามสไตล์“ผมก็ไม่ได้อยากบอกหรอกนะ แต่อย่าลืมสิว่าคุณไปอยู่ที่นั่นในฐานะแฟนผม ดังนั้นคุณจะต้องรู้จักผมให้มากที่สุด และที่สำคัญคุณจะมาทำปั้นปึ่งใส่ผมแบบนี้ไม่ได้ เพราะมันผิดวิสัยของคู่รัก”


“แต่ฉันคงจะไม่พักในบ้านไร่ของคุณหรอกนะ ฉันจะไปพักในตัวเมือง ตามที่อยู่ในทะเบียนบ้านของคุณบอกเอาไว้นี่ว่าบ้านคุณก็อยู่ในอำเภอเมือง ไม่ใช่อำเภอรอบนอกห่างไกลความเจริญเสียเมื่อไหร่”


เมื่อเดินมาถึงรถ เหนือลิขิตจึงยื่นมือขอกระเป๋าจากเธอไปวางไว้ในกระโปรงรถด้านหลังแล้วอ้อมมาเปิดประตูรถฝั่งตรงข้ามคนขับให้หญิงสาวก่อนเดินกลับไปนั่งประจำที่ของตน “บ้านผมอยู่ติดเขา ชายขอบอ.เมือง คงลำบากหน่อย แต่การที่คุณไปพักนอกเขตไร่ทำให้ลดประสิทธิภาพการทำงานลง อีกอย่างผมต้องการลดค่าใช้จ่ายด้วย เพราะดูแล้วบุคลิกแบบคุณคงพักโรงแรมจิ้งหรีดไม่เป็นหรอกมั้ง”


น้ำบุศย์เบิกตาโพลงหันไปมองเสี้ยวหน้าคนพูดเขม็ง “นี่คุณคิดจะให้ฉันไปพักโรงแรมจิ้งหรีดเนี่ยนะ”


คนฟังดูไม่ใส่ใจคำถามแต่กลับสนใจรายละเอียดปลีกย่อยในคำพูดของเธอมากกว่า “ผมว่าคุณควรจะแทนตัวเองว่าน้ำแล้วเรียกผมว่าลิขิตจะดีกว่านะ”


ใบหน้างามมีร่องรอยไม่สบอารมณ์เกิดขึ้นทันใด “จะบ้าเหรอ ฉันไม่ได้สนิทกับคุณขนาดนั้นสักหน่อย”


ฟังคำตอบของเธอแล้ว น้ำเสียงของผู้นั่งอยู่หลังพวงมาลัยจึงแข็งกระด้างเข้มงวดขึ้น “คุณคงลืมไปแล้วมั้งว่ากำลังทำงานอยู่ ดังนั้นคุณจะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้ ผมแนะนำอะไรคุณก็ต้องทำนะครับคุณนักสืบ เพราะผมคือคนที่รู้จักน้าพรมากที่สุด”


“ก็ได้ ฉัน...จะทำตามที่คุณบอก”หญิงสาวรับคำเสียงขุ่น


เหนือลิขิตจึงย้ำ “คุณต้องพูดว่า น้ำจะทำตามที่ลิขิตบอกค่ะ”


ดวงตาคู่สวยที่เหลือบมองมา...เขียวปั๊ด เขียวพอๆกับน้ำเสียงของเจ้าตัวนั่นแหละ “ได้ แต่ฉันจะพูดตอนที่ไปถึงบ้านคุณแล้วเท่านั้น


“ตามใจคุณ”ริมฝีปากใต้ไรหนวดเขียวครึ้มกระตุกยิ้ม นึกขำความดื้อรั้นของอีกฝ่าย หากก็ยังกังวลอยู่ลึกๆ ‘เขาจะรับมือแม่นักสืบสาวแสนเหวี่ยงคนนี้ได้สักกี่น้ำกัน’
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » พฤหัสฯ. 21 ก.พ. 2013 8:53 pm

ก้าวแรกบนผืนแผ่นดินเมืองลำปางทำให้น้ำบุศย์รู้สึกทึ่ง บรรยากาศในไร่ของเหนือลิขิตแตกต่างจากที่หญิงสาวคาดเอาไว้ลิบลับ ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในรถเธอกังวลเหลือเกินว่า ที่ทำงานเฉพาะกิจของตนนั้นจะเป็นเพียงบ้านไร่เชยๆซ่อนตัวอยู่ในป่ารก แต่เมื่อมาถึงจริงๆแล้วหญิงสาวกลับพบว่าไร่เคียงดอยแห่งนี้เป็นไร่อันกว้างใหญ่ไพศาลเต็มไปด้วยพืช ผัก ผลไม้ และดอกไม้ครบครัน อีกทั้งยังมีบ้านหลังใหญ่งดงามราวกับภาพฝันตั้งอยู่บนเนินเขาท้ายไร่ ท่ามกลางแมกไม้นานาพันธุ์อีกต่างหาก


“เป็นไง บ้านผมพอจะรับรองสาวไฮโซเมืองกรุงอย่างคุณไหวไหม” ชายหนุ่มถามหลังจากลงจากรถเรียบร้อยแล้ว


อากาศอันเย็นเยียบของยามเช้าเดือนพฤศจิกายนทำให้หญิงสาวต้องห่อไหล่ก่อนพยักหน้า “ก็...พอได้”


“งั้นเดี๋ยวขึ้นไปพบน้าพรกันก่อนดีกว่า”เขาบอกแล้วก็เดินเข้ามาโอบไหล่เธอหน้าตาเฉย


น้ำบุศย์หันไปถลึงตาก่อนขืนตัวออกมาอย่างยากลำบาก “พอถึงบ้าน คุณก็หาเรื่องแต๊ะอั๋งทันทีเลยนะ”


เหนือลิขิตนิ่วหน้า “คุณนี่อคติเหลือใจจริงๆ ผมบอกแล้วไงว่าเราต้องแสดงละครให้มันแนบเนียน ตอนนี้ผมพาแฟนมาบ้านครั้งแรกจะให้ต่างคนต่างเดินเหมือนคนไม่รู้จักกันได้ยังไง”


“แต่มันก็ไม่ถึงกับต้องโอบไหล่แบบนี้หรอก”เธอลอยหน้าเถียง


“เอาล่ะๆถ้างั้นจูงมือก็พอ โอเคไหม”เขาต่อรองด้วยคำพูด ทว่าสายตานั้นแสดงให้เห็นถึงความอิดหนาระอาใจเต็มที่


น้ำบุศย์ทำหน้าตึง กำมือตนเองแน่น ขณะชายหนุ่มเอื้อมมากุมมือเรียวเล็กของเธอไว้แล้วจึงจับจูงกันขึ้นบันไดเตี้ยๆทอดไปสู่ตัวบ้านซึ่งเป็นเรือนไม้สองชั้นหลังใหญ่ที่ตกแต่งเอาไว้อย่างลงตัว


“แม่เลี้ยงอยู่ที่ระเบียงค่ะคุณลิขิต”แม่บ้านร่างท้วมเดินอุ้ยอ้ายเข้ามารายงานเจ้านายหนุ่มอย่างพินอบพิเทา นางแอบชำเลืองมองมือของเขาที่กุมมือสาวสวยข้างกายเอาไว้แน่นแล้วอมยิ้ม


เหนือลิขิตพยักหน้า ทำไม่รู้ไม่ชี้หันไปบอกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไปหาคุณน้าที่ระเบียงกันก่อนครับน้ำ”


คิ้วเรียวถูกดึงเข้าหากันเมื่อได้ยินคำพูดของเขาที่พานให้เธอรู้สึกหมั่นไส้ หญิงสาวจึงขยับเข้าไปกระซิบเบาๆ “แสดงละครเก่งดีนี่”


ชายหนุ่มหัวเราะหึๆไม่ต่อความยาวสาวความยืด ยกมือแตะตรงปลายข้อศอกของเธอเบาๆเป็นเชิงให้เดินตามออกไปโดยทันที
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » พฤหัสฯ. 21 ก.พ. 2013 8:54 pm

น้ำบุศย์มองแผ่นหลังของหญิงวัยปลายกลางคนร่างบอบบางในชุดเดรสยาวสีครีมซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นสำหรับคนป่วยก่อนปรายตามองชายหนุ่มข้างกายนิดหนึ่ง เมื่อเห็นเขาพยักหน้าเธอจึงก้าวเข้าไปยืนข้างเขาอย่างสงบ


“น้าพรครับ”เสียงนุ่มทุ้มเรียกน้าสาวๆเบา น้ำเสียงของเขาดูสุภาพ อ่อนโยนจนหญิงสาวต้องแปลกใจ


ใบหน้าสวยสมวัยซึ่งล้อมกรอบด้วยผ้าคลุมผมสีเหลืองอ่อนหันมาช้าๆก่อนยิ้มละไมเมื่อเห็นหน้าหลานชาย “กลับมานานหรือยังลูก”


“เพิ่งมาถึงครับ ผมพาน้ำมากราบน้าครับ”เขาบอกแล้วหันไปมองคนรักกำมะลอของตน พลางเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่ง “จริงๆแล้วน้าพรมีศักดิ์เป็นอาของผมกับน้องๆแต่คนที่นี่เราจะเรียกรวมๆกันว่าน้าหมด”


“อ๋อค่ะ สวัสดีค่ะคุณน้า”


ดวงตาเรียวรีของคุณธันยาพรมองตามสายตาหลานชาย ก่อนจะหยุดนิ่งที่ใบหน้าอาคันตุกะสาว ยกมือขึ้นรับไหว้ด้วยท่าทางปราณี


“น้ำจะมาอยู่ดูแลน้าพรที่นี่ด้วยนะครับ”


ผู้สูงวัยทำท่าแปลกใจ “น้าไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย ไม่เห็นต้องรบกวนหนูน้ำขนาดนั้นเลย หนูพักผ่อนที่นี่ได้ตามสบายนะลูก แต่อย่าถึงกับต้องมาดูแลคนป่วยอย่างน้าเลย พยาบาลพิเศษก็มีอยู่แล้ว”



มือใหญ่กระตุกมือเรียวของหญิงสาวเบาๆ น้ำบุศย์หันไปสบตาคมคู่นั้น ก่อนเอ่ย “น้ำต้องขอบพระคุณน้าพรมากค่ะ”


คุณธันยาพรนิ่งอยู่เป็นครู่จึงยิ้มและกล่าวตอบอย่างเป็นกันเอง “น้าดีใจมากนะที่หนูมาเยี่ยม ตาลิขิตเขามาเกริ่นกับน้าไว้บ้างแล้วล่ะ ว่าว่าที่คู่หมั้นของเขาจะมาอยู่เป็นเพื่อนน้าที่นี่ ในไร่ในดอยมันเหงาจ้ะหนูน้ำ น้าเองก็ไม่มีใคร พอตาลิขิตกับตารุตไปทำงาน ยายสตางค์ไปเรียน น้าก็เหมือนอยู่คนเดียว ถ้ามีหนูอยู่ ที่นี่คงมีชีวิตชีวาขึ้น”


น้ำบุศย์ยิ้ม ทอดสายตามองไร่อันกว้างใหญ่ก่อนหันมาตอบ “น้ำเองก็ชอบที่นี่มากค่ะ”


หากยังไม่ทันมีใครพูดอะไรต่อ ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งผู้มีเค้าหน้าคล้ายเหนือลิขิตก็พาชายหนุ่มอีกสองคนเดินเข้ามาสมทบ และหนึ่งในนั้นเป็นคนที่น้ำบุศย์รู้จักเป็นอย่างดี “น้าพร พี่ลิขิตครับ ผมพาพนักงานใหม่มาแนะนำครับ”


“พี่ก็มีคนมาแนะนำให้รุตรู้จักเหมือนกัน”เหนือลิขิตบอกน้องชาย แล้วจึงแตะมือลงบนต้นแขนของน้ำบุศย์เบาๆ “นี่น้ำ เป็น เอ่อ แฟนพี่ น้ำเค้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับรุตเนี่ยแหละ”


วิศรุตค้อมศีรษะให้หญิงสาวเล็กน้อยพลางยิ้มให้อย่างเป็นมิตร น้ำบุศย์ยิ้มตอบ ค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย ‘อีตาวิศรุตนี่ดูไม่มีลับลมคมในเหมือนพี่ชายเลยสักนิด’



เมื่อทักทายกันพอหอมปากหอมคอดีแล้ว วิศรุตก็เอ่ยแนะนำพนักงานคนใหม่ตามเจตนารมณ์ที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก “คนนี้ชื่อคุณพีรัชชัยครับ เป็นหัวหน้าฝ่ายบัญชีคนใหม่ ส่วนนี่คุณนันทวัชร์มารับหน้าที่ผู้จัดการโกดังสินค้าของเรา”


“ขอให้ตั้งใจทำงานก็แล้วกันนะ การทำงานที่นี่เราถือคติว่า เวลางาน ลมหายใจของเราคืองาน แต่เวลานอกเหนือจากนั้นทุกคน คือ ญาติพี่น้อง”คุณธันยาพรหมุนรถเข็นมาเผชิญหน้ากับหนุ่มสาวรุ่นลูกทั้งห้าและให้คติเตือนใจด้วยน้ำเสียงจริงจัง “การทำงาน คือ การแก้ปัญหา ฉันหวังว่าเราจะทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นนะ”


เมื่อพนักงานใหม่ทั้งสองรับคำแล้ว วิศรุตจึงขอตัวพาทั้งคู่กลับไปดูที่พักโดยที่น้ำบุศย์และเหนือลิขิตยังคงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อนักสืบหนุ่มที่สวมรอยมาเป็นหัวหน้าฝ่ายบัญชีคนใหม่เช่นเดิม


“น้าว่าลิขิตพาหนูน้ำไปดูห้องพักเสียก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยคุยกันต่อที่โต๊ะอาหาร”คุณธันยาพรบอก แล้วจึงหันไปทางอาคันตุกะสาว ระบายยิ้มน้อยๆอย่างใจดี “น้าสั่งให้จัดห้องพักให้หนูทางปีกซ้ายของเรือนใหญ่จะได้ไม่เป็นที่ครหาเพราะตาลิขิตกับน้องๆเขาไม่อยู่เรือนหลังนี้กัน”


“น้ำต้องขอขอบพระคุณคุณน้าพรด้วยค่ะ”น้ำบุศย์พนมมือขึ้นอีกครั้ง


เหนือลิขิตหันไปพยักหน้ากับหญิงสาว จากนั้นจึงพากันหมุนตัวเดินออกไปช้าๆ แล้วกลับต้องชะงักเมื่อผู้สูงวัยส่งเสียงไล่หลังมา “ลิขิตอย่าลืมเตรียมชุดสวยๆให้หนูน้ำด้วยนะลูก คืนนี้น้าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้ คนงานจะได้สนุกสนานกันไปในตัวด้วย”
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » พฤหัสฯ. 21 ก.พ. 2013 8:56 pm

ดวงตากลมโตมองสำรวจห้องนอนสีเนื้อไม้ด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะหยุดสายตาไว้ที่เตียงนอนแบบซุ้มสี่เสาตกแต่งด้วยลูกไม้สีขาวสะอาดตาซึ่งมีชุดเครื่องนอนสีเดียวกันจัดเป็นชุดเอาไว้ครบครัน แล้วหันไปหาชายหนุ่มซึ่งยืนกอดอกพิงผนังอยู่ห่างออกไปและมองเขาด้วยสายตาเป็นมิตรครั้งแรก “ห้องนอนของฉันสวยมากค่ะ ขอบคุณมาก”


เหนือลิขิตยิ้มมุมปาก“ผมว่าคุณแทนตัวเองว่าน้ำดีกว่านะ เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นๆจะได้ไม่หลุด”


เสียงถอนหายใจดังมาจากร่างบางเบาๆ คิ้วของเธอขมวดเล็กน้อย ขณะที่สายตาบ่งบอกถึงความอึดอัดขัดใจเด่นชัด“รู้สึกคุณจะให้ความสำคัญกับคำพูดคำจาของฉันเหลือเกินนะ”


ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นยืนตรง เดินเข้ามาหาเธออย่างช้าๆและจ้องหน้า “แล้วคุณจะให้ผมบอกเหตุผลอีกกี่ครั้งล่ะ ว่าเพราะอะไร”


น้ำบุศย์ใจเต้นตุบตับ เธออยู่กับเขาภายในที่รโหฐานเพียงสองคน มิหนำซ้ำเขายังเคยคิดจะลวนลามเธอมาก่อน มันน่ากลัวหยอกเสียเมื่อไรล่ะ หญิงสาวจึงรีบโบกไม้โบกมือให้วุ่น “เอาล่ะๆ ต่อไปนี้ฉัน...”เธอลากเสียงยาวก่อนจะเปลี่ยนสรรพนามเมื่อสบสายตาดุๆที่จ้องมองมาเขม็ง “น้ำจะแทนตัวเองว่าน้ำตลอดเลยก็แล้วกัน”


เขาดีดตัวขึ้นยืนตรง เพ่งสายตาจ้องมองเธอเขม็ง เป็นแววตาที่ดูประหลาดจนเธอไม่สามารถคาดเดาความคิดได้เลย“ดีแล้ว ว่าง่ายๆคุณจะได้เสร็จงานไวๆ”


“เรื่องงานของเรามีใครรู้บ้างคะ”เธอย่อตัวลงนั่งบนเตียงนุ่ม เงยหน้าขึ้นมองเขาขณะถาม


เหนือลิขิตสั่นหน้า “ไม่มีเลย เรื่องนี้เป็นความลับ อ้อ มีคนนึงที่ผมจำเป็นต้องบอกเรื่องนี้กับเขา...”


หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นแทนคำถาม


“แฟนผม มนิดา”


น้ำบุศย์พยักหน้า ลอบอมยิ้ม พลางนึกในใจ ‘โธ่เอ๊ย! เห็นทำตัวเป๊ะ ใหญ่คับฟ้าที่แท้ก็กลัวแฟนจนหัวหด’


“ยิ้มอะไร”เขาถามเสียงขุ่น เมื่อเห็นท่าทีของหญิงสาว


น้ำบุศย์เม้มริมฝีปากกลั้นหายใจเพื่อให้ร่องรอยขำในดวงหน้าจางหายก่อนตอบ “เปล่านี่ น้ำก็แค่รับรู้ว่ามีคนรู้เรื่องนี้สองคนคือคุณกับแฟน แปลกใจอยู่อย่างนึง คุณน้าไม่สงสัยเลยหรือไงว่าคุณมีแฟนอยู่แล้วแต่ทำไมคิดจะหมั้นกับคนอื่นอีก”


ร่องรอยบางอย่างผ่านแวบเข้ามาในดวงตาคมกริบชั่ววินาทีก่อนจางหายไป “คุณน้าไม่ชอบมีมี่ ผมก็ตามใจท่านไงล่ะ”


“ทำไมน้าคุณถึงไม่ชอบแฟนคุณล่ะ”หญิงสาวย้อนถาม


ดวงตาคมคู่นั้นฉายแววขุ่นมัวขึ้นชั่วครู่ แต่แล้วชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะตอบ “นั่นไม่ใช่ส่วนที่คุณควรจะรู้ เอาเป็นว่าตอนนี้คุณมีหน้าที่อย่างเดียวคือ ล้วงความลับเรื่องคนรักของคุณน้ามาให้ได้ก็พอ”


ว่าแล้วชายหนุ่มจึงหันหลังกลับ แต่อยู่ดีๆก็เอี้ยวตัวกลับมา “ถ้าหากขาดเหลืออะไรก็มาบอกผมโดยตรงเลยนะ”


หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะเบะปาก ขณะมองตามร่างสูงสง่าที่เดินออกไปจากห้องด้วยความประหลาดใจ ‘อีตานี่คิดอะไรแปลกๆ ทำอะไรแปลกๆอยู่เสมอแฮะ’
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » จันทร์ 25 ก.พ. 2013 12:01 pm

ตอนที่ ๔

เมื่อแขวนเสื้อตัวสุดท้ายในตู้เสื้อผ้าแล้ว พีรัชชัยจึงเดินออกมารับลมอยู่นอกระเบียงของบ้านพักซึ่งเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนโล่งเช่นเดียวกับบ้านข้างๆซึ่งเป็นบ้านพักของนันทวัชร์ผู้จัดการโกดังสินค้าคนใหม่ของไร่เคียงดอย





สายลมเย็นพัดพาเอากลิ่นไอแดดจางๆเข้ามาด้วย แปรเปลี่ยนความเย็นเยียบของหน้าหนาวให้ค่อยๆอบอุ่นขึ้นทีละน้อย ชายหนุ่มจึงกอดอกยืนมองทิวทัศน์ได้อย่างสบายใจเพราะวิศรุตให้เวลาส่วนตัวไปจนถึงบ่ายโมงตรง





เสียงเปิดประตูจากบ้านข้างๆดังขึ้น เมื่อเขาหันไปมองจึงพบว่านันทวัชร์ซึ่งอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน กางเกงยีนสีดำกำลังเดินออกมาจากตัวบ้าน เขาจึงเอ่ยทัก “จัดของเสร็จแล้วหรือครับคุณ”





ผู้ถูกถามพยักหน้า เอ่ยตอบเสียงเรียบดุจเดียวกับสีหน้า “เสร็จแล้ว คุณล่ะ”





“ของผมก็เพิ่งเสร็จเหมือนกัน เห็นมีเวลาเหลืออีกราวชั่วโมงกว่าก็เลยออกมายืนดูทัศนียภาพรอบๆบ้านเสียหน่อยน่ะครับ”





นันทวัชร์พยักหน้าอีกครั้ง “ที่นี่อากาศดี น่าอยู่ แต่เสียดายสัญญาณโทรศัพท์ติดๆขัด”





“ภูเขาเยอะมั้งครับ คุณนนท์จะโทรศัพท์รึ”





ผู้จัดการโกดังสินค้ายักไหล่ “เปล่า พอดีผมติดโน้ตบุ๊คมาด้วยเผื่อจะใช้อินเทอร์เน็ตน่ะ”





พีรัชชัยหัวเราะ “สายแช็ทสิเนี่ย หรือว่าชอบเล่นเกม”





“ทั้งหมด”ตอบแล้วนนทวัชร์ก็กระตุกยิ้มมุมปาก “บางทีคนเราก็ชอบอยู่กับโลกส่วนตัวและคุยกับคนที่ไม่รู้จักบ้างใช่ไหมคุณ”





“ก็คงใช่ ผมเองก็ชอบจมอยู่กับคอมพิวเตอร์ในเวลาที่ว่างๆเหมือนกัน”





นันทวัชร์หัวเราะหึๆก่อนหันไปจ้อง เพื่อนบ้าน ตรงๆ “แต่ผมกลับคิดว่ามันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมเชียวล่ะ”





พีรัชชัยผงกศีรษะรับ แล้วจึงเปลี่ยนเรื่องเมื่อกระเพาะอาหารกำลังประท้วงว่าหิวแล้ว “ผมว่าเราไปหาอะไรกินก่อนดีกว่านะ เดี๋ยวจะเข้าไปในเมืองหาซื้อของใช้ด้วย คุณจะไปกับผมหรือเปล่า”





คนถูกชวนยิ้มมุมปาก “ผมเองก็เอารถมาใช้เหมือนกัน แต่วันนี้ขอติดรถคุณไปก่อนดีกว่า มาที่นี่ยังไม่รู้จักถนนหนทาง ญาติสักคนก็ไม่มี”





“โอเคครับ ผมก็ไม่รู้จักใครที่นี่เหมือนกัน” พีรัชชัยยิ้มกว้าง เขามีความเป็นมิตรกับทุกคนเสมอ โดยเฉพาะคนที่มาเริ่มงานใหม่พร้อมๆกันเช่นนันทวัชร์คนนี้
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

ต่อไป

ย้อนกลับไปยัง นวนิยาย

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 19 ท่าน

cron