นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

นวนิยาย เรื่องยาว ต่างๆ

Re: นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » จันทร์ 25 ก.พ. 2013 12:02 pm

แดดอ่อนแสงลงเมื่อเวลาล่วงเลยไปเกือบห้าโมงเย็น ฝูงนกกาบินตัดท้องฟ้าสีขาวเจือส้มกลับรังเช่นเดียวกับเหล่าคนงานในไร่ที่ทยอยกันเดินกลับที่พักเป็นกลุ่มๆ บ้างก็เดินไปคุยกันไป บ้างก็หยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน แล้วผู้คนเหล่านั้นกลับต้องวิ่งหลบเข้าริมทางอย่างจ้าละหวั่นเมื่อมีเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มเคลื่อนเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วที่ค่อนข้างสูง


หลังฝ่าฝูงชนบนถนนสายหลักของไร่เคียงดอยมาแล้ว รถสปอร์ตสีแดงแปร๊ดจึงเลี้ยวขวาเข้าไปจอดยังลานกว้างด้านหน้าบ้านหรูสไตล์โมเดิร์นซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากเรือนไทยหลังใหญ่เท่าใดนัก


จากนั้นหญิงสาวในชุดเดรสสายเดี่ยวสีเดียวกับรถจึงก้าวลงจากฝั่งคนขับและปิดประตูปังใหญ่ก่อนก้าวขึ้นบันไดเตี้ยๆเข้าสู่ตัวบ้านด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก ดวงตางามกวาดมองภายในบ้านซึ่งตกแต่งอย่างเรียบง่าย และเมื่อไม่เห็นมีผู้ใดออกมาต้อนรับจึงตะโกนเรียก “ลิขิตอยู่ไหมคะ หายไปไหนกันหมดเนี่ย”


เสียงตึงตังดังมาจากทางหลังบ้าน ชั่วครู่ชายวัยประมาณยี่สิบต้นๆจึงโผล่หน้ามาและยิ้มให้หญิงสาวด้วยใบหน้าทะเล้น พลางถาม “มาหาคุณลิขิตหรือครับคุณมีมี่”


สายตาคมตวัดมองผู้มาใหม่ชั่วขณะ จากนั้นจึงยกมือขึ้นกอดอกตอบอย่างไว้ตัว “ก็ใช่น่ะสิ ไปเรียนคุณลิขิตซิ ว่าฉันมาหา”


“คือ เอ่อ คุณลิขิตพาคุณคนสวยไปดูที่พักอยู่ครับ”จอห์นตอบเสียงอ่อย ไม่กล้าบอกตามที่ได้ยินคนลือกันมา ว่าเธอผู้นั้นคือว่าที่คู่หมั้นของเจ้านาย


แต่ถึงหนุ่มหน้าไทยชื่อฝรั่งจะพยายามตอบอย่างเลี่ยงๆ ทว่าคำว่า “คนสวย”ที่ได้ยินก็ยิ่งทำให้เกิดความขุ่นมัวในหัวใจของมนิดา เธอถามต่อเสียงขุ่น “แกว่าใครสวยกันฮึ จอห์น”


คนถูกถามทำตัวลีบ หน้าเจื่อน เริ่มรู้สึกตัวว่าพลาดจึงตอบออกไปอย่างเอาใจ “ก็เพื่อนคุณลิขิตน่ะครับ เธอสวยดีแต่ยังไงก็สู้คุณมีมี่ไม่ได้หรอกครับ”


เท่านั้น รอยยิ้มพึงพอใจจึงปรากฏขึ้นบนเรียวปากของผู้ฟัง “งั้นก็แล้วไป เอาเป็นว่าแกไปตามคุณลิขิตมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันจะไปนั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่น”


“คร้าบ” หนุ่มร่างผอมยานคางตอบ แล้วก้าวเร็วๆออกจากบ้านไป



มนิดามองตามแล้วเบะปาก พลางนึกในใจว่า คนสวยเหรอ สวยไม่มีเสน่ห์ ยังไงก็ไม่ทำให้ลิขิตหวั่นไหวได้หรอก แต่ก็น่าแปลก ทั้งๆที่คิดแบบนั้น ทำไมใจของเธอยังกังวลอยู่ลึกๆก็ไม่รู้


หลังจากหญิงสาวเข้าไปนั่งลงบนโซฟาห้องนั่งเล่นและคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่เพลินๆ เสียงกระดิ่งและเสียงเห่าของสุนัขพันธุ์ยอร์คเชียร์เทอร์เรียก็ดังขึ้น คิ้วเรียวได้รูปของเธอจึงขยับเข้าหากันเล็กน้อยยามหันไปมองสุนัขขนสีทองตัวจ้อยซึ่งผูกโบสีแดงเอาไว้กึ่งกลางหัว เธอรีบโบกไม้โบกมือไล่ “กลับไปหลังบ้านเดี๋ยวนี้นะเจ้าปิงปอง แกไม่รู้รึยังไงว่าเสียงของแกมันน่ารำคาญที่สุด”



เจ้าปิงปองหันมามองตาแป๋ว เห่าดังบ๊อกๆ ขยับเท้าวิ่งเข้ามาพันแข้งพันขาของอีกฝ่าย มนิดาทำหน้ามุ่ย เงื้อมือขึ้นหมายจะตีลงบนหลังปุกปุยของเจ้าตัวเล็กสักทีสองที “บอกให้ไปไกลๆไงเจ้าหมาบ้า”


“นั่นเธอจะทำอะไร”เสียงแหลมรัวเร็วดังขึ้นด้านหน้าประตู สาวเจ้าอารมณ์จึงชะงักกึกและลดมือลงทันใด


“ปิงปองมานี่”เด็กสาวในชุดนักเรียนม.ปลายเดินลิ่วๆเข้ามาหาสุนัขตัวโปรด เจ้าปิงปองแกว่งหางทักทายไปมา แล้วปรี่หาเจ้านายของตนพลางเห่าด้วยเสียงเล็กๆดังลั่น



สิตานันย่อตัวลงลูบหลังสุนัขคู่ใจเบาๆ ขณะดวงตาจับจ้องผู้ที่นั่งเป็นนางพญาอยู่บนโซฟานิ่ง ปากก็แกล้งถามเพื่อนคู่ใจเสียงขุ่น “นางแม่มดใจร้ายรังแกอะไรปิงปองอีกล่ะ คนอะไรหน้าไม่อาย มาบ้านคนอื่นยังเที่ยววางอำนาจอีก”


“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะน้องสตางค์” มนิดาลุกพรวดขึ้นยืนแล้วแหวใส่อย่างไม่ยอม อย่างน้อยๆเธอก็เป็นคนรักของเหนือลิขิต เด็กสาวควรจะให้เกียรติกันมากกว่านี้



สิตานันอุ้มเจ้าปิงปองเอาไว้กับอก ลุกขึ้นยืนประจันหน้า “ก็หมายความตามที่พูดไง แล้วคุณเป็นใคร กล้าดียังไงจะมาทำร้ายปิงปองในบ้านของฉัน”



“ก็เจ้าหมานั่นมันมาเลียเท้าพี่ก่อนนี่คะ”ว่าที่พี่สะใภ้แก้ตัวไม่ลดละ ถึงอีกใจจะอยากผูกมิตรกับสาวน้อยตรงหน้า แต่คนอย่างมนิดาก็ไม่มีวันยอมให้ใครมาว่าฉอดๆโดยไม่ตอบโต้เป็นอันขาด
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » จันทร์ 25 ก.พ. 2013 12:02 pm

สิตานันได้ฟังจึงก้มหน้าลงมองเจ้าปิงปอง หัวเราะคิกคักคล้ายจะเยาะ “ปิงปองคงเห็นว่าอะไรดูประหลาด แต่งตัวแปลกๆนึกว่าพวกงิ้วหลงโรงใช่ไหมจ๊ะ ปะ ไปกันเถอะ เดี๋ยวพี่สตางค์จะพาไปเดินเล่นแก้เซ็ง แถวนี้มันมีอะไรรกหูรกตาเยอะ”


จบคำสาวน้อยก็ปรายตามองคู่กรณีหมิ่นๆ หมุนตัว สะบัดหน้าพรืดออกจากห้อง แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นร่างสูงของพี่ชายเดินสวนเข้ามา “ดูแลแขกด้วยนะคะพี่ลิขิต อย่าให้เที่ยวเกะกะระรานใครเขาอีก”


“ทำไมเหรอ”พี่ชายถามออกไปทั้งที่รู้ดีว่าน้องสาวและคนรักนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว


สิตานันเบะปาก “ลองถามคนของตัวเองดูก็แล้วกัน”


เมื่อเห็น ก้าง ชิ้นโตออกจากห้องไปแล้ว มนิดาจึงโผเข้ามากอดแขนเหนือลิขิต ฟ้องด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “น้องสตางค์รวนมีมี่อีกแล้วค่ะ”


“คราวนี้มีเรื่องอะไรกันอีกล่ะ” เหนือลิขิตถามด้วยน้ำเสียงระอา เพราะไม่เคยเห็นทั้งสองคนญาติดีต่อกันเลยสักครั้ง ต่างฝ่ายต่างก็จ้องจะหาเรื่องขัดแย้งราวกับมีความเคืองแค้นกันมานานอย่างนั้นแหละ


“พอมีมี่ไล่เจ้าปิงปอง น้องสตางค์ก็ไม่ฟังอะไรเลย ทั้งๆที่เจ้าหมานั่นมันมากัดรองเท้ามีมี่ก่อนแท้ๆนะคะ”สาวสวยจีบปากจีบคอเพิ่มเติมเสริมแต่งเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้คำพูดของตน


“ก็เลยทะเลาะกันสินะ”เขาต่อให้


“แหม...จะมาโยนให้เป็นความผิดของมีมี่คนเดียวมันก็ไม่ถูกนะคะ ในเมื่อน้องสาวของลิขิตน่ะคอยหาเรื่องมีมี่อยู่ตลอดเวลา หายใจเฉยๆยังไม่ถูกใจเขาเลยเนี่ย”หญิงสาวบ่นกระปอดกระแปดขณะลากชายคนรักให้นั่งลงบนโซฟาตัวเดิมที่ตนเองเพิ่งลุกมา แล้วเบียดอกหยุ่นกับแขนแข็งแกร่งของเขา ซบหน้าลงบนไหล่กว้างเป็นเชิงประจบ


ใบหน้าคมสันเอียงมองหญิงสาวพลางปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “ก็ผมบอกแล้วนี่นาว่าสตางค์ยังเด็กมาก แกก็อาจจะเอาแต่ใจหรืองอแงไปบ้าง มีมี่ต้องอดทนและเอาชนะใจเด็กดื้อให้ได้สิ แฟนผมเก่งอยู่แล้วนี่นา”


“อื้อ”น้ำเสียงตอบรับยังมีร่องรอยแง่งอน “ที่ยอมเนี่ยเพราะมีมี่รักขิลิตหรอกนะ ว่าแต่ยายคู่หมั้นกำมะลอของคุณล่ะค่ะเป็นไงบ้าง”


ชายหนุ่มลอบยิ้ม ผู้หญิงนี่ร้อยทั้งร้อย แม้ปากจะบอกว่าเชื่อใจแต่หากมีใครสักคนเข้ามาใกล้คนรักของตนก็ย่อมมีความระแวงเป็นบรรทัดฐานอยู่เสมอ ทว่าเขาก็ไม่แสดงออกว่ารู้เท่าทัน ยังคงตอบเรียบเรื่อยเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ใส่ใจบุคคลที่สามเท่าใดนัก “เขาก็อยู่ของเขาสิครับ”


มนิดาขยับตัวออกห่างจากคนรักนิดหนึ่ง กอดอก ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด จ้องเขาอย่างจับผิด “แต่จอห์นบอกมีมี่ว่าแม่นั่นสวยมากนี่คะ”


คำตอบของเธอทำให้เหนือลิขิตต้องยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู “นึกว่าอะไร ที่แท้ก็หึงผมนี่เอง ไม่มีอะไรหรอกน่า เราต่างคนต่างทำงาน ต่างคนต่างอยู่ คุณจะไปเอาอะไรกับคำพูดเจ้าจอห์นมันล่ะ”


“แล้วมีมี่จะเชื่อใจลิขิตได้ยังไงล่ะ มีอะไรเป็นหลักประกันให้บ้าง”ริมฝีปากบางยังต่อรองไม่หยุด


เหนือลิขิตจึงจับมือขวาของเธอมาวางไว้บนอกซ้ายของเขา พลางยิ้ม “เชื่อใจผมเถอะที่รัก คุณเป็นคนเดียวที่ผมจะรักและให้เกียรติมากที่สุด”


ผู้ถูกเรียกว่าที่รักจึงค่อยยิ้มออก ขยับร่างบางเข้ามาใกล้เขาอีกครั้ง ยกวงแขนขึ้นโอบรอบลำคอชายหนุ่มเอาไว้ ก่อนจะโน้มตัวไปจุ๊บแก้มซ้ายของเขาเบาๆ


“อุ๊บ!...”


เสียงที่ดังแทรกขึ้นเป็นเหตุให้คนทั้งคู่ต้องรีบผละออกจากกัน และเมื่อหันมองไปยังประตูห้องจึงพบว่าหนุ่มจอห์นยืนทำหน้าแดงรออยู่“ขอโทษครับ ผมไม่คิดว่าจะ...เอ่อ...”


“มีอะไรก็ว่ามา”นายหนุ่มตัดบทเพื่อกลบเกลื่อนความเก้อกระดากของตนและคนรัก


จอห์นจึงยิ้มแหยๆ ลนลานบอก “ คะ คือ คุณท่านให้มาเตือนคุณๆบ้านนี้ว่างานเลี้ยงต้อนรับคุณน้ำจะเริ่มทุ่มนึงนะครับ”


เหนือลิขิตพยักหน้ารับก่อนโบกไม้โบกมือไล่คนสนิทให้ออกไปจากห้องหลังสนทนาจบ


มนิดาซึ่งรับฟังและครุ่นคิดอยู่นานจึงขอร้องว่า “ขอมีมี่ไปงานเลี้ยงด้วยคนนะคะ”


คราวนี้ชายหนุ่มเป็นฝ่ายตรึกตรองบ้าง ราวอึดใจเขาจึงตอบปฏิเสธ “อย่าเลย ใครๆก็รู้ว่ามีมี่เป็นอะไรกับผม ถ้าอยู่ดีๆผมพาคนรักไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับน้ำบุศย์ คนอื่นๆคงพากันสงสัยว่าเรากำลังเล่นอะไรกัน”


“แค่แฟนหลอกๆคุณจะแคร์อะไรล่ะ”ฝ่ายหญิงเถียงเสียงขุ่น หน้าคว่ำ


เหนือลิขิตจึงดึงมือขาวผ่องของเธอมาจูบพรมอย่างอ่อนโยน “ฟังผมนะคนดี ผมแค่อยากให้มันเสร็จสิ้นลงไวๆ เราจะได้มีเวลาให้กันเหมือนเดิมยังไงล่ะครับ ผมรักมีมี่คนเดียวแหละ เข้าใจผมนะ”


มนิดาแกล้งค้อนให้คนรักวงใหญ่แต่ไม่นานก็ยอมพยักหน้า โอนอ่อนผ่อนตาม “อย่าทำให้มีมี่ผิดหวังนะคะ”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » จันทร์ 25 ก.พ. 2013 12:03 pm

ดวงตะวันเคลื่อนลับปลายฟ้าทิศตะวันตกเหลือเพียงแสงสีแดงอมส้มเรื่อเรืองเหนือยอดดอย ซึ่งเป็นธรรมดาของฤดูหนาวที่มักจะมีช่วงกลางคืนยาวนานกว่าปกติ พลอยทำให้สว่างช้าและมืดเร็วขึ้น เฉกเช่นในวันนี้ที่เพิ่งจะเลยห้าโมงเย็นมาไม่กี่นาทีแต่ไอเย็นจางๆและสายหมอกสีขาวก็โปรยละอองลงมาหนาตาเสียแล้ว


บ๊อก...บ๊อก...


เจ้าปิงปองใช้เท้าหน้าตะกุยดินบนแปลงดอกฟามิงโกสีชมพูพลางเห่าคล้ายเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่ามันพบอะไรบางอย่าง


สิตานันซึ่งยืนกอดอกชมทิวทัศน์อยู่จึงเอี้ยวตัวกลับมามอง ก่อนจะเดินลิ่วๆเข้าไปหาสุนัขคู่ใจ และเมื่อเข้าไปใกล้เธอจึงร้องเอะอะขึ้น พลางย่อตัวลงไปอุ้มเจ้าตัวเล็กไว้ในวงแขน และปัดดินที่ติดเท้าของมันเบาๆ “อย่าทำแบบนั้นนะปิงปอง มันน่าสงสารออก”


มือเรียวลูบลงบนขนปุกปุยขณะที่ดวงตามองไปยังพื้นดินซึ่งมีไส้เดือนตัวใหญ่นอนดิ้นกระแด่วๆอยู่ด้วยสายตาเวทนา “ไม่อยากพามาเดินเล่นก็เพราะแบบนี้แหละ เราน่ะมันเกเร”


เหมือนเจ้าตัวดีจะรับรู้ถึงถ้อยคำของเจ้านาย ปิงปองเงยหน้าขึ้นมองผู้พูดด้วยแววตาใสแจ๋ว เห่าบ๊อกๆซ้ำๆ สิตานันจึงยิ้ม ก้มลงจรดริมฝีปากบนหัวเล็กๆนั้นเบาๆ “ช่างประจบเหลือเกินนะเรา พี่สตางค์พาไปเล่นที่แปลงกุหลาบขาวเชียงดาวดีกว่า ทางนี้เขาเพิ่งพรวนดินเสร็จ ดินมันร่วนมาก เดี๋ยวปิงปองจะไปจับไส้เดือนมาเหยียบเล่นอีก”


ว่าแล้วหญิงสาวก็หันหลังกลับ เดินไปยังโซนที่มีดอกไม้สีขาวขลิบชมพูชูช่ออร่ามเป็นทิวแถว ครั้นไปถึงจึงวางเจ้าตัวดีลงกับพื้น


เจ้าปิงปองเงยหน้าขึ้นมองนายสาว เห่าบ๊อกๆ พลางจึงกระดิกหาง วิ่งออกไปด้วยความร่าเริง สิตานันมองตามด้วยสีหน้ายิ้มๆ ความงดงามของธรรมชาติรอบกายทำให้ความขุ่นมัวเมื่อครู่เจือจางลง


เท้าเรียวก้าวเอื่อยๆไปจนถึงบริเวณอันเต็มไปด้วยดอกคริสซานติมัมหลากสี มองหาทำเลนั่งพัก พบแล้วจึงสาวเท้าไปยังใต้ต้นก้ามปูต้นใหญ่ ก่อนจะนั่งลงบนรากของมันที่โผล่พ้นพื้นดินขึ้นมา ดวงตาสีน้ำตาลจดจ้องท้องฟ้าสีหม่นซึ่งมีไอหมอกสีขาวโอบกอดเอาไว้อย่างเหม่อลอย


ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ขณะที่สมองครุ่นคิดระลึกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตตน


สิตานันเติบโตขึ้นมาในไร่อันกว้างใหญ่แห่งนี้ โดยมีน้าพรและพี่ชายทั้งสองเป็นผู้ปกครอง ชีวิตของเธอจึงเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย จะขาดก็แต่ความอบอุ่นที่ควรจะได้รับจากพ่อและแม่เท่านั้น เพราะแม้เด็กสาวจะรับรู้มาตลอดว่าท่านทั้งสองเสียชีวิตไปตั้งแต่เธอเพิ่งอายุได้เพียงขวบเศษๆ แต่ใจก็อดที่จะร่ำร้องหาอ้อมกอดของผู้บังเกิดเกล้าไม่ได้ มันเป็นความรู้สึก ขาด ที่ไม่มีวันได้รับการเติมเต็มอย่างแน่นอน


คิดมาถึงจุดนี้ขอบตาของเด็กสาวก็เริ่มร้อนผ่าว หยดน้ำใสๆระอุอุ่นอยู่บริเวณหัวตา ขณะที่ขนตางอนยาวอันแสดงถึงความเจ้าแง่เจ้างอนของตนนั้นมีละอองน้ำค้างเกาะอยู่พราวพราย


เสียงสะล้อดังแว่วมาจากทางทิศเหนือ สายลมหนาวพัดโชยมาเบาบาง หากสิตานันกลับเย็นยะเยือกไปจนถึงโพรงอก ความหม่นหมองเข้าครอบคลุมหัวใจ หยดน้ำอุ่นๆจึงหยาดหยดออกจากตางาม
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » จันทร์ 25 ก.พ. 2013 12:03 pm

เสียงสะอื้นของใครสักคนดังมาแว่วๆ นันทวัชร์ชะงักเท้า ยืนนิ่งอยู่กับที่และเงี่ยหูฟัง ก่อนจะเดินลักษณะเกือบเป็นการย่องไปยังที่มาของเสียงดังกล่าว


เมื่อเดินมาจนสุดแปลงคริสซานติมัมเขาจึงเห็นภาพนักเรียนหญิงม.ปลายกำลังนั่งอยู่เพียงลำพังใต้ต้นก้ามปู มือน้อยเลื่อนขึ้นมาเช็ดน้ำตาป้อยๆ กระตุกความรู้สึกของเขาอย่างประหลาด ขายาวๆของชายหนุ่มจึงก้าวเข้าไปหาสิตานันราวต้องมนตร์


‘คงเป็นลูกสาวคนงานในไร่นี่กระมัง’ชายหนุ่มเดาในใจ ก่อนจะล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดขึ้นมา ยื่นให้อีกฝ่าย โดยไม่ปริปากเอ่ยคำใด


สิตานันเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ด้วยแววตาไหวระริก หากเด็กสาวก็สามารถรักษากิริยาได้อย่างน่าชื่นชม ไม่มีอาการสะดุ้งหรืออุทานคำใดออกมาให้ได้ยิน ร่างบางนั่งนิ่ง ไม่ยอมยื่นมือออกไปรับผ้าเช็ดหน้าของชายหนุ่ม


เขาขยับมือเล็กน้อย พลางบอก “เช็ดน้ำตาเสียสิครับน้อง”


แทนที่เด็กสาวจะทำตามคำแนะนำ เธอกลับย้อนถามเสียงสั่นๆ “นายเป็นใคร มาอยู่ในไร่นี้ได้ยังไง”


นันทวัชร์ยิ้ม เอ่ยตอบอย่างใจเย็น “พี่เป็นผู้จัดการโกดังสินค้าของที่นี่ เพิ่งเริ่มงานวันนี้วันแรก รับผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดน้ำตาสิ หน้าตามอมแมมไปหมดแล้วนะ”


“ขอบคุณ”มือน้อยดึงผ้าเช็ดหน้าออกจากมือเขา แล้วนำมาเช็ดหน้าตนเองอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงยื่นกลับไปคืนให้เจ้าของ หากชายหนุ่มยังไม่ทันเอื้อมมือไปรับ เด็กสาวก็รีบหดมือกลับเสียก่อน “เดี๋ยวเอาไปซักให้ก็แล้วกัน มันเปื้อนหมดแล้วล่ะ”


“ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจหรอก”เขาแบมือออกไปอีกครั้ง พลางยิ้มมุมปาก


สิตานันสั่นหน้าหวือ “ไม่ได้หรอก ทำแบบนั้นเสียมารยาท”


“ตามใจนะ คนขี้แย” อีกฝ่ายเออออตามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
คนขี้แยเริ่มฉุนกับฉายาที่เขามอบให้ ด้วยความที่เป็นคนไม่เกรงกลัวใคร เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าคมสันของอีกฝ่าย ตวัดสายตาสานสบสายตาคมกริบนั้น แล้วกลับต้องเป็นฝ่ายเมินหลบเสียเอง

ดวงหน้าขาวผ่องก้มต่ำ พวงแก้มเริ่มเป็นสีระเรื่อ หัวใจเต้นดังตุบตับๆอยู่ในอก มือไม้พานเกะกะไปเสียหมด เมื่อไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เด็กสาวจึงรีบลุกพรวดขึ้น เอ่ยลาสั้นๆ “ไปล่ะ”


นันทวัชร์ยิ้มมุมปากเช่นเคย เขาพยักหน้าน้อยๆแทนคำตอบ
สิตานันรีบก้าวเร็วๆออกมา ทว่าไม่ทันไรเธอก็นึกอะไรขึ้นได้ ร่างบอบบางจึงหันไปหาหนุ่มรุ่นพี่อีกครั้ง”แล้วห้ามบอกใครถึงเรื่องวันนี้นะ”


“ตกลงตามนั้น” น้ำเสียงนุ่มทุ้มดังมาจากร่างสูงโปร่งซึ่งยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางแสงสีหม่นเสมือนคำสัญญาจากเขา


เธอหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว แล้วจึงอ้าปากตะโกนเรียกสุนัขตัวโปรดคล้ายต้องการให้เสียงของตนดังกลบเสียงเต้นของหัวใจที่มันเต้นเป็นจังหวะแปลกๆอยู่ในเวลานี้
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พุธ 27 ก.พ. 2013 7:36 pm

ตอนที่ ๖



เช้าวันนี้ไร่เคียงคอยซึ่งอยู่ภายใต้อ้อมกอดแห่งขุนเขาดูขาวโพลนไปด้วยกระไอแห่งม่านหมอก แม้จะมองเห็นดวงอาทิตย์เป็นสีแดงระเรื่ออยู่ปลายฟ้าแต่ก็ไม่สามารถทอแสงฝ่าความมัวสลัวลงมาได้ถนัดนัก ความหนาวเย็นอันมีผลพวงมาจากยามค่ำคืนจึงยังครอบคลุมทุกพื้นที่ไม่จางหาย

น้ำบุศย์ในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีเหลืองอ่อน กางเกงขายาวสีดำซึ่งเพิ่งก้าวออกมายืนอยู่หน้าบ้านจึงเกาะระเบียงไม้มองบรรยากาศรอบตัวด้วยความพึงพอใจ นานมากแล้วที่เธอไม่ได้มาสัมผัสอากาศยามเหมันต์ของเมืองเหนือเช่นนี้ น่าจะเกือบห้าปีได้แล้วกระมัง

“ตื่นเช้าจังค่ะคุณน้ำ”ใบตองซึ่งกำลังลากเครื่องดูดฝุ่นออกมาทำความสะอาดบ้านเอ่ยทัก

นักสืบสาวหันไปยิ้มสดใสและเอ่ยตอบอย่างเป็นกันเอง “ปกติก็ตื่นเวลานี้แหละจ้ะใบตอง แล้วนี่คุณน้าตื่นหรือยังล่ะ”

“คุณท่านตื่นนานแล้วค่ะ ตอนนี้คงยังอยู่ในห้องส่วนตัวมั้งคะ ท่านจะชอบนั่งชมวิวยามเช้าที่ระเบียงทุกๆวัน”สาวน้อยยังคงตอบเจื้อยแจ้ว

สาวรุ่นพี่นึกถึงห้องนอนที่มีระเบียงยื่นออกมาด้านนอกเช่นเดียวกับห้องของเธอก่อนจะพยักหน้า”ดีแล้วล่ะอากาศเย็นแบบนี้ไม่ควรให้ท่านออกมาตากน้ำค้าง จริงสิ แล้วใบตองไม่ไปโรงเรียนหรือจ๊ะ”

“ไปค่ะ เดี๋ยวต้องรอออกไปพร้อมรถที่ไปส่งคุณสตางค์”

“อ้อ จ้ะ งั้นฉันลงไปเดินเล่นข้างล่างก่อนดีกว่า นานๆจะได้สูดอากาศดีๆแบบนี้สักที”น้ำบุศย์บอกพลางก้าวลงบันไดไป แล้วจึงพบว่าก้าวแรกที่ร่างบางโผล่พ้นหลังคาบ้านออกไปนั้นความเย็นเยียบทวีความรุนแรงมากขึ้นราวเท่าตัวหญิงสาวจึงยกมือขึ้นกอดอกเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ตนเองขณะก้าวเดินต่อไปอย่างช้าๆ

หลังเตร็ดเตร่มาจนถึงตึกสไตล์โมเดิร์นซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลจากเรือนไทยนัก หญิงสาวก็ชะลอฝีเท้าลงเมื่อเห็นร่างสูงในชุดวอร์มสีน้ำเงินสลับขาวกำลังวิ่งเหยาะๆเข้ามาใกล้ “หมอกหนาขนาดนี้ออกมาจากบ้านทำไมคุณ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”เขาผู้นั้นหยุดวิ่งเพื่อที่จะเตือนเธอด้วยน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยร่องรอยตำหนิ

น้ำบุศย์นิ่วหน้า เข้าใจว่าเขาหาเรื่อง”ฉันจะทำตามที่คุณบอกเฉพาะเรื่องงานเท่านั้นนะ ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว คุณไม่มีสิทธิ์มาห้าม เพราะนี่มันตัวฉัน”

“คิดว่าผมอยากยุ่งกับคุณมากนักหรือไง แต่ถ้าคุณไม่สบายเนี่ยงานผมจะเสีย คิดดูสิคุณมาอยู่ที่นี่วันนึงๆสิ้นเปลืองไปเท่าไหร่ ถ้าต้องมาดูแลตอนป่วยอีกโอ๊ย ไม่ไหวละ ตั้งใจทำงานหน่อยสิคุ้น”เหนือลิขิตแสร้งทำเสียงสูงในตอนท้าย

แต่ก่อนที่จะมีการถกเถียงมากไปกว่านั้น สองหนุ่มสาวก็ต้องชะงักเมื่อมีเสียงเล็กแหลมดังมาจากระเบียงชั้นสองของตึก

“มัวทำอะไรอยู่คะพี่ลิขิตไหนว่าวันนี้จะไปส่งสตางค์ที่โรงเรียนไง”

ชายหนุ่มลอบถอนใจขณะเงยหน้าขึ้นมองน้องสาวซึ่งกำลังยืนเท้าข้อศอกลงบนขอบระเบียงมองมา พลางตะโกนตอบ “นี่มันยังไม่ถึงเวลา ลงมากินข้าวรอพี่ก่อนสิไป พี่จะคุยกับน้ำแป๊บนึง”

ใบหน้ารูปไข่สั่นหวือ “ไม่ค่ะ วันนี้พี่รุตไม่อยู่ พี่ลิขิตต้องกินข้าวเป็นเพื่อนสตางค์”

“โอเคๆ งั้นรีบลงมาเลยนะ ยายตัวดี”ยกมือขวาขึ้นชี้หน้าน้องสาวเป็นเชิงคาดโทษ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเจตนาก่อกวนโดยแท้

ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะในเมื่อสิตานันไม่เคยญาติดีกับผู้หญิงคนไหนที่เข้ามาในชีวิตของเขามาก่อนเลย...แม้แต่ครั้งเดียว

น้ำบุศย์มองตามร่างในชุดนักเรียนที่เผ่นแผล็วหายไปอย่างรวดเร็วแล้วจึงเปรยขึ้น”น้องสาวคุณนี่คงหวงคุณมากเลยนะ”

เหนือลิขิตพยักหน้า “คงงั้นมั้ง ยายสตางค์จะหวงพี่ชายทั้งสองคนมาก ถ้าเห็นว่ามีผู้หญิงคนไหนเข้ามาใกล้ก็จะหาเรื่องเค้าไปซะหมด”

“คงกลัวว่าใครจะแย่งความรักไปมั้ง”นักสืบสาวเริ่มวิเคราะห์

“ก็เป็นไปได้ เอาล่ะผมจะไปอาบน้ำกินข้าวละ เดี๋ยวฝากคุณเรียนคุณน้าด้วยก็แล้วกันว่าผมจะออกไปธุระในเมืองคงไม่ได้ไปกินข้าวเช้าที่เรือนใหญ่ด้วย”เขาทิ้งท้ายแล้วจึงเดินเข้าไปในบ้าน

น้ำบุศย์นิ่วหน้า เอ่ยกับตนเองเบาๆ “โอ๋น้องสาว ตามใจกันเสียแบบนี้ก็เลยควบคุมน้องตัวเองไม่ได้ แล้วจะโทษใครกันล่ะ”








แดดอ่อนเริ่มสาดแสงลงมาแล้ว น้ำบุศย์จึงมองเห็นไอน้ำล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าบริเวณลำธารสายเล็กๆที่ทอดตัวจากบริเวณบ้านเจ้าของไร่ทั้งสองหลังไปยังด้านในของไร่ซึ่งปลูกพืชไร่เอาไว้หลายชนิด จวบจนหญิงสาวเดินมาถึงถนนด้านหน้าไร่ดอกไม้กว้างขวางเธอจึงหยุดยืนมองความงามของมันด้วยความอิ่มเอมใจ

“สวยดีนะครับ”จู่ๆน้ำเสียงนุ่มทุ้มของใครบางคนก็ดังขึ้น

หญิงสาวหันหลังกลับ พบว่าผู้ที่เดินเข้ามาหาคือนันทวัชร์นั่นเอง เธอจึงยิ้มร่าเอ่ยทักทาย “อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณนันทวัชร์”

“อรุณสวัสดิ์ครับ” เขายิ้มกว้างตอบกลับมาเช่นเดียวกัน “เดินมาไกลจังครับ ไม่หนาวแย่เหรอ”

น้ำบุศย์หัวเราะ ดวงตาของเธอเป็นประกายวิบวับชวนมอง ทว่าหญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ ชายหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งตึกตักเข้ามาใกล้เสียก่อน

“คุณลิขิตให้เอาผ้าพันคอกับหมวกมาให้คุณน้ำครับ” ชายผู้นั้นรายงานอย่างกระหืดกระหอบพลางยื่นหมวกและผ้าพันคอไหมพรมสีสันสดใสมาให้

“ให้ฉันน่ะรึ”หญิงสาวทำหน้าแปลกใจแล้วจึงพยายามกลบเกลื่อนเมื่อเห็นว่านันทวัชร์กำลังจับตาดูอยู่

“ใช่ครับ คุณลิขิตบ่นว่าคุณออกมาเดินตากน้ำค้างกลัวจะไม่สบายก็เลยใช้ให้ผมวิ่งตามเอาของพวกนี้มาให้ฮะ”จอห์นพยายามให้เครดิตเจ้านายของตนเต็มที่

หญิงสาวจึงเอื้อมมือไปรับ “ฝากขอบคุณเขาด้วยก็แล้วกันจ้ะ”

หนุ่มหน้าทะเล้นผงกศีรษะหงึกหงัก “ได้เลยครับ”

“ขอบคุณเธอด้วยนะ อ้อ แล้วนี่เธอชื่ออะไรล่ะ”น้ำบุศย์ถามเมื่อจำได้ว่าหนุ่มน้อยผู้นี้มักจะคอยตามเหนือลิขิตอยู่ต้อยๆเสมอ

“ผมชื่อจอห์นครับคุณน้ำ ขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวผมต้องตามเจ้านายเข้าไปในเมืองแล้ว”

“จ้ะ”น้ำบุศย์ตอบพลางสวมหมวกไหมพรมลงบนศีรษะ ตามด้วยการพันผ้าพันคอผืนหนารอบลำคอเรียวระหงของตน

“คุณลิขิตนี่ดูห่วงใยคุณน้ำจังเลยนะครับ”นันทวัชร์เอ่ยขึ้นหลังจากหนุ่มร่างเล็กวิ่งกลับไปทางเดิมแล้ว

น้ำบุศย์หัวเราะเบาๆ ขณะนึกในใจว่าห่วงใยอย่างนั้นหรือ เขาก็แค่กลัวว่างานที่ว่าจ้างจะล่าช้าเท่านั้นแหละ ทว่าปากกลับพูดในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความในใจ “เขาก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะ ใส่ใจคนอื่นอยู่ตลอดเวลา”

“คุณน้ำโชคดีนะครับที่มีแฟนดีๆแบบนี้”อีกฝ่ายพูดต่อยิ้มๆ ดวงตาเรียวเล็กจับจ้องใบหน้าของเธออย่างสังเกต

“ค่ะ ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนเปลี่ยนเรื่อง เธอไม่อยากให้เขาพูดถึงเหนือลิขิตมากนักด้วยเกรงว่าตนเองจะพลาดเนื่องจากรู้ข้อมูลของอีกฝ่ายน้อยเหลือเกิน “ว่าแต่บ้านจริงๆของคุณนันทวัชร์อยู่ที่ไหนคะ”

เขาส่งยิ้มกลับมาพร้อมดวงตาที่ฉายแววหวาน ทำให้น้ำบุศย์แอบคิดในใจว่า ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์ที่สายตาซึ่งเมื่อประกอบกับเครื่องหน้าอันสมบูรณ์และผิวพรรณค่อนข้างขาวแล้ว ทำให้เขาเป็นผู้ชายที่สะดุดตาอยู่ไม่น้อยทีเดียว

“ผมเป็นคนกรุงเทพฯครับ”

คราวนี้ดวงตาคนฟังฉายแววตื่นเต้นบ้าง “น้ำก็คนกรุงเทพฯเหมือนกันค่ะ ตอนแรกที่เห็นคุณนันทวัชร์คิดว่าเป็นคนเหนือเสียอีก เพราะผิวค้าวขาว”

“อ๋อ” ผู้ถูกเดาประวัติหัวเราะเบาๆ มองเห็นฟันขาวเรียงเรียบ “ผมมีเชื้อจีนน่ะฮะ”

“แล้วทำไมถึงมาทำงานที่นี่ได้ล่ะคะหรืออยากออกมาหาประสบการณ์”

“ทำนองนั้นแหละครับ หรือบางทีก็อยากออกมาค้นหาอะไรบางอย่างด้วย”เขาตอบแล้วหัวเราะเบาๆเช่นเคย ดูท่าทางผู้ชายคนนี้จะยิ้มง่าย หัวเราะง่ายและอ่อนโยนจนหญิงสาวรับรู้ได้ถึงความไม่มีพิษไม่มีภัยของเขา

“สักวันคงได้เจอแหละค่ะ”เธออวยพรด้วยสีหน้าระรื่น

แดดอ่อนเริ่มมีแสงที่กล้าขึ้น น้ำบุศย์จึงใช้มือขวาขึ้นป้องบริเวณหน้าผากก่อนเอ่ยลา “เอาไว้ค่อยคุยกันนะคะคุณนันทวัชร์ เดี๋ยวคุณคงต้องไปทำงานแล้ว”

“ครับ”ชายหนุ่มรับคำทั้งที่ใจยังรู้สึกเสียดาย ดังนั้นเมื่อน้ำบุศย์หันหลังเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวเขาจึงตะโกนเรียกไล่หลัง “คุณน้ำครับ”

ร่างอันอรชรหันกลับมาและเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

นันทวัชร์ยกมือขึ้นลูบศีรษะของตนด้วยความประหม่า “คราวหลังเรียกผมว่า นนท์ ก็ได้นะครับ”

นักสืบสาวยิ้มเมื่อเห็นท่าทีและแววตาของเขาถนัดตา “ค่ะ คุณนนท์”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พุธ 27 ก.พ. 2013 7:36 pm

ร่างที่กำลังง่วนอยู่กับการเช็ดใบตองอยู่บนตั่งไม้กลางห้องโถงขนาดใหญ่ชะงักงัน เมื่อเห็นว่ามีใครคนหนึ่งกำลังทรุดตัวนั่งลงบนพื้นด้านล่าง”ขึ้นมานั่งกับน้านี่เถอะหนูน้ำ”

“ไม่เป็นไรค่ะ บนตั่งมีของอะไรเยอะแยะ น้ำนั่งข้างล่างนี่ก็สบายดีค่ะคุณน้า”น้ำบุศย์เอื้อมมือไปหยิบใบตองที่พับเอาไว้เป็นปึกใหญ่ออกมาคลี่ดูแล้วจึงถาม “คุณน้าจะทำอะไรหรือคะ”

“น้าจะทำบายศรีน่ะ พอดีมีหลานห่างๆกำลังจะแต่งงาน แม่ของเขาก็เลยมาขอให้น้าช่วยทำบายศรีให้” น้ำเสียงของคุณธันยาพรเครือแผ่วเมื่อเอ่ยคำว่า แต่งงาน ก้อนอะไรบางอย่างแล่นขึ้นมาจุกอยู่บริเวณลำคอจนเธอต้องนิ่งไปนานก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงคล้ายจะขำ”คนที่ไม่เคยแต่งงานต้องมานั่งทำบายศรี ในขณะที่คนจะแต่งแท้ๆกลับทำไม่เป็น”

“คนสมัยนี้ทำอะไรประณีตไม่ค่อยเป็นหรอกค่ะ เพราะว่าเราอยู่ในสังคมเร่งรีบ แต่น้ำก็รู้สึกทึ่งคนที่ทำเป็นนะคะมันเป็นงานที่ต้องใช้ความละเอียดและตั้งใจ เอ่อ แล้วนี่น้ำพอจะช่วยคุณน้าทำอะไรได้บ้างคะ”

คุณธันยาพรยิ้มเย็น “งั้นหนูช่วยเช็ดใบตองไปก่อนก็แล้วกัน เวลาเช็ดให้เช็ดเบาๆไปตามรอยเส้นใบตองนะลูก เช็ดเสร็จแล้วก็พับเอาไว้เหมือนเดิม เดี๋ยวน้าจะฉีกใบตองรอ”

“ค่ะ”รับคำแล้วหญิงสาวจึงหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาเช็ดใบตองตามคำแนะนำของผู้สูงวัย อีกทั้งปากก็เริ่มวกเข้าสู่เรื่องที่ตนเองต้องการข้อมูล “พูดเรื่องการแต่งงานของคนรุ่นใหม่นี่ก็น่าหนักใจนะคะ พวกเรามักจะทำอะไรรวดเร็ว ไม่ค่อยใช้เวลาศึกษากัน จนทำให้เกิดการหย่าร้างและปัญหาครอบครัวมากขึ้นๆทุกวัน”

มือที่กำลังฉีกใบตองหยุดนิ่ง ดวงตาของผู้สูงวัยจับจ้องผู้อ่อนวัยกว่าเขม็งก่อนจะผ่อนความรู้สึกลง กล่าวตอบ“ไม่ใช่แค่คนสมัยนี้หรอกนะ คนสมัยก่อนก็มี มีทุกยุคทุกสมัยแหละ ไม่ว่าจะเป็นคนใจเร็วด่วนได้ คนเห็นแก่ตัว หรือแม้แต่คนที่ใช้ความรักเป็นบันไดไปสู่ความสำเร็จก็ยังมีเลย”

“แล้ว เอ่อ เท่าที่คุณน้าเห็นมักจะเป็นแบบไหนมากกว่ากันคะ”คำถามของน้ำบุศย์เริ่มขยับเข้ามาใกล้ตัวผู้ถูกถามมากขึ้น

คุณธันยาพรหัวเราะหึหึ สองมือยังคงสาละวนกับการฉีกใบตองราวมีสมาธิกับมันมาก”ที่น้าเห็นก็คละเคล้ากันไปน่ะลูก อายุปูนนี้แล้ว”

“แล้ว...แล้วความรักของคุณน้าล่ะคะเป็นแบบไหน”

ผู้ถูกถามนิ่งงันไปชั่วขณะ ทำเอาผู้ถามรู้สึกผิดขึ้นมาทันใด น้ำบุศย์จึงละล่ำละลักเอ่ยคำขอโทษพลางยกมือขึ้นพนมกลางอก “น้ำขอโทษค่ะคุณน้า น้ำไม่คิดว่าจะทำให้คุณน้า เอ่อ...”

รอยยิ้มใจดีผุดขึ้นบนเรียวปากของคุณธันยาพร พร้อมกับที่มือของเธอถูกเลื่อนมาวางลงบนมือเรียวของน้ำบุศย์ อย่างปลอบโยน “น้าแค่กำลังนึกน่ะลูก ว่าความรักของน้าเป็นยังไงกันแน่”

“คือ น้ำอยากจะฟังเผื่อไว้เป็นประสบการณ์น่ะค่ะ”

“น้ามีความรักแค่ครั้งเดียว”ประมุขไร่เคียงดอยเล่าเสียงอ่อน

นักสืบสาวแกล้งทำตาโตแสดงความตื่นเต้น “แบบนี้ก็แสดงว่าเป็นรักแท้สิคะ”

คุณธันยาพรพยักหน้า “ใช่ มันเป็นรักแท้ แต่มันคงเป็นรักแท้ของน้าเพียงแค่คนเดียวมั้ง”

“ทำให้คุณน้าอยู่เป็นโสดมาจนถึงป่านนี้หรือคะ”

“มันก็ไม่เชิงหรอก เพราะเดี๋ยวนี้น้าก็ไม่ได้รอเขาแล้ว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เคยรอ เพราะคิดว่าความรักของเราที่มีให้กันมากพอ...”ท้ายประโยคน้ำเสียงคนเล่าเริ่มสั่น เช่นเดียวกับอาการมือไม้อ่อนที่เกิดขึ้นในเวลานี้

ใจหนึ่งน้ำบุศย์ก็อยากยุติคำถามทั้งหมดของตนเองเนื่องจากเห็นความหวั่นไหวในสายตาของน้าสาวเหนือลิขิตแต่ก็พยายามใจแข็งเพื่อให้งานของตนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

“การรอคอยเป็นความทรมานแต่ก็เต็มไปด้วยความหวังนะคะคุณน้า”

“ใช่ เพราะน้าคิดอย่างนั้นไงล่ะ ถึงได้แต่เฝ้ารอ”

แต่ก่อนที่จะมีการบอกเล่าอะไรไปมากกว่านั้น นางสุพิศก็พาหญิงวัยปลายกลางคนเดินเข้ามาสมทบอีกคนหนึ่งปฏิบัติการล้วงความลับของน้ำบุศย์จึงต้องจบลงเพียงเท่านั้น เอาน่าแต่อย่างน้อยเธอก็ได้รู้ว่า คุณธันยาพรยินดีเล่าเรื่องในอดีตให้เธอฟังด้วยความเต็มใจ

“คุณเพ็ญส่งคุณละม่อมให้มาช่วยแม่เลี้ยงทำบายศรีค่ะ”นางสุพิศแนะนำ

นางละม่อมยกมือขึ้นไหว้เจ้าของบ้าน แล้วแนะนำตัว “ดิฉันเป็นญาติทางฝ่ายเจ้าบ่าวน่ะค่ะ พอมีฝีมือทางนี้อยู่บ้างพี่เพ็ญก็เลยขอให้มาช่วยเป็นลูกมือของแม่เลี้ยง”

“โอ๊ย ลูกมงลูกมืออะไรกันคะ มาช่วยกันทำจะได้เสร็จไวๆ นี่พี่ก็ได้หนูน้ำคอยช่วยอยู่ พอเบาใจไปได้เปราะนึง”คุณธันยาพรบอก ขณะปรายตาไปมองหญิงสาวรุ่นลูก

น้ำบุศย์จึงยกมือขึ้นไหว้หญิงแปลกหน้า กล้อมแกล้มออกตัว “น้ำก็ทำได้แค่เช็ดใบตองกับชวนคุณน้าคุยน่ะค่ะ”

นางละม่อมยิ้ม “ก็ยังดีจ้ะ ให้คนรุ่นใหม่มาศึกษางานฝีมือแบบนี้บ้าง รุ่นต่อไปจะได้มีคนสืบทอดจริงไหมคะแม่เลี้ยง”

ผู้ถูกถามพยักหน้า “ใช่ค่ะ หนูน้ำอย่าเพิ่งไปไหนนะลูก เดี๋ยวจะได้ลองพับใบตองทำบายศรีดูบ้าง”

“ได้ค่ะ น้ำก็ตั้งใจอย่างนั้นอยู่แล้วค่ะคุณน้า”น้ำบุศย์เออออตาม ถึงวันนี้จะไม่ได้ข้อมูลอะไรมากมายนัก แต่ก็ไม่ถึงกับสูญเปล่า การอยู่ใกล้ชิดกับอีกฝ่ายมากเท่าใดก็ยิ่งทำให้ได้รับความไว้วางใจมากเท่านั้นมิใช่หรือ
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » ศุกร์ 08 มี.ค. 2013 7:11 am

บทที่ ๗

“ให้คนงานยกเข่งส้มขึ้นรถได้เลยนะจอห์น”ชายหนุ่มในชุดยีนที่เพิ่งก้าวเร็วๆเข้ามาในโกดังตะโกนเร่งหนุ่มร่างเล็กซึ่งกำลังสาละวนกับการชั่งน้ำหนักส้มเกรดเออยู่กับคนงานคนอื่นๆ

จอห์นเงยหน้าขึ้นมองหัวหน้าโกดังคนใหม่ พลางยกแขนขวาขึ้นเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาตามกกหูก่อนรับคำ “ครับ คุณนนท์”

“ฝากด้วยนะ”นันทวัชร์ทิ้งท้าย แล้วจึงเดินลิ่วๆกลับไปขึ้นรถปิ๊กอัพสีดำคันใหญ่ก่อนพามันเคลื่อนเข้าไปยังโซนไร่ดอกไม้ เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยของคนงานที่มีหน้าที่จัดเตรียมไม้ดอกเมืองหนาวก่อนส่งขาย

แดดยามเย็นอ่อนแสงลงมากแล้ว รถปิ๊กอัพคันงามจึงจอดสนิทบนถนนด้านหน้าโรงเรือนโล่งกว้างซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าไร่ดอกไม้นานาชนิดของไร่เคียงดอย

โรงเรือนที่ว่าเป็นโรงเรือนขนาดใหญ่กว้าง 10x8 เมตร เป็นโรงเรือนโล่งๆไม่มีผนัง ยกเว้นบริเวณที่เป็นห้องเก็บของเท่านั้นที่ดูมิดชิดกว่าบริเวณอื่น ภายในโรงเรือนมีเพียงโต๊ะ เก้าอี้สำหรับนั่งทำงาน คนงานในไร่ดอกไม้ส่วนหนึ่งทำหน้าที่ชั่งและห่อหุ้มดอกไม้แต่ละกำด้วยหนังสือพิมพ์เก่าๆ และอีกส่วนหนึ่งจะทำหน้าที่อยู่ที่แปลงดอกไม้

“เสร็จแล้วหรือครับลุงคำ”ชายหนุ่มเอ่ยถามหัวหน้าคนงานวัยปลายกลางคนหลังจากเห็นว่าดอกไม้ที่ชั่งเป็นกำละ 1 กิโลกรัมและห่อหุ้มด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ถูกบรรจุลงกล่องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เสร็จแล้วครับคุณนนท์ วันนี้ดอกมัมมีไม่เยอะเลยเสร็จไว”นายอิ่นคำเอ่ยถึงดอกคริสซานติมัมน้ำเสียงสุภาพ

“ถ้าอย่างนั้นก็ให้คนงานไปพักผ่อนได้แล้วล่ะครับ”ชายหนุ่มออกคำสั่งกลายๆขณะนั่งลงบนม้านั่งตัวหนึ่ง พลางกวาดสายตามองคนงานซึ่งต่างก็อยู่ในอิริยาบถแตกต่างกันไป

“ครับ”ชายคนเดิมรับคำ จากนั้นจึงหันไปตะโกนสั่งลูกน้องเสียงดังฟังชัด “กลับบ้านได้แล้วพวกเรา”

เมื่อเหล่าคนงานทยอยเดินออกจากโรงเรือนไปทีละคนสองคน จนเหลือเพียงเขาและนายอิ่นคำซึ่งรีๆรอๆอยู่ นันทวัชร์จึงชวนคุย “ไร่เคียงดอยนี่กว้างขวางใหญ่โตจังเลยนะครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่าแม่เลี้ยงธันยาพรจะดูแลคนเดียวไหว”

นายอิ่นคำย่อตัวนั่งลงตรงข้ามชายหนุ่มและหัวเราะหึๆทั้งที่ไม่รู้สึกขำเลยแม้แต่น้อย เขายังจำภาพหญิงสาวตัวเล็กๆที่ทำงานเข้มแข็งคนนั้นได้ดีเสมอ “แม่เลี้ยงพรเป็นลูกชาวนานี่ครับคุณนนท์ เธอทำงานในไร่มาตั้งแต่ยังเล็กๆ ตอนที่พ่อเลี้ยงพงษ์พ่อของคุณลิขิตยังอยู่ แม่เลี้ยงก็ไม่ได้แตะต้องงานในไร่หรอกครับ ตอนนั้นพ่อเลี้ยงพงษ์เป็นคนดูแลทั้งหมดแล้วปล่อยให้น้องสาวได้เรียนหนังสือ แต่พอแม่เลี้ยงพรเรียนจบได้ไม่นานนักพ่อเลี้ยงกับภรรยาก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปทั้งคู่ แม่เลี้ยงพรก็เลยต้องลงมาลุยงานด้วยตัวเอง โชคดีที่คนงานเก่าๆของที่นี่ต่างก็ทำงานอย่างซื่อสัตย์ไร่ของเราจึงรอดพ้นปากเหยี่ยวปากกามาได้อย่างหวุดหวิด”

“คนงานเก่าๆนี่หมายถึงลุงคำด้วยใช่ไหมครับ”ชายหนุ่มย้อนถามยิ้มๆ

นายอิ่นคำพยักหน้า “ครับ ครอบครัวของผมทำงานในไร่นี้มาตั้งแต่รุ่นพ่อแล้วล่ะ ไร่เคียงดอยนี่ก็เหมือนบ้านอีกหลังหนึ่งของผมแหละครับคุณนนท์”

“ผมเข้าใจแล้วล่ะ ที่นี่เข้มแข็งเพราะทุกๆฝ่ายช่วยกัน ผมไม่แปลกใจเลยครับว่าทำไมแม่เลี้ยงถึงดูแลคนงานอย่างดี”เขาสรุปพลางเมินมองไปยังแสงแดดที่กำลังเคลื่อนคล้อยไปอย่างช้าๆ ลมหนาวโชยมาแผ่วเบา ทำให้ปอยผมปอยหนึ่งตกลงมาระใบหน้าชายหนุ่ม เขาจึงยกมือขวาขึ้นเสยผมและถามเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้”แล้วนี่ลุงคำไม่รีบกลับบ้านเหรอครับ”

“ก็ว่าจะกลับอยู่เหมือนกันครับ แล้วพอค่ำๆค่อยกลับมาเปิดไฟให้ดอกไม้”นายอิ่นคำตอบพลางลุกขึ้นยืน

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายพลางยิ้ม “ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าตอนกลางคืนเราต้องเปิดไฟให้ดอกไม้บางชนิดก็ตอนมาทำงานอยู่ที่นี่แหละ”

“การเปิดไฟให้ดอกไม้ในเวลากลางคืนก็เพื่อให้ดอกไม้ของเรามีความแข็งแรง มีก้านยาวสมบูรณ์ ทำให้สามารถตัดดอกไม้ได้ตลอดทั้งปีน่ะครับ เป็นพระราชดำริของในหลวงด้วยนะ”ผู้สูงวัยอธิบายพร้อมทั้งยกมือขึ้นพนมเหนือศีรษะ

“ครับ ลุงคำตามสบายเถอะครับ ผมจะเดินเล่นอยู่แถวนี้อีกสักพัก”นันทวัชร์ลุกขึ้นยืนบ้าง และเมื่อชายสูงวัยเดินออกจากโรงเรือนไปแล้ว เขาจึงเดินลัดไปตามแปลงดอกเบญจมาศซึ่งปลูกอยู่คนละฝั่งกับดอกคริสซานติมัมที่ถูกตัดเพื่อส่งขายในวันรุ่งขึ้น

ยามนี้แดดโรยแสงจนเหลือเพียงแสงระเรื่อที่ปลายฟ้า ความหนาวเย็นจึงเข้ามาแทนที่ความอบอุ่นของเวลากลางวัน

ดวงตาของชายหนุ่มจับจ้องไปยังฝูงนกฝูงหนึ่งซึ่งกำลังโบยบินกลับมายังต้นโพธิ์ใหญ่อันเป็นรังนอน ส่งเสียงร้องจิ๊บๆไปทั่วบริเวณจนแทบจะกลบเสียงกระดิ่งกรุ๋งกริ๋งซึ่งดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

“บ๊อกๆ”เจ้าสุนัขขนปุกปุยส่งเสียงเห่าขณะแหงนหน้าขึ้นมองชายหนุ่มผู้ยังเป็นคนแปลกหน้าสำหรับมัน

นันทวัชร์จึงยกนิ้วชี้ข้างขวาขึ้นมาแตะริมฝีปากตนเองแล้วย่อตัวลงนั่ง พลางลูบหัวสีน้ำตาลของมันเบาๆ “จุ๊ๆ อย่าเสียงดังนะเจ้าตัวเล็ก ฉันต้องการความสงบ”

เมื่อถูกทักทายด้วยสัมผัสแผ่วเบาเจ้าปิงปองก็ดูเหมือนจะให้ความเป็นมิตรกับชายหนุ่มโดยทันที มันแกว่งหางไปมาพลางย่อตัวลงนั่งบนพื้นหญ้า

“ปิงปองๆ อยู่ไหน”เสียงเจื้อยแจ้วของใครคนหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับที่ร่างบางก้าวพ้นหัวแปลงดอกเบญจมาศเข้ามาแล้วชะงักงัน เมื่อได้พบชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของผ้าเช็ดหน้าสีน้ำตาลอีกครั้ง

“มันกวนคุณหรือเปล่านั่น”สิตานันถาม

ชายหนุ่มสั่นหน้า จากนั้นจึงอุ้มเจ้าปิงปองขึ้นมาแนบอกและลูบหลังมันเบาๆไปพลางๆ “ไม่เลย มันน่ารักดีออก”

“แต่ก็ยังมีบางคนไม่ชอบมัน”สิตานันเหยียดปากหลังจากนึกถึงใบหน้าของมนิดาขึ้นมาขณะพูด

“ใครไม่ชอบลูกหมาตัวเล็กๆแบบนี้ก็คงจะใจร้ายเกินไปแล้วล่ะคุณว่าไหม”ชายหนุ่มชวนคุยพร้อมกับก้าวนำเด็กสาวออกไปนอกแปลงดอกไม้ ซึ่งสิตานันก็ก้าวตามไปต้อยๆพลางเอ่ยตอบ “ใช่ คนประเภทนั้นต้องมีจิตใจหยาบกระด้างน่าดูเลย แล้วแบบนี้ฉันจะยกพี่ชายให้ได้ยังไงคุณว่าปะ”

นันทวัชร์หัวเราะ หันกลับมามองหน้าเด็กสาว “ที่พูดนี่หมายถึงใครกันสาวน้อย”

สิตานันย่นจมูก “คุณคงไม่รู้จักหรอก ฉันได้ยินว่าคุณเพิ่งมาอยู่นี่”

“รู้ได้ไง”

“คุณบอกเองเมื่อวันก่อน ยังจะมาสงสัยอะไรอีก”

นันทวัชร์พยักหน้า แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “จริงสินะ ผมเคยบอกคุณไปแล้วหนหนึ่งตอนที่เห็นคุณร้องไห้”

คนฟังนิ่วหน้า “ไม่ต้องมาย้ำเรื่องร้องไห้หรอกน่า ว่าแต่ผ้าเช็ดหน้าของคุณน่ะฉันยังไม่ได้เอาติดมาด้วยหรอกนะ ไม่รู้นี่ว่าจะมาเจอกันโดยบังเอิญแบบนี้”

“ไม่เป็นไรหรอก ผมให้”เขาบอกอย่างใจดี

“ไม่ได้ ฉันไม่รับของคนแปลกหน้า”สิตานันเชิดหน้าบอก

ชายหนุ่มรีบหันไปทางอื่นแล้วหัวเราะ ครู่ใหญ่จึงเบนหน้ากลับมาส่งยิ้ม
ยียวน “คร้าบ คนเก่ง”

มองเห็นรอยยิ้มสดใสและดวงตาซื่อๆคู่นั้น แต่เด็กสาวกลับรู้สึกหมั่นไส้อย่างหนัก ดวงหน้าพริ้มเพราจึงแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงโดยทันที ทว่านันทวัชร์ก็มิได้สนใจ เพราะเมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นร่างระหงอันคุ้นตาเดินลิ่วผ่านไป ชายหนุ่มจึงรีบผละจากสิตานันสาวเท้าเข้าไปหาน้ำบุศย์และเรียก “คุณน้ำครับ”

ผู้ถูกเรียกมีท่าทางตกใจเล็กน้อย แต่ครู่เดียวเท่านั้นเธอก็ปรับสีหน้าเป็นปกติและส่งยิ้มเย็นๆกลับมาให้เขาเช่นเคย “อ้าว คุณนนท์มาทำอะไรที่นี่คะ”

“ผมมาเดินเล่นครับ คุณน้ำล่ะมาทำอะไรที่นี่”เขาย้อนถามบ้าง

ดวงตาคู่งามมีแววไหวน้อยๆยามที่มองสบตาเขา “มาเดินเล่นเหมือนกันค่ะ เย็นๆแบบนี้อากาศดีจัง”

ตอบไปทั้งที่ใจของน้ำบุศย์ก็กังวลอยู่ไม่น้อย ด้วยเกรงเขาจะเห็นว่าเธอแอบมาพบพีรัชชัยเมื่อครู่ ทว่านันทวัชร์กลับไม่แสดงท่าทีใดๆผิดสังเกต

“คนกรุงเทพฯก็แบบนี้แหละครับ เจอมลพิษจนชิน พอได้มาอยู่ในที่อากาศดีๆเราก็จะอยากซึมซับมันเอาไว้ให้ได้มากที่สุด”เขาพลอยผสมโรงไปด้วย

“ใช่ค่ะ”เธอตอบกลั้วหัวเราะในใจ นึกขำที่ตนเองกังวลมากจนเกิน

“ทำงานหลายวันแล้ว งานในไร่เคียงดอยเป็นไงบ้างคะ”

“งานจะมีรายละเอียดเยอะครับ แต่ก็ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆสมใจ”

“แสดงว่ามีความสุขกับงาน”

“จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ครับ”เขาตอบรับพลางส่งยิ้มให้กับเธอ

น้ำบุศย์ยิ้มตอบด้วยความรู้สึกเป็นมิตร การที่ได้รู้จักคนอย่างนันทวัชร์เป็นเรื่องที่ดี เพราะอย่างน้อยๆเขาก็ทำให้เธอยิ้มได้อยู่เสมอ โดยไม่รู้เลยว่า ภาพการสนทนาอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยของคนทั้งคู่กำลังทำให้เด็กสาวซึ่งยืนอุ้มเจ้าปิงปองมองดูอยู่เกิดความรู้สึกขุ่นมัวขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » ศุกร์ 08 มี.ค. 2013 7:11 am

“ไปไหนมา”

เท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดเตี้ยๆชะงักเมื่อมีเสียงขุ่นๆดังขึ้นทางด้านหลัง และหลังจากเธอหันไปมองจึงพบว่าเหนือลิขิตกำลังยืนรออยู่
ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงยีนซึ่งเป็นชุดที่เขาชอบใส่ในเวลาทำงาน มือขวาของเขาหอบแฟ้มสีดำเอาไว้ขณะที่มือซ้ายล้วงกระเป๋ากางเกง ที่แปลกก็คือดวงตาของเขาซึ่งกำลังฉายแววความไม่พึงพอใจปรากฏอยู่

“ฉันไปหาพี่พีมา”เธอตอบเสียงเบาด้วยเกรงว่าจะมีคนอื่นมาได้ยิน
เสียง ‘เฮอะ’ ดังขึ้นจากชายหนุ่มก่อนจะแย้ง “แต่เท่าที่ผมได้ยินมามันไม่ใช่แบบนั้นนะ”

คิ้วเรียวของหญิงสาวเริ่มยกขึ้นสูง ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน ดวงตาจดจ้องคู่สนทนานิ่ง

“ผมได้ยินมาว่าคุณไปยืนคุยกับผู้จัดการโกดังอยู่ตั้งเป็นนานสองนาน”

“แล้วไงล่ะ”

เขาส่ายหน้า ดวงตาสีเหล็กแสดงให้เห็นถึงความเหน็ดเหนื่อยและระอาใจ “คุณรู้ไหมว่ามันไม่เหมาะที่คนรักของผมจะไปยืนประจ๋อประแจ๋กับพนักงานแบบนั้น”

คิ้วที่ยกสูงเมื่อครู่กดต่ำลงแล้วเปลี่ยนเป็นขมวดมุ่น”คุณใช้คำว่าประจ๋อประแจ๋งั้นเหรอ”

“ฮื่อ ก็ใช่น่ะสิ” เขาย้ำ

“แต่เราแค่ทักทายกันเท่านั้นนะ คุณมันจอมอคติ”หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นเถียงฉอดๆ

เหนือลิขิตยกมือขึ้นห้าม “เอาล่ะๆ ไม่ต้องเถียงหรอก ผมแค่มาเตือน ป้องกันไม่ให้แผนของเราพลาดเท่านั้น”

“ขอบใจ แต่ฉันรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่”พูดจบ หญิงสาวก็สะบัดหน้าเดินขึ้นบันไดไปด้วยสีหน้าเซ็งๆ

แต่ก่อนที่น้ำบุศย์จะเดินไปถึงห้องส่วนตัว เสียงเรียกของใบตองก็ทำให้เธอต้องหยุดชะงัก หันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับเด็กสาวและถาม “มีอะไรหรือเปล่าใบตอง”

เด็กสาวเงยหน้าเจื่อนจ๋อยขึ้นมองนายสาว เอ่ยเสียงอ่อย “ใบตองมีเรื่องจะสารภาพกับคุณน้ำค่ะ”

น้ำบุศย์กระตุกมุมปากข้างขวาพร้อมๆกับเลิกคิ้ว สายตาจดจ้องรอฟังถ้อยคำจากอีกฝ่าย “ทำไมเหรอ”

เด็กสาวเม้มปากอย่างกล้าๆกลัวๆก่อนตอบด้วยอาการอึกอัก “เอ่อ คือ ชุดของคุณน้ำที่ซักตากไว้ตั้งแต่ตอนเช้าน่ะค่ะ...”

น้ำบุศย์เบิกตากว้าง “ชุดเดรสสีฟ้าที่ฉันเตรียมจะใส่ไปงานแต่งงานวันพรุ่งนี้น่ะเหรอ ทำไม...เกิดอะไรขึ้น”

หัวคิ้วบางๆของเด็กสาวขยับเข้าหากัน ใบตองกลืนน้ำลายหนืดๆลงคอแล้วจึงเล่า “ใบตองซักแล้วตากไว้หลังบ้านก่อนไปโรงเรียนน่ะค่ะ แล้วพอไปเก็บ เอ่อ มันก็ ก็หายไปแล้ว”

“มีใครหยิบติดมือไปหรือเปล่า มันอาจจะไม่หายก็ได้” นักสืบสาวพยายามมองในแง่ดี

ทว่าใบตองกลับสั่นหน้า “เรื่องซักรีดเสื้อผ้าเป็นหน้าที่ของใบตองค่ะ ถ้าฝนไม่ตกก็จะไม่มีใครไปยุ่งเลย”

“รอดูไปก่อนดีกว่านะ”น้ำบุศย์บอก ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจ
ใบตองซึ่งมีสีหน้าสลดลงยกมือขึ้นไหว้ปะหลกๆ “คุณน้ำอย่าโกรธเลยนะคะ ใบตองขอโทษค่ะ”

นักสืบสาวจึงยิ้มอ่อนโยน พลางยกมือขึ้นวางบนไหล่ของผู้อ่อนวัยกว่า บีบเบาๆเพื่อปลอบใจ “อย่าคิดมากเลย ไม่ว่ามันจะหายหรือไม่หายมันก็เป็นแค่เสื้อผ้าชุดเดียว หาใหม่ได้”

“แต่ว่า...”

“ทำตามที่ฉันบอกเถอะ เอ...แล้วตอนนี้คุณน้าไปไหนแล้วล่ะ”น้ำบุศย์เปลี่ยนเรื่องพลางหันซ้ายหันขวาคล้ายจะมองหาผู้ที่ตนถามถึง
ใบตองปรับสีหน้าให้ดีขึ้นขณะตอบ “คุณพยาบาลพาแม่เลี้ยงออกไปที่ไร่ดอกไม้น่ะค่ะ”

“อ้อ งั้นเดี๋ยวฉันไปหาคุณน้าที่นั่นก่อนดีกว่า” ว่าแล้วหญิงสาวจึงเดินลิ่วๆลงบันไดไป ปล่อยให้ใบตองยืนเครียดอยู่เพียงลำพัง
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » ศุกร์ 08 มี.ค. 2013 7:12 am

ร่างผอมบางซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นเอี้ยวตัวกลับมามองเมื่อได้ยินเสียงเหยียบย่ำใบไม้ดังกรอบแกรบใกล้เข้ามา “อ้าวหนูน้ำ”

“เห็นใบตองบอกว่าคุณน้ามาอยู่ที่นี่ น้ำก็เลยตามมาน่ะค่ะ” น้ำบุศย์ตอบเมื่อเห็นสายตาแปลกใจของอีกฝ่ายก่อนจะหันไปยิ้มเก๋ไก๋ให้พยาบาลสาวพลางบอกว่า “คุณพยาบาลไปพักผ่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวน้ำจะดูแลคุณน้าให้เอง”

“ไปอาบน้ำก่อนเถอะลลิล”คุณธันยาพรเอ่ยอนุญาต

พยาบาลสาวรับคำเบาๆแล้วเดินเลี่ยงออกไป

หลังจากนั้นน้ำบุศย์จึงเข็นรถเข็นของผู้สูงวัยไปยังใต้ต้นไทรแล้วนั่งลงบนม้านั่งซึ่งตั้งอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ขณะที่คุณธันยาพรเองก็นั่งอยู่บนรถเข็นอย่างสงบ สายตาทอดมองดอกไม้สีสดก่อนจะถอนหายใจ “อยู่ที่นี่เหงาไหมลูก”

“ไม่หรอกค่ะคุณน้า ที่นี่มีอะไรให้ทำเยอะแยะ”คำตอบของหญิงสาวค้านกับความนึกคิดของตนเองโดยสิ้นเชิง

คุณธันยาพรพยักหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “จริงสิ ความรักทำให้คนเรามีความสุขได้เสมอ ถ้าเราได้อยู่กับคนที่เรารัก”

“ดูคุณน้าจะให้ความสำคัญกับความรักมากนะคะ”น้ำบุศย์พยายามชง เพื่อให้อีกฝ่ายค่อยๆขยายความออกมา

ผู้สูงวัยพยักหน้า “ใช่ น้าอยู่กับความรักและคำว่ารอมากกว่าครึ่งชีวิต”
“แล้วทุกวันนี้ล่ะคะ”นักสืบสาวพยายามตีกรอบให้แคบเข้ามาเรื่อยๆ

“ทุกวันนี้คง...ไม่รอแล้ว แต่...”ผู้เล่าหยุดกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ ซึ่งน้ำบุศย์รู้ดีว่าคุณธันยาพรกำลังพยายามกลืนความรู้สึกในใจลงไปด้วย “คนเราอาจจะหักใจได้ แต่มันก็ทำได้บ้างเท่านั้นแหละ ไม่ใช่ทั้งหมด”

“แสดงว่าคุณน้ายังรักเขาอยู่หรือคะ”น้ำบุศย์ขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นและถามต่อเสียงอ่อน

คุณธันยาพรหลับตาลง ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงค่อยลืมตาขึ้นอีกครั้ง “สายสัมพันธ์นั้นไม่สามารถตัดได้ง่ายๆเหมือนตัดเชือกหรอกลูก”
“น้ำอยากฟังเรื่องความรักของคุณน้าจังเลยค่ะ”

รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของประมุขไร่เคียงดอย สายตาที่ทอดมองผู้อ่อนวัยกว่าก็ดูอ่อนโยนดุจเดียวกับน้ำเสียงตอบรับ “ได้สิ”

“ขอบคุณค่ะคุณน้า”หญิงสาวเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงอันปกปิดความยินดีไว้ไม่มิด

เธอกำลังขยับเข้าไปใกล้คำว่า “ความสำเร็จ”เรื่อยๆแล้วใช่ไหม...
ลมหนาวพัดพาความเงียบงันให้ครอบคลุมอาณาบริเวณอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ราวอึดใจผู้สูงวัยจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องของตนเองด้วยน้ำเสียงอันกรุ่นไปด้วยความเศร้า

“น้ากับเขาพบรักกันตอนเรียนมหา’ลัย เราเรียนอยู่ต่างคณะแต่ด้วยความที่ชอบกิจกรรมเหมือนกันก็เลยทำให้เราสนิทสนมกันในที่สุด”

จบประโยคนั้นคุณธันยาพรจึงหันมายิ้มให้น้ำบุศย์ หากเป็นรอยยิ้มที่ช่างเศร้าหมองนัก หญิงสาวจึงเอื้อมมือไปกุมมือผอมบางนั้นเอาไว้แล้วยิ้มตอบ “ถึงความรักจะจากไปนานสักแค่ไหน แต่ความทรงจำจะคงอยู่กับเราไปจนตายค่ะคุณน้า แม้ในยามรักนั้นเราจะพบทั้งทุกข์และสุขมากมายแค่ไหน แต่สิ่งที่จะตกเป็นตะกอนในใจเราคือความสุข เพราะไม่มีใครอยากเก็บความทุกข์เอาไว้กับตัวหรอกค่ะ”

คนฟังเบือนหน้าหลบสายตาหญิงสาวรุ่นลูกไปอีกทาง ปล่อยให้ดวงตาบวมแดงปลดปล่อยน้ำตาออกมา ความทรงจำเก่าๆและบรรยากาศอันเงียบเหงาทำให้คุณธันยาพรไม่อาจหักห้ามความสะเทือนใจได้ ซึ่งน้ำบุศย์ก็เข้าใจดี เธอจึงไม่เร่งเร้า ปล่อยให้อีกฝ่ายจมอยู่กับความรู้สึก เนิ่นนานคุณธันยาพรจึงหันกลับมา “แต่บางทีเราก็เจ็บปวดเกินกว่าจะทนรับมันไหว”

“กาลเวลาอาจจะไม่สามารถลบริ้วรอยแผลใจได้ทั้งหมด แต่มันก็ทำให้แผลนั้นเจือจางลงได้ไม่ใช่หรือคะ”

“อาจจะใช่ แต่ก็ใช้ได้กับคนที่เดินทางไปข้างหน้าเท่านั้นแหละ สำหรับคนที่ย่ำอยู่กับที่แล้ว ทุกวันที่ผ่านไป ทุกอย่างยังเหมือนเดิม”

“สมัยนั้นคุณน้าเรียนที่ไหนคะ”น้ำบุศย์เริ่มตะล่อมถามอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าบทสนทนาเริ่มห่างไกลออกไปจากเรื่องที่อยากรู้พอสมควรแล้ว

“น้าเรียนที่กรุงเทพฯจ้ะ”

“คุณน้าคนนั้นเป็นคนลำปางเหมือนกันหรือเปล่าคะ”

“บ้านเขาอยู่ต่างจังหวัดน่ะ ตอนเรียนเขาก็เลยต้องมาพักอยู่ใกล้มหา’ลัย...”เล่ามาถึงตรงนี้น้ำเสียงของคุณธันยาพรก็เริ่มสั่น และยิ่งดูเศร้าสร้อยเมื่อเอ่ยประโยคถัดไป “ตอนนั้นน้า ก็ เอ่อ พักอยู่กับเขา”

น้ำบุศย์กะพริบตาถี่ๆ นึกในใจว่าอย่างนี้นี่เองผู้สูงวัยจึงฝังใจนัก ด้วยความเป็นหญิงนั้นหากพลาดพลั้งตกเป็นของใครเราก็มักจะทึกทักเอาเองว่าเราเป็นของเขา โดยลืมเลือนไปว่าแท้จริงแล้วชีวิตยังเป็นของเราอยู่

“ทุกการตัดสินใจของเราสองคนเป็นเพราะความรักนะหนูน้ำ เราสัญญากันว่าจะแต่งงานกันให้ได้ แต่เขาฐานะ ไม่ดี เราจึงต้องช่วยกันเก็บเงินแต่งงาน” พูดจบคุณธันยาพรก็ก้มหน้าลงมองมือตนเอง แน่นอน น้ำบุศย์เชื่อว่านั่นคือวิธีการกลบเกลื่อนรอยน้ำตาไม่ให้เธอเห็น แต่ก่อนที่เรื่องราวในอดีตจะถูกขยายความมากไปกว่านั้น เสียงกระดิ่งเล็กๆก็ดังขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงเล็กแหลมของสิตานัน “น้าพรมาอยู่นี่เอง สตางค์ตามหาแทบแย่เลย”

เด็กสาวเดินลิ่วๆเข้ามายืนแทรกกลางระหว่างน้าสาวและน้ำบุศย์ “พี่ลิขิตให้สตางค์มาตามน้าพรค่ะ บอกว่าอากาศเย็นมากแล้ว”

ผู้สูงวัยฝืนยิ้ม “ทำเหมือนน้าเป็นเด็กๆเลยนะ”

สิตานันหัวเราะเบาๆ “ก็น้าพรทำเพื่อพวกเรามามากแล้วนี่คะ เราก็ต้องดูแลน้าพรบ้าง กลับเข้าบ้านกันเถอะค่ะเดี๋ยวสตางค์เข็นรถให้เอง”

เมื่อผู้เป็นน้าพยักหน้า เด็กสาวจึงวางเจ้าปิงปองลงกับพื้นแล้วปรายตามองน้ำบุศย์หน่อยหนึ่ง ก่อนก้าวฉับๆไปยืนอยู่ด้านหลังรถเข็นและเข็นมันไปตามถนนลูกรังโดยไม่สนใจใครบางคนที่ยืนเคว้งอยู่เพียงลำพัง

หากคุณธันยาพรก็ยังใส่ใจหลานสาวคนใหม่จึงหันกลับมา
ตะโกนบอก “เดี๋ยวพบกันที่โต๊ะอาหารนะหนูน้ำ”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » จันทร์ 11 มี.ค. 2013 7:15 am

บทที่ ๘

หลังส่งผู้เป็นน้ายังห้องส่วนตัวแล้วสิตานันจึงขอตัวกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนกลับมารับประทานอาหารมื้อเย็นร่วมกับทุกคนที่เรือนใหญ่อีกครั้ง หากระหว่างที่กำลังเดินไปบนถนนซึ่งขนาบไปด้วยไม้ดอกต้นสูงอยู่นั้นโทรศัพท์มือถือคู่ใจก็กรีดเสียงขึ้น


เมื่อเห็นชื่อเพื่อนรักปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ มือเล็กๆขาวผ่องจึงรีบกดรับแล้วกรอกเสียงลงไปโดยไม่รีรอ “ว่าไงจ๊ะพลอย”


“พลอยมีเรื่องจะบอกสตางค์”ปลายสายตอบมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง หากผู้ฟังก็ยังรับรู้ถึงความกังวลใจที่ซ่อนอยู่ลึกๆ


“อะไรเหรอ”สาวน้อยแห่งไร่เคียงดอยเริ่มระแวงเมื่อเห็นท่าทีของเพื่อน


แพรพลอยเงียบไปครู่ใหญ่จึงค่อยขยายความ “สตางค์ฟังพลอยนะ แล้วใจเย็นๆ”


“เรื่องเวฟใช่ไหม”สิตานันเดาแล้วจึงกลั้นใจรอฟังคำตอบ คณินหรือเวฟเป็นเพื่อนในกลุ่มที่ขยับมาเป็นคนรักของ สิตานันในช่วงหลังๆ และขณะนี้เด็กสาวกำลังระแวงว่าอีกฝ่ายเริ่มทำตัวห่างเหินและเย็นชา


“ใช่ เรื่องเวฟนั่นแหละ”


“พูดมาเถอะ”


“ตอนเย็นพลอยไปเดินห้างกับแม่แล้วเห็นเวฟควงเด็กรุ่นน้องที่เพิ่งย้ายมาใหม่เดิน แหม...จูงมือกันกระหนุงกระหนิงเชียว”


หัวใจดวงน้อยหล่นวูบ แม้ว่าสิตานันจะค่อนข้างมั่นใจอยู่ก่อนหน้านี้แล้วก็ตามว่าคณินไม่เหมือนเดิม ทว่าพอมารับรู้ความจริง เธอกลับรับไม่ได้ มันสั่นสะเทือนไปทั้งหัวใจ เออหนอใจคน ทั้งที่เตรียมตัวรับมือไว้แล้วแท้ๆ


“ขะ...เขา...ไม่ได้เป็นญาติกันแน่นะพลอย” คำถามโง่ๆนั้นเป็นเพียงความหวังน้อยนิด นิดเดียวจริงๆ


“บ้า ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก พี่ชายอะไรแทบจะกลืนกินน้องสาวแบบนั้นล่ะ”แพรพลอยตอบด้วยน้ำเสียงฉุนๆ เธอรู้สึกโกรธแทนเพื่อนเสียเหลือเกิน


“จริงเหรอพลอย”สิตานันกัดฟันถามออกไปอีกครั้งด้วยความรู้สึกแห้งโหย แข้งขาที่กำลังเดินอยู่ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาโดยฉับพลัน “ถ้างั้นที่สตางค์เห็นในโรงเรียนก็ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดน่ะสิ”


“จริง พลอยไม่อยากให้สตางค์ต้องมากลายเป็นคนโง่ให้ผู้ชายหลอกก็เลยรีบโทร.มาบอก แล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะที่มีคนเห็นแบบนี้ ยายกบยังบอกพลอยเลยว่าเคยเห็นสองคนนั่นไปนั่งกอดกันในสวนสาธารณะ แต่พลอยจะรอให้มั่นใจก่อนค่อยมาบอกสตางค์”น้ำเสียงที่ย้ำชัดของแพรพลอยไม่ต่างอะไรกับคมมีดที่กรีดลงในใจของคนฟัง สิตานันจึงละล่ำละลักเอ่ยออกไปด้วยใจที่บอบช้ำ “ขอบใจพลอยมาก แค่นี้ก่อนนะ”


กดวางสายแล้ว น้ำตาซึ่งถูกกักกันเอาไว้เนิ่นนานจึงพร่างพรู เด็กสาวพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีวิ่งเข้าบ้านและปรี่เข้าไปขังตนเองในห้องส่วนตัว เพื่อให้น้ำตาได้ปลอบประโลมหัวใจอันบอบช้ำระบม

รักครั้งแรกที่เคยมั่นใจกลับพังครืนลงอย่างไม่เป็นท่า “ไม่น่าเชื่อเลยว่าเวฟจะทรยศสตางค์ได้ลงคอ”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » จันทร์ 11 มี.ค. 2013 7:16 am

“ทำไมยายสตางค์ไม่มาสักทีเจ้ารุต หรือว่ารอมาพร้อมตาลิขิต”คุณธันยาพรเอ่ยถาม หลังจากนั่งรอหลานสาวอยู่ที่โต๊ะอาหารร่วมกับวิศรุตและน้ำบุศย์เนิ่นนานแล้ว

“ไม่น่าจะใช่นะครับน้าพร เพราะวันนี้พี่ลิขิตออกไปธุระข้างนอกยังไม่กลับมาเลย” วิศรุตตอบพลางหลบสายตาผู้เป็นน้าจนอีกฝ่ายจับพิรุธได้

“ไปกับยายมีมี่ดี๊ด๊านั่นอีกล่ะสิ”คุณธันยาพรโพล่งขึ้นเสียงขุ่น แล้วจึงชะงักเมื่อนึกขึ้นว่ามิได้อยู่ตามลำพังกับหลานชาย และที่สำคัญคนที่นั่งฟังตาแป๋วอยู่นั้นคือว่าที่คู่หมั้นของเหนือลิขิต ผู้สูงวัยจึงแก้ตัว “ไม่มีอะไรหรอกหนูน้ำ แม่มีมี่อะไรนั่นน่ะเป็นเพื่อนเก่าของตาลิขิตเค้า”

น้ำบุศย์ยิ้ม นึกในใจว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรสักหน่อย ก็แค่คนรักเก๊ๆคนหนึ่งจะให้รู้สึกรู้สมอะไรนักหนา ทว่าปากก็ต้องรับสมอ้าง “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ น้ำเชื่อใจลิขิตอยู่แล้ว”

“โถ แม่คุณ ช่างน่ารักเหลือเกิน”ผู้สูงวัยเอ่ยชม

“เดี๋ยวผมไปตามสตางค์ก่อนดีกว่าครับ เลยเวลาอาหารเย็นมานานแล้ว”วิศรุตเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน แต่น้ำบุศย์กลับอาสา “ให้น้ำไปเองดีกว่าค่ะ”

“จะดีหรือครับ”ชายหนุ่มถามย้ำเพราะเห็นอยู่แล้วว่าน้องสาวของตนนั้นตั้งป้อมไม่ชอบขี้หน้าว่าที่พี่สะใภ้คนนี้เพียงไร

แต่น้ำบุศย์กลับยิ้ม “ดีสิคะ ยังไงน้องสตางค์ก็ถือเป็นน้องสาวของน้ำคนหนึ่งเหมือนกัน”

“ให้หนูน้ำไปตามเถอะ น้ามีเรื่องอยากจะคุยกับรุตต่อเรื่องพี่ชายของเราน่ะ”ประมุขไร่เคียงดอยประกาศิต วิศรุตจึงรับคำแล้วนั่งลง ส่วนน้ำบุศย์นั้นก็รีบก้าวออกไปจากห้อง ในใจคิดเพียงว่า หากสานสัมพันธ์กับสิตานันได้ อย่างน้อยๆเธอก็จะมีพรรคพวกที่จะช่วยสืบเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง

ระยะทางจากบ้านใหญ่และบ้านของสามพี่น้องไม่ไกลเกินไปนัก ครู่เดียวหญิงสาวจึงไปถึงยังจุดหมาย ซึ่งมีใบตองกำลังถูบ้านไปพลางร้องเพลงไปพลาง

“คุณสตางค์ล่ะใบตอง”

เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ แววตาครุ่นคิด “เอ เมื่อกี้ใบตองเห็นแวบๆนะคะว่าคุณสตางค์วิ่งเข้าไปในห้องแต่ไม่แน่ใจว่าออกไปหรือยัง ที่บ้านใหญ่ไม่มีหรือคะ”

“ฉันเพิ่งมาจากบ้านใหญ่ จะมาตามคุณสตางค์ไปทานข้าวเย็น”น้ำบุศย์ตอบ สายตาจับจ้องไปที่บันไดสีเงินคดโค้งสู่ชั้นสองอันเป็นห้องนอนของผู้ที่ตนมาตามหา

“งั้นเดี๋ยวใบตองขึ้นไปตามที่ห้องให้ค่ะ”สาวน้อยอาสาก่อนวางเครื่องมือทำความสะอาดบ้านไว้ในถังใบใหญ่ แล้วจึงเดินแกมวิ่งขึ้นบันไดอย่างเร็วรี่

ระหว่างนั้นน้ำบุศย์ได้ยินเสียงเรียกสิตานันดังแว่วๆอยู่ครู่หนึ่ง ใบตองจึงกระหืดกระหอบลงบันไดมา “คุณสตางค์น่าจะอยู่ในห้องนอนค่ะ แต่ไม่ยอมออกมา”

“อ้าว ไม่สบายหรือเปล่าล่ะใบตอง” น้ำบุศย์ย้อนถามอย่างแปลกใจ

เด็กสาวสั่นหน้า “ไม่ทราบค่ะ แต่เคาะเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเปิดประตู”
นักสืบสาวข
ยับคิ้วเข้าหากัน ตรึกตรองอยู่พักใหญ่จึงสั่ง “ไปเอากุญแจมาเปิดเถอะ ถ้าน้องสตางค์ไม่สบายเราจะได้หาหยูกยามาให้ทันท่วงที”

“แต่...”ใบตองมีท่าทีอิดออดเพราะรู้ถึงฤทธิ์เดชเจ้านายคนเล็กดีว่าเอาแต่ใจแค่ไหน หากเธอไม่เปิดประตูแสดงว่าต้องการอยู่คนเดียว และหากใครไปยุ่มย่ามก็อาจจะถูกวีนใส่หน้าเอาได้ง่ายๆ

หากน้ำบุศย์ก็ยังยืนกรานเสียงแข็ง “ทำตามที่ฉันบอก มีอะไรฉันจะรับผิดชอบเอง”

“ค่ะ”สาวน้อยรับคำแล้ววิ่งปรู๊ดจากไป ไม่เกิน 5 นาทีจึงกลับมาพร้อมลูกกุญแจพวงใหญ่

“ไปสิ”น้ำบุศย์บุ้ยใบ้ไปที่ชั้นสอง จากนั้นจึงเดินตามเด็กสาวไปก่อน และเมื่อมาถึงหน้าประตูไม้แกะสลักลายไทยอ่อนช้อยหญิงสาวจึงชี้ไปที่ประตู

“ค่ะ”ใบตองรับคำอีกครั้งจากนั้นจึงใช้กุญแจไขประตูห้อ

เสียงกริ๊กดังขึ้น น้ำบุศย์เปิดประตูเข้าไปด้านใน โดยมีเด็กสาวยืนรออยู่ข้างนอก เนื่องจากกลัวว่าตนเองจะถูกคาดโทษจากเจ้านายคนเล็กของบ้าน

นักสืบสาวปรับสายตาภายใต้ความสลัวอยู่ชั่วครู่จึงกดสวิตซ์ไฟฟ้าซึ่งอยู่ด้านข้างประตูห้อง

พรึบ !...แสงไฟสว่างจ้าขึ้น

น้ำบุศย์ใช้สายตากวาดมองไปรอบๆห้อง และพบว่าห้องทั้งห้องว่างเปล่า เธอจึงหมุนตัวกลับ

แกรก...

เสียงที่ดังขึ้นในห้องน้ำทำให้หญิงสาวต้องชะงักเท้า เดินลิ่วไปยังต้นตอของเสียง แล้วเปิดประตูผัวะ
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » จันทร์ 11 มี.ค. 2013 7:16 am

“น้องสตางค์ !”

ร่างบอบบางในชุดนักเรียนซึ่งนั่งขดตัวข้างชักโครกทำให้น้ำบุศย์ใจหายวาบ

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง มองเห็นใบหน้าของเด็กสาวเจิ่งนองไปด้วยหยาดน้ำตา สิตานันนั่งชันเข่าหลังพิงผนังห้องน้ำอยู่ด้วยเนื้อตัวที่เปียกมะลอกมะแลก แขนซ้ายซึ่งวางเกยบนชักโครกมีเลือดไหลซึมออกมาบริเวณข้อมือ

“...”น้ำบุศย์นิ่งอึ้ง เธอทั้งตกใจและนึกโมโหต่อพฤติกรรมสิ้นคิดของสาวน้อย แต่เธอก็ทำได้เพียงโผเข้าไปจับมือขาวซีดนั้นไว้ บีบเบาๆ “ออกไปข้างนอกเถอะค่ะ เดี๋ยวพี่จะทำแผลให้”

สิตานันสะบัดมือแรงๆลุกพรวดขึ้น ถอยหลังหนีออกจากการเกาะกุม “ไม่ ออกไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับฉัน”

น้ำบุศย์นิ่วหน้า พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “มีอะไรค่อยๆพูดค่อยๆจากันนะคะ ตอนนี้น้องสตางค์ต้องทำแผลก่อน ดูสิเลือดไหลไม่หยุดเลย”

เด็กสาวยังคงสั่นหน้าดิก ใช้แขนขวาที่ไม่บาดเจ็บชี้ไปที่ประตู “ออกไปซะ ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้าอย่างเธอ”

น้ำบุศย์ส่ายหน้าบ้าง จ้องตาเรียวคมนั้นอย่างไม่พรั่นพรึง “พี่เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน ผู้หญิงที่กรีดข้อมือตัวเองมีอยู่เพียงเรื่องเดียว คือ ความรัก” ประโยคท้ายหญิงสาวทอดเสียงอ่อนลง ก่อนพูดต่อ “แต่อย่าลืมนะ ว่าต่อให้น้องสตางค์ตายอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีอะไรดีขึ้น”

หยดน้ำตาของผู้ฟังเริ่มรินไหล คล้ายคำพูดของอีกฝ่ายได้สะกิดรอยแผลช้ำๆ ปากก็เถียงออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ไม่จริง เขาเคยเป็นห่วงฉันที่สุด”

“ค่ะ อาจจะใช่ แต่ตอนนี้น้องสตางค์วู่วามเกินไปนะ รู้ไหม”น้ำบุศย์ขยับเข้าไปหาหญิงสาวรุ่นน้อง พลางจับแขนขวาของเธอเอาไว้หลวมๆ “ไม่ว่าเวลานี้ ผู้ชายคนนั้นจะห่วงเราหรือไม่ แต่เมื่อน้องสตางค์ทำร้ายตัวเองแบบนี้ คนที่ ทุกข์ทรมานใจมากที่สุดก็คือคนในครอบครัวนะ”

สาวน้อยหลับตาลงให้หยดน้ำตารินไหล ร้องไห้โฮออกมาอย่างสุดที่จะกลั้น น้ำบุศย์จึงโผเข้าไปโอบกอดร่างอันเปียกชื้นนั้นไว้กับอกแล้วลูบหลังปลอบประโลม บางทีเธอก็รู้สึกหงุดหงิดกับความเอาแต่ใจของเด็กสาวคนนี้ แต่ท่ามกลางสถานการณ์เลวร้ายตรงหน้าเธอก็ไม่สามารถทอดทิ้งให้สิตานันจมอยู่กับกองทุกข์และการทำร้ายตัวเองตามลำพังได้

“ร้องเถอะค่ะ ร้องเสียให้พอ”

เมื่อได้ฟังถ้อยคำ ร่างในอ้อมแขนจึงสะอื้นฮักจนตัวโยนแล้วกลับแน่นิ่งไปเสียดื้อๆ น้ำบุศย์หันรีหันขวาง ชะโงกหน้าออกไปตะโกนเรียกคนที่อยู่หน้าห้อง “ใบตองๆเข้ามาช่วยฉันในห้องน้ำหน่อย”

ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว สองสาวพาร่างอันไร้สติของสิตานันขึ้นไปนอนบนเตียง แล้วน้ำบุศย์จึงเปลี่ยนเสื้อผ้าและทำแผลให้เด็กสาวอย่างทุลักทุเล หลังเหตุการณ์เข้าสู่ปกติแล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่ามีใครรออยู่ จึงหันไปสั่งใบตอง “ใบตองไปบอกคุณน้าว่าไม่ต้องรอฉันกับคุณสตางค์หรอก แล้วช่วยจัดอาหารมาที่นี่ 2 ชุดด้วยนะ”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง นวนิยาย

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 26 ท่าน

cron