นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

นวนิยาย เรื่องยาว ต่างๆ

นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 10 มี.ค. 2013 8:15 am

trap.jpg
trap.jpg (38.81 KiB) เปิดดู 19651 ครั้ง
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 12 มี.ค. 2013 6:22 am

๏ หมื่นแสนสรวงลวงตาว่าแสนสุข
พันหมื่นยุคเย้ายวนชวนหลงใหล
ร้อยพันชื่นดื่นหล้าลืมอาลัย
หวังหนึ่งในแดนฝันอนันตกาล

๏ มีหนึ่งน้องนางเดียวร่วมเกี่ยวข้อง
เคียงหอห้องเสน่หานิทราศานต์
เสวยรมย์สมรักร่วมจักรวาล
ผูกวิมานพิศวาสทุกชาติภพ

๏ ขอบุพเพสันนิวาสไม่คลาดเคลื่อน
ฤๅลอยเลื่อนแรมสวรรค์ยากบรรจบ
สุดโลกทิพย์ลิบหล้าอย่าเลือนลบ
จะทอนทบหาทางทวงนางคืน

๏ ถึงเคราะห์กรรมจำพรากจากสายจิต
ด้วยชีวิตปุถุชนยากทนฝืน
แต่รักนี้จีรังแสนยั่งยืน
ตายอีกหมื่นโลกธาตุไม่คลาดคลา

๏ อยู่สวรรค์ชั้นไหนจะไปห่วง
อยู่ดาวดวงใกล้ไกลจะไปหา
อยู่พรหมโลกก็จะรับเธอกลับมา
อยู่คู่อาณาจักรรักจริงใจ

๏ ตราบโลก...แยกสลายกลายเป็นผง
ตราบฟ้า..ถล่มลงอย่าสงสัย
ตราบอาทิตย์...ดับดวงยังห่วงใย
ตราบสิ้นอสงไขย...ยังใจเดียว ๚ะ๛
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » ศุกร์ 22 มี.ค. 2013 7:14 am

546358_285330851556194_100002378438312_645897_1769016835_n.jpg
546358_285330851556194_100002378438312_645897_1769016835_n.jpg (30.14 KiB) เปิดดู 19616 ครั้ง


แสงสว่างวาบมาจาก ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ลำแสงนั้นแจ่มจ้าเสียจนทำให้ดวงตาของเธอพร่ามัว อากาศบริเวณนั้นอบอ้าว ร้อนจนแน่นหน้าอก หายใจติดขัด ร่างบางเซถลาเข้าไปยังบริเวณที่หมอกสีขาวลอยคละคลุ้ง บรรยากาศจึงค่อยผ่อนคลายมากขึ้น ทั้งยังมีกลิ่นหอมฉุนๆลอยมาแต่ไกล


แล้วจู่ๆละอองไอเหล่านั้นก็กลายเป็นสีทองระเรื่อ เมื่อชายชราในชุดสีขาวปรากฏกายขึ้น พร้อมกับนำแหวนนาคไร้ลวดลายมาสวมลงบนนิ้วเรียวเสลาของหล่อน หญิงสาวพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมนั้น ทว่ากลับไร้ผล ไม่ช้าแหวนเกลี้ยงทำจากนาคก็ค่อยๆเลือนหายเข้าไปในโคนนิ้วก้อยของหล่อนอย่างช้าๆ ไม่เจ็บ ไม่รู้สึกรู้สา แต่ในใจของหญิงสาวกลับกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก เอื้องลดารวบรวมสติและเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีกระชากข้อมือออกจากมือของผู้เฒ่า แล้ววิ่งหนีอย่างสุดชีวิต แต่สองหูกลับได้ยินเสียงแหบแห้งนั้นดังไล่หลังมา “จงฮักษามันเอาไว้หื้อดีเอื้องฟ้า”




ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » ศุกร์ 22 มี.ค. 2013 7:14 am

ร่างระหงที่ผุดลุกขึ้นนั่งท่ามกลางความมืดมีอาการเหนื่อยหอบคล้ายคนวิ่งมาจากระยะทางไกลหลายกิโลเมตร ดวงตาคู่สวยกะพริบถี่ คิ้วโก่งขยับเข้าหากันจนเกือบชิด ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเป็นสันตรง ทว่าหัวใจนี่สิที่มันเต้นตึกตักอย่างไม่หยุดหย่อน แต่กระนั้นก็ไม่อาจทำให้รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมสักเท่าใด


เสียงเครื่องปรับอากาศดังอยู่เหนือศีรษะทำให้เอื้องลดารู้ว่าเวลานี้หล่อนอยู่ในโลกแห่งความจริง มิใช่ความฝันดังเช่นเมื่อครู่


เป็นนานหญิงสาวจึงยกมือซ้ายขึ้นทาบหน้าอกตนเอง พรูลมหายใจออกมาด้วยความอัดอั้น เหตุการณ์ในฝันมิได้บีบคั้นจิตใจสักเท่าใดนัก แต่บรรยากาศอันมัวสลัว ชายชุดขาวและแหวนวงนั้นที่ทำให้หล่อนรู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก แปลกนักที่เอื้องลดาไม่ฝันถึงการศึกสงครามเหมือนที่เคยฝันอยู่เป็นประจำ หญิงสาวได้แต่หวังว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดความฝันในค่ำคืนนี้จะเป็นเพราะอ่านนิยายแปลมากเกินไปเท่านั้นเอง มันคงมิได้เป็นลางบอกเหตุใดๆหรอก


คิดได้ดังนั้นเอื้องลดาจึงขยับตัวเอนกายลงไปในท่านอน ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายแค่เอว หลับตาลง พยายามนับแกะ นับเลข อยู่หลายรอบ ก็ยังไม่มีอาการง่วงงุน ใจพานจะคิดถึงแต่เรื่องราวในความฝันอยู่ร่ำไป จนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงเวลาใกล้ๆฟ้าสางหญิงสาวจึงหลับสนิทได้ในที่สุด
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » ศุกร์ 22 มี.ค. 2013 7:15 am

รถสปอร์ตสีแดงเลี้ยวเข้าไปในอาคารขนาดกลางซึ่งเป็นอาคารจอดรถแล้วจึงเคลื่อนเข้าไปจอดบนชั้นสองด้านในสุดตามที่พนักงานได้จัดสรรพื้นที่เอาไว้ให้

หลังรถจอดสนิท มือเรียวจึงถอดแว่นตาสีดำออกจากใบหน้าแล้วหย่อนมันลงในกระเป๋าถือสีเดียวกัน ก่อนจะเอี้ยวตัวไปหาหญิงสาวที่โดยสารมาในรถอีกสองคน “ไปกันได้แล้วน้องมาส คุณมุกเชิญค่ะ”

ทั้งสองคนตอบเพียงว่า ‘ค่ะ’เบาๆพร้อมทั้งเปิดประตูก้าวลงจากรถไปยืนคุยกันรอเจ้าของรถอยู่ห่างๆ

เมื่อสามชั่วโมงที่แล้ว เอื้องลดาได้รับโทรศัพท์จากพิมลมาสหรือมาสซึ่งเป็นรุ่นน้องที่สนิทกันมาตั้งแต่เธอยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกันว่าคุณปู่สุนทรผู้เคยไปเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษเกี่ยวกับเรื่องโบราณวัตถุนั้นต้องการพบตัวโดยด่วน ด้วยความที่เอื้องลดาสนิทสนมกับคุณปู่สุนทรเป็นการพิเศษ เธอจึงรีบแจ้งผู้จัดการส่วนตัวให้โทรศัพท์ไปเลื่อนคิวถ่ายละครซึ่งตนเองรับบทนางเอกอยู่เป็นวันรุ่งขึ้นแทน แต่เพราะละครพีเรียดที่หญิงสาวรับงานเอาไว้นั้นต้องถ่ายทำไกลถึงจังหวัดเชียงใหม่ เอื้องลดาจึงมีเวลาเถลไถลไม่มากนัก เนื่องจากนาถนรีผู้จัดการส่วนตัวของเธอได้จองตัวเครื่องบินเอาไว้ให้ในช่วงบ่ายวันนี้โดยให้เหตุผลว่า “พี่อยากให้เอื้องพักผ่อนสักคืนก่อนถ่ายทำ หน้าตาจะได้ผ่องใส ไม่ใช่ตาลีตาเหลือกมาเข้าฉากหลังลงจากเครื่องไม่กี่ชั่วโมงกลายเป็นนางเอกซอมบี้ไป”

ล็อกรถเสร็จแล้ว ดาราสาวจึงก้าวลงจากฝั่งคนขับไปสมทบกับหญิงสาวอีกสองคนและเอ่ยถามพิมลมาสด้วยความสงสัย“คุณปู่บอกหรือเปล่าน้องมาส ว่าอยากพบพี่เรื่องอะไร ทำไมถึงย้ำว่าให้มาพบก่อนที่จะเดินทางไกลให้ได้”

สาวน้อยสั่นหน้า ตอบโดยไม่ต้องคิด “ไม่ได้บอกอะไรเลยค่ะ มาสเองก็เพิ่งทราบเรื่องจากคุณพ่อตอนเช้านี้เหมือนกัน เห็นว่าคุณลุงอานนท์ฝากท่านมาบอกมาสอีกทีน่ะค่ะ”

คิ้วคู่สวยของเอื้องลดาขยับเข้าหากันชั่วครู่จึงคลายออก เธอไม่เข้าใจเหตุผลของอีกฝ่ายเท่าใดนัก แต่ก็พยายามปัดความข้องใจออกด้วยการหันไปชวนมุกตาภาคุยแทน เพราะแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นนักข่าวสายบันเทิงที่พบกันบ่อยอยู่แล้ว แต่ในเวลาทำงานก็ไม่ค่อยมีเวลาเมาท์มอยกันนัก ด้วยต่างคนต่างก็มีหน้าที่รับผิดชอบ"คุณปู่ให้น้องมาสตามคุณมุกมาเหมือนกันหรือคะ”

“เปล่าหรอกค่ะ พอดีวันนี้มุกว่างก็เลยไปเยี่ยมยายมาสที่บ้าน พอถูกชวนมาที่นี่ต่อก็ตกลงทันทีเลย”เหยี่ยวข่าวสาวตอบอย่างคล่องแคล่วตามบุคลิก ดวงหน้าสวยเก๋มีรอยยิ้มระบายอยู่จางๆ

สามสาวเดินลัดเลาะถนนสายเล็กๆอันเต็มไปด้วยร้านรวงสองข้างทางเข้าไปจนเกือบสุดซอยจึงมองเห็นเรือนไม้สองชั้นทาสีเขียวโดดเด่นอยู่ท่ามกลางอาคารลักษณะคล้ายๆกัน ด้านหน้าอาคารแต่ละหลังมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่เป็นแนวทำให้ดูร่มรื่นไม่แห้งแล้ง โดยเฉพาะหน้าร้านขายของเก่าที่สามสาวกำลังเดินทางไปนั้น แม้จะมีพื้นที่ว่างน้อยนิด แต่เจ้าของร้านก็สู้อุตส่าห์นำไม้อัดมาประกอบกันเป็นชั้นๆ สำหรับวางกระถางดอกไม้ซึ่งปลูกไม้ดอกต้นเล็กๆเอาไว้อย่างสวยงาม

“ถึงแล้ว เฮ้อ!วันนี้พี่รู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ ปกติก็มาหาคุณปู่อยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยเป็นแบบนี้เลย”เอื้องลดาพึมพำ

“สงสัยพี่เอื้องไม่ได้มาพบคุณปู่นานแล้วมั้งคะ”พิมลมาสพยายามเดา

คนตื่นเต้นพยักหน้าคล้อยตามเมื่อมองไม่เห็นเหตุผลอื่นที่ดีกว่านี้ ดวงตาคู่สวยทอดมองไปยังไม้ดอกสีสันสวยงามในกระถางเล็กๆพลางเปรย“คุณปู่เคยพูดอยู่บ่อยๆว่าการพบกันมันเป็นเรื่องของวาสนา”เอื้องลดาเสริมทั้งที่สายตาจับจ้องดอกไม้สีบานเย็นดอกจ้อยในกระถางนิ่ง

“คงจะอย่างนั้นแหละค่ะ”มุกตาภาเห็นด้วย

การสนทนาของสามสาวยุติลงเพียงเท่านั้นเมื่อเอื้องลดาผลักบานประตูเข้าไปในร้านขายของเก่า กระดิ่งที่แขวนอยู่ด้านนอกประตูแกว่งไกวส่งเสียงดังกรุ๋งกริ๋งเป็นเหตุให้ชายกลางคนร่างสันทัดซึ่งนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์หันขวับมามอง “อ้าว เด็กๆมากันแล้วรึ คุณปู่นั่งรออยู่ที่ระเบียงหลังร้านโน่นแนะ”

“คุณลุงสวัสดีค่ะ”สาวสวยทั้งสามยกมือขึ้นทำความเคารพและเอ่ยขึ้นเกือบพร้อมๆกัน

คุณอานนท์รับไหว้และทักทายผู้อ่อนวัยกว่าอย่างใจดี จวบจนมีลูกค้าเดินเข้ามาสอบถามราคาสินค้า เขาจึงชี้บอกทางไประเบียงก่อนหันกลับมาคุยกับลูกค้าของตนอย่างสุภาพ

เสียงไอลอยมาตามลมเป็นระยะๆระหว่างที่สามสาวกำลังเดินตามทางเดินแคบๆไปยังประตูหลังร้านซึ่งผู้ชรานั่งรออยู่ก่อนแล้ว

เอื้องลดาได้ยินก็หันมาสบตาพิมลมาส “คุณปู่ไม่สบายนี่ มิน่าล่ะ”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » ศุกร์ 22 มี.ค. 2013 7:15 am

“คุณปู่สวัสดีค่ะ”เสียงทักทายของสามสาวเป็นเหตุชายสูงวัยในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีขาว กางเกงแพรสีน้ำเงินซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกและหญิงสาวร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนที่นั่งอยู่บนตั่งไม้เตี้ยๆเงยหน้าขึ้นมองพลางยิ้ม

“มากันแล้ว ดีๆมานั่งนี่ก่อนหลานๆ”ปู่สุนทรเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงที่ปกปิดความยินดีเอาไว้ไม่มิด

ชายชราถือว่าเด็กสาวทั้งสี่เป็นเสมือนลูกหลาน เนื่องจากได้รู้จักและเกื้อกูลกันมานานจนรู้สึกผูกพัน

“คิดถึงคุณปู่จังค่ะ ไม่ได้คุยกันนานเลย”พิมลมาสประจบด้วยเสียงออดอ้อน

ปู่สุนทรหัวเราะเบาๆแล้วแกล้งพูดดักคอเสียงดุ “จะมาคิดถึงอะไรคนแก่ ตั้งแต่ปู่แก่ตัวลงจนไปมหาวิทยาลัยไม่ไหวก็ไม่มีใครสนใจปู่หรอก แม่นางเอกนั่นก็เหมือนกัน เห็นแต่ในทีวี”

“โธ่ คุณปู่คะ พวกเราก็คิดถึงคุณปู่ตลอดแหละค่ะ เพียงแต่ไม่ค่อยว่างเหมือนตอนเรียนเท่านั้นเอง”เอื้องลดาออกตัวยิ้มๆ หลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้ว “คุณปู่ไม่สบายหรือคะ ตอนเดินเข้ามาเอื้องได้ยินเสียงคุณปู่ไอเป็นวรรคเป็นเวร”

“โรคคนแก่นั่นแหละลูก มันเป็นธรรมดาของสัตว์โลก เมื่อความเกิดมีแล้ว ความแก่ ความตายมันก็ต้องมีอยู่ ไม่มีใครพ้นตายได้หรอก เกิดก็เกิดเต็มแผ่นดิน ตายก็ตายเต็มแผ่นดิน อยู่ เกิด แล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิดอยู่นี่แหละ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันครอบงำเราอยู่ทุกเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจงใช้ชีวิตด้วยความประมาทและอย่าวิตกกังวลให้มากจนเกิดความทุกข์”ปู่สุนทรตอบกลั้วหัวเราะราวกับพูดถึงเรื่องอันน่าขบขัน ทำให้ไหล่อันลู่ค้อมตามวัยนั้นสั่นน้อยๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะเอนหลังลงไปแนบเก้าอี้

สำหรับผู้ชราที่ฝักใฝ่อยู่ในธรรมะนั้นย่อมปลดปลงไม่ยึดติดอยู่กับอำนาจของสังขารอีกต่อไป การกล่าวถึงความเจ็บ ความตายจึงเป็นเรื่องสามัญของโลก

เอื้องลดามองร่างอันซูบเซียวของผู้สูงวัยพลางระบายลมหายใจออกมาเบาๆเมื่อเห็นว่ารูปร่างของปู่สุนทรนั้นดูผ่ายผอมลงอย่างน่าใจหาย แต่ก็คงเหมือนดังที่พระท่านได้สอนเอาไว้กระมัง ว่าทุกสิ่งในโลกนี้มีเกิดก็ย่อมมีดับ ทุกคนใช้ชีวิตอยู่บนโลกเพื่อรอเวลาของตน หากเธอเข้าสู่ปัจฉิมวัยดุจเดียวกันก็คงจะปลงต่อชีวิตได้มากกว่านี้

“แล้วหนูมุกล่ะเป็นยังไงบ้าง”ปู่สุนทรหันไปถามผู้ที่นั่งเงียบอยู่ด้านหลังพิมลมาสบ้าง

“มุกสบายดีค่ะคุณปู่ ไม่ได้มากราบคุณปู่นานแล้ว คิดถึงจังเลยค่ะ”มุกตาภาออดบ้าง

พิมลมาสขยับถอยหลังให้พี่สาวเขยิบเข้ามาหาผู้ชราใกล้ๆ แล้วเล่าว่า “ตอนแรกพี่มุกเขาจะไปธุระที่อื่นค่ะคุณปู่ แต่สุดท้ายก็ตามมาสมาต้อยๆ”

“แหมก็ไม่ได้รวมตัวกันนานแล้วนี่คะ” มุกตาภาตอบก่อนจะหันไปยิ้มให้ชลิยา “ตอนแรกนึกว่าวันนี้จะไม่เจอคุณเชอร์รี่เสียแล้ว ยังนึกเสียดายอยู่เลยค่ะ ”

“สงสัยดวงพวกเราจะสมพงษ์กัน” เอื้องลดาช่วยสรุป

สิ้นคำของดาราสาว ชลิยาจึงหันมาตอบอย่างอารมณ์ดีว่า “เหมือนมีอะไรดลใจให้อยากมาที่นี่น่ะค่ะ ว่าแต่คราวนี้คุณเอื้องท่าทางจะสบายใจดี ดูสิสวยเช้งเลย”

เอื้องลดาหัวเราะ มองเห็นรอยบุ๋มปรากฏชัดอยู่บนสองข้างแก้มแล้ววางมือทาบลงเหนือมือนักเขียนบทสาวเบาๆ “แหม นักเขียนบทนี่เขาปากหวานกันจังนะคะ แล้วคุณเชอร์รี่ล่ะ เป็นไงบ้าง งานเขียนบทหนักไหม เห็นผู้กำกับบอกว่าคุณเชอร์รี่เป็นคนเขียนบทละครตราบสิ้นอสงไขยที่กำลังจะถ่ายทำใช่ไหม”

ชลิยาย่นจมูก “ใช่ค่ะ งานหินและละเอียดมาก หนักหนาสาหัสเสียจนแทบไม่ได้นอนเลยล่ะค่ะคุณเอื้อง บางวันหัวไม่แล่นก็ต้องพยายามคิดเสียจนหัวแทบแตก”

“เอาน่า เก่งอยู่แล้วนักเขียนบทมือทอง”เอื้องลดาบีบมือชลิยาเบาๆอย่างให้กำลังใจ

เอื้องลดาได้ยินชื่อเสียงของชลิยามาตั้งแต่เริ่มเข้าวงการใหม่ๆ หลายครั้งหลายคราที่เธอต้องเป็นผู้แสดงตามบทบาทที่ชลิยาเป็นผู้กำหนด และเมื่อนักเขียนบทคนดังไปเยี่ยมกองถ่าย ทั้งสองจึงเริ่มทำความรู้จักกัน ทว่าผู้ที่ทำให้สนิทสนมมากยิ่งขึ้นก็คือคุณปู่สุนทรนั่นเอง

เมื่อทักทายกันพอหอมปากหอมคอแล้ว เอื้องลดาจึงขยับนั่งตัวตรง จ้องเจ้าของบ้านตาแป๋วพลางถาม “คุณปู่มีอะไรจะใช้เอื้องหรือเปล่าคะ”

ปู่สุนทรมองหน้าหญิงสาวทีละคนแล้วจึงตรึงสายตาเอาไว้ที่เอื้องลดาซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับตน กล่าวเบาๆ“ปู่จะบอกกับทั้งสี่คนว่า ทุกคนมีดวงชะตาที่คล้ายๆกัน จึงได้มาพบและช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีอะไรก็จงพูดกันตรงๆอย่าปิดบัง เผื่อมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที”

“จะมีเรื่องที่ไม่ดีเกิดขึ้นหรือคะคุณปู่”มุกตาภาเป็นผู้ถาม

“ชีวิตมนุษย์มีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายผ่านเข้ามา บางครั้งก็ร้ายก่อนดี บางทีก็ดีก่อนร้าย อย่าไปคิดมากกับเรื่องที่มันยังไม่เกิด เออ ลืมเรื่องสำคัญไปเลย ที่ปู่เรียกเอื้องมาวันนี้เพราะมีของสิ่งหนึ่งจะมอบให้เจ้า”

“ให้เอื้องหรือคะ”เอื้องลดาถามซ้ำงงๆ

“ใช่ ให้เจ้านั่นแหละ แบมือออกสิ”ผู้ชราย้ำเสียงหนัก

สามสาวต่างหันมองเอื้องลดาเป็นตาเดียว ขณะที่ผู้เป็นจุดสนใจยื่นมือออกไปเบื้องหน้าช้าๆ

ปู่สุนทรยิ้มน้อยๆที่มุมปากก่อนวางของบางสิ่งลงบนอุ้งมือขาวผ่องนั้น “จงสวมมันติดตัวเอาไว้ อย่าได้ถอด”

มือเรียวสั่นน้อยๆเมื่อมองเห็นแหวนนาคอันคุ้นตา “เอ่อ คุณปู่จะให้เอื้องสวมแหวนนี่หรือคะ”

“ก็ใช่น่ะสิ สงสัยอะไรล่ะ แหวนนี้เป็นแหวนที่จะช่วยคุ้มครองเจ้าจากเภทภัยต่างๆ”

“แต่ว่า เอื้อง...”คำปฏิเสธจ่ออยู่ที่ปากของดาราสาวเมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ในฝันเมื่อคืนที่ผ่านมา

“สวมนิ้วเจ้าไว้สิ”ปู่สุนทรเอ่ยสำทับ

“แล้วมัน เอ่อ มันจะจมเข้าไปในเนื้อของเอื้องหรือเปล่าคะคุณปู่”หญิงสาวถามเสียงอ่อย

“บ๊ะ ไอ้เจ้านี่มันเรื่องมากเสียจริง พูดเป็นตลกคาเฟ่ไปได้ มันจะเข้าในนิ้วหรือเปล่า อยากรู้เจ้าก็ลองใส่เข้าไปในนิ้วสักทีสิ”

เอื้องลดามองแหวนในอุ้งมือนิ่ง ชลิยาจึงสะกิด “สวมเถอะค่ะคุณเอื้อง ดูท่าทางจะเป็นแหวนมงคลนะคะ”

“แต่ว่า...”

“มาสใส่ให้ไหมคะพี่เอื้อง”พิมลมาสอาสาช่วยเมื่อเห็นท่าทางเก้ๆกังๆของสาวรุ่นพี่

เอื้องลดาสูดลมหายใจเข้าปอดยาวๆ จากนั้นจึงหันไปตอบสาวน้อยคนเล็ก “ไม่เป็นไรจ้ะพี่ใส่เองได้”

กระนั้นมือขวาของเธอก็ยังสั่นๆขณะจ่อแหวนไว้ที่ปลายนิ้วก้อยข้างซ้ายของตน

ค่อยๆดันมันเข้าไปอย่างช้าๆประวิงเวลาให้เนิ่นนานที่สุด ใจคอพลอยกังวลไปสารพัด

แหวนเลื่อนเข้าไปจนสุด เจ้าของมือจ้องมองนิ้วตนเองนิ่ง หวั่นเกรงว่าจะเกิดปาฏิหารย์ขึ้นดุจเดียวกับในความฝัน

แต่ก็ไม่…

“ดีแล้ว อย่าถอดมันออกนะเอื้องลดา”ผู้ชราเน้นย้ำน้ำเสียงจริงจัง

“ขอบคุณค่ะคุณปู่”เอื้องลดายกมือขึ้นไหว้ก่อนจะขยับถอยหลังออกมานั่งเคียงพิมลมาส จากนั้นจึงนั่งนิ่งเงียบฟังมุกตาภาที่กำลังเอ่ยชมผลงานของนักเขียนบทมือทอง“มุกดูละครที่คุณเชอร์รี่เขียนบทมาหลายเรื่องแล้ว อยากจะบอกว่าสนุกมากกกกก”เธอลากเสียงคำว่ามากยาวเหยียด

สาวน้อยคนเล็กจึงหันไปถามพี่สาวบ้าง “พี่มุกพูดเหมือนไม่ค่อยได้เจอพี่เชอร์รี่ ทำงานวงการบันเทิงเหมือนกันแท้ๆ เวลาเจอกันตามงานทำไมไม่ชมล่ะ พี่เขาจะได้ดีใจ”

ชลิยาหันไปขอบคุณนักข่าวสาวแล้วจึงเอียงหน้ามองผู้อ่อนวัยกว่า “พี่ไม่ใช่ดารานะคะน้องมาส พี่อยู่เบื้องหลังจ้ะ ไม่ค่อยได้ไปงานประกาศผลรางวัลกับเขาหรอก ชอบอยู่เงียบๆมากกว่า”

“ตอนที่ยังไม่รู้จักกัน มุกเคยเจอคุณเชอร์รี่อยู่บ่อยๆเวลาไปงานของช่องน่ะค่ะ คุ้นๆตาอยู่ แต่พอรู้จักกันแล้วไม่ค่อยเห็นหน้าเลย”มุกตาภาบอกเจือยิ้ม

“ก็ไม่เป็นไรนี่คะ ไม่เจอกันตามงานก็มาเจอกันที่บ้านคุณปู่ได้”ชลิยาพูดแล้วยิ้มพราย

“จริงแฮะ” มุกตาภาเออออ

เอื้องลดาก้มลงมองนาฬิกาข้อมือของตนเองก่อนเงยหน้าขึ้นมองปู่สุนทรด้วยแววตาละห้อย “คุณปู่คะเอื้องคงต้องขอตัวก่อนล่ะค่ะ ต้องเดินทางวันนี้ตอนบ่ายๆ”

ปู่สุนทรพยักหน้า “อืม ขอให้เจ้ารักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีเถิดหลาน”

หญิงสาวยกมือขึ้นพนม ก้มศีรษะลงจรดปลายนิ้วช้าๆ

พลันนั้นแสงสว่างก็ทอประกายเจิดจ้าขึ้นบริเวณโคนนิ้วก้อยซ้ายของเธอ หญิงสาวตกใจจนแทบผงะแต่ก็กลบเกลื่อนอาการด้วยการขอตัวกลับในทันที อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เอื้องลดามั่นใจว่า คนแก่วัยเจ็ดสิบปีอย่างปู่สุนทรจะต้องมีความจริงบางอย่างซุกซ่อนอยู่ในใจเป็นแน่ แต่กระนั้นคงต้องรอให้ถึงเวลาเสียก่อนทุกอย่างจึงจะเปิดเผยตนเอง ดังที่คุณปู่เคยพูดเป็นปริศนาให้ฉงนอยู่บ่อยๆ
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พฤหัสฯ. 11 เม.ย. 2013 7:22 pm

บทที่ ๒

หญิงสาวในชุดเสื้อยืดสีแดงทับด้วยแจ๊กเก็ตสีดำยาวคลุมมาถึงกางเกงยีนเดินลากกระเป๋าออกมายังอาคารพักผู้โดยสารท่าอากาศยานเชียงใหม่ด้วยท่าทีสบายๆ เพราะรู้ดีว่าผู้จัดการส่วนตัวของตนได้จัดเตรียมให้คนมารอรับอยู่แล้ว


เสียงประกาศจากประชาสัมพันธ์ระคนเสียงผู้คนรอบตัวฟังไม่ได้ศัพท์ แต่หญิงสาวก็มิได้ให้ความสนใจ หล่อนเดินมานั่งแหมะลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเล่นเฟสบุ๊กฆ่าเวลา


“คุณเอื้องลดาใช่ไหมครับ”น้ำเสียงสุภาพของใครบางคนดังขึ้นข้างตัว


นางเอกสาวเงยหน้าขึ้นมองพร้อมทั้งคลี่ยิ้ม “ใช่ค่ะ”


“ทางพิงครัตน์รีสอร์ตให้ผมมารับคุณ นี่นามบัตรของคุณชยานนท์เจ้าของรีสอร์ตครับ”เขายื่นกระดาษแผ่นเล็กๆให้หล่อนดูเพื่อเป็นการยืนยัน


“อ๋อค่ะ รถอยู่ทางไหนคะ”เอื้องลดารีบลุกขึ้นยืน หล่อนต้องการไปถึงที่พักเร็วๆเพราะอยากพักผ่อนเต็มทีแล้ว


ชายหนุ่มผายมือไปทางด้านขวามือก่อนจะขอกระเป๋าของหล่อนไปถือเสียเอง จากนั้นจึงเดินนำไปยังรถที่จอดอยู่บริเวณด้านนอกของตัวอาคาร


“เชิญครับ”ชายหนุ่มผู้นั้นเปิดประตูรถให้แล้วจึงค่อยเดินอ้อมไปยังฝั่งคนขับและเคลื่อนรถออกไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปร่วมสิบนาทีเอื้องลดาเริ่มรู้สึกว่าความเงียบขรึมของเขาทำให้บรรยากาศในรถดูอึมครึมมิใช่น้อย จึงพยายามชวนคุย “ทางกองถ่ายจัดให้นักแสดงพักที่โรงแรมในตัวเมืองไม่ใช่เหรอคะ ทำไมเอื้องถึงได้ไปพักที่รีสอร์ตล่ะคะ”


คนขับปรายตามองกระจกส่องหลังนิดหนึ่ง ยิ้มน้อยๆตอบเสียงเรียบ “เป็นความประสงค์ของคุณนัท เอ่อคุณนาถนรี ผู้จัดการส่วนตัวของคุณเอื้องลดาเองน่ะครับ”


‘อ้อ นี่ก็แสดงว่าพี่นัทเป็นคนจัดการเองทั้งหมดสิเนี่ย’หล่อนนึกในใจ ขณะที่ปากก็ชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย “คุณรู้จักชื่อเล่นพี่นัท แสดงว่าพี่นัทก็คงคุ้นเคยกับทางรีสอร์ตพอสมควรสิคะ”


“คุณนัทมาพักที่นี่บ่อยครับ เธอเป็นเพื่อนกับคุณนนท์ เจ้าของรีสอร์ตน่ะฮะ”เขายังคงตอบอย่างสุภาพเช่นเคย


‘หมอนี่รู้ลึก ท่าทางจะไม่ใช่พนักงานธรรมดา’หญิงสาวประเมินสารถีของตนในใจ”ขอโทษนะคะ คุณเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายไหนของรีสอร์ตคะ”
“ผมเป็นผู้จัดการรีสอร์ตครับ”


“อ้าว แล้วนี่ทางรีสอร์ตให้ผู้จัดการเป็นคนขับรถมารับเอื้องเลยหรือคะ เกรงใจจัง”


คราวนี้เขาหัวเราะ “อย่าเกรงใจเลยครับ ช่วงนี้เป็นฤดูกาลท่องเที่ยว คนขับรถของเราถูกใช้บริการเยอะครับ ผมก็เลยอาสามาเอง เพราะสนิทกับคุณนัทเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว”


เอื้องลดาหัวเราะบ้าง “อ๋อ ใช้เส้นพี่นัทนี่เอง ขอบคุณมากค่ะคุณ”


เขานิ่งไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ต้องขอโทษนะครับผมลืมแนะนำตัวไป ผมชื่อนัยภาคครับ เรียกสั้นๆว่านัยก็ได้”


“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณนัย แล้วนี่พี่นัทสั่งอะไรถึงเอื้องอีกไหมคะ”


“ไม่มีนี่ครับ แต่ได้ยินว่าอีก3-4วันเธอจะมาที่นี่ เธอกำลังจะหุ้นกับพี่นนท์เปิดร้านอาหารอิตาเลียนอยู่ๆแถวๆสี่แยกรินคำน่ะฮะ ช่วงนี้น่าจะไปๆมาๆระหว่างเชียงใหม่-กรุงเทพฯบ่อย”


“อ๋อค่ะ ว่าแต่พิงครัตน์รีสอร์ตนี่ก็อยู่ไกลเหมือนกันนะคะ”หล่อนถามขณะที่สายตามองออกไปนอกกระจกรถ


“ตั้งอยู่เลยตัวเมืองออกไปทางทิศเหนือน่ะครับ”


“รีสอร์ตนี่มีมานานหรือยังคะ”


“เพิ่งเปิดครบ4 ปีไปเมื่อเดือนที่แล้วนี่เองครับ พอดีคุณป้า เอ่อ...เจ้าสกุลรัตน์ท่านซื้อที่แถวนี้ไว้ผืนหนึ่งก็เลยสร้างคุ้มเวียงพิงค์เอาไว้ใกล้ๆรีสอร์ตด้วยเพราะอากาศดีกว่าในเมือง”


“แสดงว่าวิวน่าจะสวย”


“ครับ เป็นรีสอร์ตที่เต็มไปด้วยดอกไม้เมืองหนาว ทิศตะวันตกก็มองเห็นดอยสุเทพเด่นชัด ส่วนทิศตะวันออกก็เป็นแม่น้ำน่ะครับ”


“แม่น้ำปิงใช่ไหมคะ”


“ไม่ใช่ครับ เป็นแม่น้ำสายเล็กๆครับ แต่ก็สะอาดน่าลงเล่น”


“สาธยายจนเห็นภาพแบบนี้เอื้องชักอยากจะเห็นของจริงแล้วล่ะค่ะคุณนัย”


“ถ้าคุณเอื้องสนใจ ว่างๆผมขออนุญาตพาไปชมนะครับ”


“ขอบคุณค่ะ”หญิงสาวเอ่ยขอบคุณแล้วจึงซักถามเกี่ยวกับเรื่องของกองถ่ายซึ่งนัยภาคก็เล่าให้ฟังอย่างละเอียดเพราะเขามีหน้าที่ดูแลโดยตรงอยู่แล้ว สองหนุ่มสาวพูดคุยกันอย่างถูกคอจนรถเคลื่อนเข้ามาถึงพิงครัตน์รีสอร์ต นางเอกสาวจึงปลีกตัวเข้าที่พักซึ่งผู้จัดการหนุ่มได้จัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อย
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พฤหัสฯ. 11 เม.ย. 2013 7:22 pm

เพลงรีมิกซ์จังหวะกระชั้นเงียบเสียงลงปล่อยให้บทเพลงช้ารื่นหูดังขึ้นแทนที่


หญิงสาวร่างระหงซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆเวทีหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อเจ้าหน้าที่ในผับเปิดไฟทุกดวงจนสว่างจ้า หล่อนหันมองรอบกายแล้วหัวเราะกับเพื่อนๆเบาๆเมื่อพบว่าเทพบุตรเทพธิดาที่ได้เห็นก่อนหน้ากลายร่างเป็นคนเมาใบหน้ามันแผล็บไปเสียแล้ว ไม่ได้ดูดีเหมือนยามอยู่ภายใต้ความสลัวรางเมื่อครู่เลย


เมรินนั่งตัวตรงใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆดวงตาเคลื่อนไปยังด้านหลังเวทีคล้ายมองหาใครอยู่ แต่กลับต้องปรายตากลับมามองเพื่อนร่วมโต๊ะที่บ่นอุบด้วยความขัดใจ“ตีหนึ่งปุ๊บ เปิดไฟไล่ปั๊บเลยนะพี่นนท์ของเธอเนี่ยยายเมรัย”


เมรินค้อนขวับ โพล่งตอบทันควัน “แหม เธอก็ขี้บ่นจังนะยายสา แม่นางร้ายเรื่องมาก พี่นนท์น่ะเขาไม่ใช่คนงกนี่จะได้เปิดเกินเวลาเหมือนคนอื่นๆน่ะ รู้ไว้นะยะว่าคุณแม่พี่เขาเป็นเจ้าเป็นนาย ไม่ใช่ตระกูลไก่กาอย่างพวกผู้ชายที่มาติดพันเธอนะจ๊ะ รู้จักไหมล่ะเจ้าสกุลรัตน์น่ะ ท่านออกจะโด่งดังในวงสังคมไฮโซ”


เมรินและเพื่อนๆเป็นดารานางแบบชื่อดังแห่งวงการบันเทิงเมืองไทย หล่อนทั้งสามคนเดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่เพื่อถ่ายทำละครพีเรียดเรื่องหนึ่ง เมื่อเว้นว่างจากการทำงานจึงออกมาตระเวนราตรีคลายเครียด และต่างก็ลงความเห็นว่าอยากมาเที่ยวที่ รีแล็กซ์ผับ แห่งนี้ เนื่องจากเมรินสนิทสนมกับเจ้าของผับเป็นอย่างดี


สุนิสาหันไปขยิบตาใส่เอริน่านางแบบสาวลูกครึ่งซึ่งมาถ่ายละครเรื่องเดียวกันก่อนจะบ่ายหน้ากลับไปหาเมรินอีกครั้ง “จ้ะ ว่าที่ลูกสะใภ้เจ้า แม่นางเอกขี้วีน ฉันขอให้เธอจับหนุ่มเชื้อเจ้าได้สำเร็จก็แล้วกัน”


“ชวู่...เงียบได้แล้ว ดูสิใครกำลังมา”เอรินารีบเบรกเพื่อนทั้งสองเมื่อเห็นร่างสูงของผู้กำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาเดินเข้ามาที่โต๊ะ


เมรินและสุนิสาจึงยุติการประคารมพร้อมทั้งปรับเปลี่ยนกิริยาให้ดูเป็นดาราสาวผู้สวยสง่าประหนึ่งว่ากำลังนั่งอยู่หน้ากล้องถ่ายละครก็ไม่ปาน


บุคคลที่เจนจัดต่อสังคม ย่อมรู้ดีว่าควรแสดงกิริยากับบุคคลใดในระดับไหน


“เมากันหรือยังครับสาวๆ”ชยานนท์ถามพลางนั่งลงบนเก้าอี้ทรงสูงข้างๆเมริน หญิงสาวชายตามองเขาเล็กน้อย สั่นหน้าตอบ “ยังไม่เมาหรอกค่ะ พวกเราดื่มกันสนุกๆ แก้เซ็งจากกองถ่ายน่ะค่ะ”


“เซ็งเรื่องอะไรกันหรือครับ คนดังอย่างลิลลี่ คุณรีนา แล้วก็คุณสานี่ยังมีใครกล้าทำให้ไม่พอใจอีกหรือครับ”ชายหนุ่มถามอย่างเอาใจ


เมรินยกริมฝีปากขึ้นยิ้มอย่างพึงพอใจ ทว่าก็ยังถ่อมตน “แหม ก็ไม่ดังเท่าไหร่หรอกค่ะพี่นนท์ ดูอย่างละครเรื่องใหม่ของลิลลี่นี่เถอะยังมีดารานำหญิงตั้งสองคนเลย”


“อ้าว มีนางเอกสองคนเลยหรือครับ”


เมรินพยักหน้า ไม่ยอมพูดต่อเนื่องจากไม่อยากบอกเขาว่า ตนเองเป็นดารานำก็จริงอยู่ แต่เป็นตัวร้ายไม่ใช่นางเอกที่คู่กับพระเอกอย่างนางเอกสาวอีกคน


สุนิสายักไหล่ จากนั้นจึงตอบเสียเองว่า “ก็แม่เอื้องลดานางเอกอีกคนนี่แหละค่ะที่ทำให้พวกเราต้องมาหงุดหงิดกัน มีคิวถ่ายละครพรุ่งนี้แท้ๆดันขอเลื่อนเป็นวันมะรืน เสียเวลาจริงๆ คงจะติดงานอีเวนท์ค่าตัวแพงลิ่วไงคะถึงมาไม่ได้”


“เขาคงมีธุระจริงๆแหละสา รีนาเคยได้ยินมาว่าคุณเอื้องเธอเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงคนนึงเลยนะ”เอรินาโต้อย่างกลางๆแต่กลับทำให้เกิดรอยขุ่นในแววตาของเมริน ทว่าชั่วครู่เธอก็ปัดความรู้สึกนั้นทิ้ง ขณะส่งยิ้มละไมให้ชยานนท์ “นิดๆหน่อยๆก็หยวนๆกันไปดีกว่า จริงไหมคะพี่นนท์”


หนุ่มคนเดียวในโต๊ะพยักหน้า “ใช่แล้วครับ”


“วันนี้ลิลลี่เข้าฉากที่ท่าน้ำด้านหลังรีสอร์ตของพี่นนท์ ชอบจัง วิวสวยมากเลยนะคะ”


“ถ้าสถานที่ถ่ายทำขาดตกบกพร่องอะไรก็บอกได้เลยนะครับ พี่จะได้ให้เจ้าหน้าที่แก้ไขให้”


เขาออกตัวเนื่องจากกองถ่ายละครที่สามสาวร่วมแสดงใช้รีสอร์ตของชายหนุ่มเป็นสถานที่ถ่ายทำ เพราะอยู่ติดกับโบราณสถานเก่าแก่ซึ่งเป็นฉากหลักของการถ่ายทำครั้งนี้


“ทางรีสอร์ตเตรียมพร้อมที่สุดแล้วล่ะค่ะ เอ ลิลลี่ว่าพวกเรากลับโรงแรมกันก่อนดีกว่านะ พรุ่งนี้มีคิวถ่ายทำตอนสายๆนอนน้อยเดี๋ยวไม่สวย”


“ถ้างั้นให้พี่ไปส่งนะครับ”ชยานนท์ลุกขึ้นยืนหลังพูดจบ


“อย่าลำบากเลยค่ะ โรงแรมอยู่ใกล้ๆนี่เอง”เมรินบ่ายเบี่ยง


เพื่อนทั้งสองหันมองหน้ากันและอมยิ้ม ด้วยรู้ดีว่าเพื่อนพยายามวางท่ายามอยู่ต่อหน้าชายหนุ่มผู้นี้เสมอ


“ไม่ลำบากเลยครับ เชิญครับ”เขาผายมือเชื้อเชิญแล้วจึงถอยห่างจากโต๊ะเพื่อให้ลูกค้าสาวเดินออกมาได้อย่างสะดวก


ระหว่างเดินสุนิสาจึงเอียงหน้าไปกระซิบข้างหูเมรินเบาๆ “อุตส่าห์มาดักพบเขาเสียขนาดนี้ แต่พอเขาตกหลุมพรางทำเป็นปฏิเสธนะลิลลี่”


เมรินมองหน้าเพื่อนยิ้มๆ “แน่นอนสิ พี่นนท์จะต้องเห็นว่าลิลลี่ไม่ใช่ผู้หญิงง่ายๆที่หาได้ตามท้องถนนเหมือนคนอื่นๆ”
“คิดว่าจะต้องคว้าเอาไว้ให้ได้ว่างั้นเถอะ เห็นทำตัวนิ่งๆแบบนี้ ได้ยินมาว่าเจ้าชู้มากไม่ใช่เหรอพี่นนท์เนี่ย”


เมรินยิ้มมุมปาก ดวงตาวาวประกาย “อาจจะใช่ ก็พี่นนท์ไม่ใช่ผู้ชายที่มีแต่เปลือกนี่สา พี่เขาเป็นคนโปรไฟล์ดี ใครๆก็อยากเป็นเจ้าสาวของเขาทั้งนั้นแหละ เมื่ออยากได้ก็ต้องลงมือไขว่คว้า ดังนั้นคงไม่แปลกที่เขาจะมีผู้หญิงรุมล้อมมากมาย แต่ลิลลี่มั่นใจว่าเอาอยู่”


สุนิสายกนิ้วให้เพื่อนรัก จากนั้นจึงลอบมองหนุ่มหล่อที่กำลังเดินตามมาแล้วหัวเราะในลำคอเบาๆ


เดี๋ยวก็รู้ว่าใครกันแน่ที่จะ...เอาอยู่
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พฤหัสฯ. 11 เม.ย. 2013 7:22 pm

เมื่อมองเห็นป้ายสีขาวตัวหนังสือสีทองภายใต้แสงไฟสีนวลเขียนว่า”คุ้มเวียงพิงค์”รถสปอร์ตสีดำจึงเลี้ยวเข้าไปตามถนนคอนกรีตซึ่งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ร่มครึ้ม จวบจนถึงหน้าเรือนไม้สักทองหลังใหญ่ ชยานนท์จึงเคลื่อนรถเข้าจอดในโรงรถซึ่งอยู่ถัดไปแล้วก้าวลงมาจากรถเพื่อขึ้นสู่ตัวบ้านซึ่งยังมีแสงไฟสว่างไสวอยู่ทางปีกซ้ายอันเป็นโซนห้องนอนของชยานนท์


ระหว่างที่กำลังเดินคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้นชยานนท์ก็รู้สึกว่าถูกสะกิดแขนบริเวณใกล้ๆข้อศอก


เมื่อเขาหันกลับไปมองจึงพบว่าเป็นเด็กหญิงผมจุกวัยประมาณหกขวบในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีขมิ้น ผ้าซิ่นสีดำแดงแต่งเชิงไว้ตรงชายผ้ากำลังยืนยิ้มหน้ากลมแป้นรออยู่

“หมากคำเจ้าแอบหนีมาเล่นอีกแล้วสิ”


หนูน้อยหัวเราะกิ๊ก เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มร่างสูงก่อนตอบ “บ่ได้หนี ข้าเจ้าเตียวออกมาบ่ดาย”

คนฟังหัวเราะ “เดี๋ยวก็ถูกพ่อปู่ตีเอาหรอก”


“พ่อปู่บ่อยู่ดอก วันนี้วันศีล เปิ้นไปถือศีลภาวนาตี้ดอยหลวงพู้น”


“แล้วหมากคำจะไปไหน หรือมาดักรอพี่”


หมากคำพยักหน้า “ข้าเจ้าก้าย มีคนมาวุ่นวายตี้เมือง น่ารำคาญ”


ชญานนท์เลิกคิ้ว “คนเหล่านั้นเขามาถ่ายละครกัน เขาทำพิธีเซ่นไหว้แล้วนี่หมากคำ พ่อปู่คงจะอนุญาตแล้ว”


หมากคำทำปากยื่น ย่นจมูก “แต่ข้าเจ้าบ่ชอบ”


เขาจึงย่อตัวนั่งลง จับไหล่เล็กๆสองข้างนั้นไว้ “พี่เองก็ทำอะไรไม่ได้หรอก คนที่เขาดูแลเมืองเก่าคืออาผ่า พี่แค่ดูแลตามประสาคนบ้านใกล้เรือนเคียงเท่านั้นเอง”


“จะไดจะบ่ได้ ในเมื่อ...”


“หมากคำ อู้นักเกินไปแล้วเน้อ ปิ๊กเมืองได้ละ”เสียงเล็กๆดุๆดังอยู่ข้างกาย พร้อมกับร่างของเด็กชายผมจุกในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีขาว โจงกะเบนสีกรมท่าปรากฏกายขึ้นในทันใด


“อ้ายหมากแก้ว” หมากคำเปล่งเสียงเรียกพี่ชายฝาแฝดอย่างงอนๆ หากหมากแก้วก็มิได้หวั่นไหวยังคงปรามน้องต่อด้วยท่าทีขึงขัง “จ๋ำตี้ป้อปู่บอกได้ก่อ ว่าห้ามอู้เรื่องเก่าจ๋นกว่าจะถึงเวลา”


พออ้างถึงพ่อปู่ ใบหน้าเล็กๆกลมแป้นจึงพยักหงึกหงัก “จ๋ำได้เจ้า”


“จะอั้นก็ปิ๊กเมืองได้แล้ว”พี่ชายบอกพลางฉุดมือน้องสาวเบาๆ


“เดี๋ยวสิหมากแก้ว”ชยานนท์ท้วงพร้อมทั้งยึดร่างหมากคำเอาไว้ก่อน
หมากแก้วนิ่ง


“บอกก่อนว่าพวกเจ้ากำลังปิดบังอะไรพี่”


เด็กชายทอดถอนใจก่อนตอบ “หมากคำยังบอกอ้ายบ่ได้ดอก”
ทันทีที่จบคำ ร่างเล็กจ้อยทั้งสองก็อันตรธานไปในความมืดอย่างไร้ร่องรอย


ชยานนท์ส่ายหน้า อมยิ้ม สองพี่น้องแห่งเมืองอนันตกาลมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ได้เจอกันครั้งแรกตอนที่ครอบครัวของเขาย้ายคุ้มเวียงพิงค์ออกมานอกเมืองใหม่ๆ
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พฤหัสฯ. 11 เม.ย. 2013 7:23 pm

หลังจากคุมการตกแต่งภายในคุ้มเสร็จแล้ว ชยานนท์จึงเดินลัดเลาะออกมาด้านหลังคุ้มอันเป็นรอยต่อระหว่างคุ้มเวียงพิงค์กับรีสอร์ตพิงครัตน์


พื้นที่นอกอาณาเขตเป็นพื้นที่ค่อนข้างรกร้างเนื่องจากเจ้าของได้ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดกับลูกสาวแล้วทิ้งให้ลูกจ้างชาวเขาดูแลแทน พื้นที่ดังกล่าวกินอาณาบริเวณกว้างขวางรวมไปถึงเขตเมืองเก่า “สลีคำ”ด้วย อันที่จริงไม่มีใครรู้ชื่อที่แท้จริงของเมืองแห่งนี้เพราะไม่มีการจารไว้ในใบลานหรือหลักศิลาจารึกใดๆทั้งสิ้น ดังนั้นชื่อสลีคำจึงเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นใหม่ ตามลักษณะของเมืองเก่าที่มีฐานเจดีย์ กำแพงเมือง และต้นสลีหรือต้นไทรใหญ่สองต้น ต้นหนึ่งเขียวชอุ่มแต่อีกต้นหนึ่งกลับมีสีเหลืองตลอดปีเป็นที่แปลกใจแก่คนที่พบเห็นยิ่งนัก


อากาศเย็นลงเมื่อดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ขายาวๆเดินเลียบไปตามลำน้ำสายเล็กกว้างประมาณสองเมตรกว่าๆ แม่น้ำแห่งนี้เป็นลำน้ำที่ไหลมาจากอำเภอแม่ริมโดยไม่มีการขุดเชื่อมไปยังลำน้ำปิงอันเป็นแม่น้ำสายหลักของชาวเชียงใหม่แต่อย่างใด และแม้แม่น้ำไร้ชื่อเสียงเรียงนามแห่งนี้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีน้ำไหลหลากอยู่ไม่ขาดสาย ริมสองฝั่งน้ำมีต้นไม้ขึ้นเขียวครึ้มทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ต้นไม้ใหญ่มีกอไผ่ซึ่งอยู่ด้านหลังคุ้ม มะเดื่อ มะม่วง ฯลฯต้นเล็กๆก็มีทั้งเฟิร์น ผักกูด ดอกหญ้าและต้นหนาม


เสียงนกกาที่เพิ่งบินกลับมายังฉำฉาต้นใหญ่ทำให้ชายหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง เขาเห็นรังนกถูกสร้างขึ้นหลายจุดเหนือกิ่งไม้ บางคราวก็มีกระรอกตัวจ้อยวิ่งไปมา บางตัวก็ขย่มกิ่งไม้จนใบฉำฉาแห้งๆปลิวลงมาจากต้น เขาหยุดยืนดูอยู่ชั่วครู่จึงเดินต่อไปยังเขตเมืองเก่าสลีคำซึ่งมีแนวกำแพงทำจากหินศิลาเตี้ยๆบอกอาณาเขตซึ่งน่าจะเป็นเวียงแก้วเอาไว้ ชายหนุ่มเดินอ้อมไปยังจุดที่คาดว่าน่าจะเป็นประตูเวียง มองเข้าไปเห็นเพียงฐานเจดีย์เก่าๆที่อยู่ทางทิศเหนือ เป็นไปได้ว่าส่วนที่เป็นหอคำนั้นจะผุพังไปตามกาลเวลาเพราะในอดีตนั้นหอคำสร้างขึ้นด้วยไม้เป็นหลัก


เมื่อมองกวาดไปทั่วบริเวณ จุดเด่นที่สุดภายในกรอบสี่เหลี่ยมของเวียงแก้วนั้นคงจะเป็นไม้สลีสองต้นซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันออกติดกับแม่น้ำนั่นเอง มุมปากบางคล้ายปากสตรีขยับขึ้นเล็กน้อยขณะยืนมองความแตกต่างระหว่างไม้สลีแฝดคู่นั้น น่าแปลกที่ชั่วนาตาปี ไม้สลีต้นซ้ายมือก็ยังคงมีสีเหลืองอร่ามทั้งๆที่มิได้แห้งตายหรือเกิดความผิดปกติแต่อย่างใดเลย


ชยานนท์ก้าวขาเดินต่อแม้รอบกายจะเริ่มครึ้มลงดังที่ภาษาเหนือเรียกว่าสลุ้มค่ำ แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่คิดหันหลังกลับ ร่างสูงตรงดิ่งไปยังบริเวณอันเป็นลานโล่งใกล้ๆไม้สลีราวกับต้องมนตร์ ดวงตาจดจ้องรากอันห้อยย้อยลงมาของมันด้วยความชื่นชม


สำหรับบางคน ธรรมชาติแสนธรรมดาก็งดงามจับตาขึ้นได้ หากใจของเราสงบและเป็นกลางมากพอ


เสียงกรุ๋งกริ๋งดังมาจากทางด้านหลังระคนเสียงหัวเราะของเด็กหญิงชาย ชยานนท์ย่นหัวคิ้วเข้าหากัน คงเป็นไปได้ยากที่จะมีเด็กคนไหนเข้ามาวิ่งเล่นกันในอาณาเขตเมืองเก่ายามใกล้ค่ำเช่นนี้ เพราะคนทั่วไปมีความเชื่อว่า ในเมืองเก่าจะเต็มไปด้วยภูติผีปีศาจ ดังนั้นคงไม่มีบ้านใดอนุญาตให้ลูกหลานออกมาวิ่งเล่นเป็นแน่ หรือจะเป็นเพราะเด็กแอบหนีเข้ามาเอง คิดดังนั้นเขาจึงหันขวับ หมายจะกล่าวตักเตือน


ทว่าเมื่อหมุนตัวกลับไปมอง กลับเป็นเขาที่ชะงัก


ภาพที่เห็นคือเด็กหญิงตัวเล็กๆในชุดผ้าฝ้าย นุ่งผ้าซิ่นยาวกรอมเท้ากำลังวิ่งเล่นอยู่กับเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกันซึ่งอยู่ในชุดเสื้อผ้าฝ้ายและโจงกะเบน เสียงกรุ๋งกริ๋งที่ดังอยู่เป็นระยะๆคงจะมาจากกำไลข้อเท้าของเด็กทั้งสองที่มีเสียงดังทุกๆครั้งที่ย่างก้าว


แต่แทนที่ชยานนท์จะหวาดกลัว ชายหนุ่มกลับดันทุรังเดินเข้าไปหาเด็กน้อยเพื่อถามไถ่ให้แน่ใจว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกหรือผิด


บางทีเด็กทั้งสองอาจจะกลับจากงานประเพณีอะไรสักอย่างแล้วหนีพ่อแม่มาเที่ยวก็ได้


“หนู พวกหนูเป็นใครกัน ทำไมมาเล่นอยู่ในโบราณสถานแบบนี้”
ถึงคราวที่เด็กๆจะชะงักงันบ้าง ต่างหันมามองผู้เรียกเป็นตาเดียว ร่องรอยในแววตานั้นมีความประหลาดใจแฝงอยู่


เด็กหญิงหันไปกระซิบกับพี่ชายว่า “ป้อจายคนนั้นหันเฮาสองคนโตย”
เด็กชายหยักหน้า “แปลก ปกติจะบ่มีไผหันเฮานี่”


“เปิ้นถามเฮา อ้ายหมากแก้วตอบไปแล่”น้องสาวดันเอวพี่ชายให้เดินไปใกล้ชายแปลกหน้ามากขึ้น


หมากคำทำตามพลางเงยหน้าขึ้นมองร่างสูง “ตี้นี่คือบ้านของเฮา”
คนฟังขมวดคิ้ว หันมองรอบกาย “ที่ไหน”


“ตี้นี่แหละ ในเวียงแก้วแห่งนี้”เด็กหญิงที่เดินเข้ามาสมทบเป็นผู้ตอบ
“หมายความว่ายังไง ไหนลองอธิบายให้พี่ฟังหน่อยซิ พวกหนูแต่งตัวไปงานที่ไหนมาหรือเปล่า อย่ามาอำหน่อยเลย”ทั้งที่ใจไพล่คิดไปไกลแล้ว แต่ชายหนุ่มก็หวังจะได้รับคำตอบไปในทางปกติมากกว่า


นิ้วเล็กๆของหมากแก้วชี้ไปบริเวณฝั่งหนึ่งลานโล่งก่อนตอบเจื้อยแจ้ว “นั่นน่ะ เฮาอยู่กั๋นตี้คุ้มฝั่งซ้าย”


“คุ้มไหน ไม่เห็นมีอะไรเลย”เขาถามต่ออย่างจับผิด ท่าทางเด็กสองคนนี้จะโกหกเก่งเหลือเกิน เรื่องภูตผีวิญญาณคงตัดออกไปได้เลยสิเนี่ย
“อ้ายหันหอคำตี้อยู่เยื้องไปตางเหนือก่อ ตางซ้ายมือของหอคำคือคุ้มเจ้าเอื้องฟ้า เฮาอยู่ตี้หั้น”เด็กชายตอบเสียงสั่นในท้ายประโยค คล้ายกำลังสะเทือนใจกับอะไรบางอย่างอยู่ลึกๆ


“ไม่เห็น อย่าโกหกสิ มา พี่จะพาไปส่งบ้าน”ชยานนท์บอกเสียงดุ
เด็กน้อยทั้งสองถอยกรูดหันมองหน้ากัน “เปิ้นหันเฮาสองคนแล้วจะไดว่าบ่หันคุ้มกับหอคำ”


“บ่ฮู้”เด็กหญิงสั่นหน้าหวือ


ชยานนท์ซักต่อด้วยความห่วงใย เด็กทั้งสองคนมีหน้าตาน่ารักหากปล่อยทิ้งไว้อาจจะเป็นอันตรายได้ “หนูสองคนชื่ออะไร บอกพี่มาตามความจริงซิ”


“เฮาจื้อหมากแก้ว ส่วนน้องของเฮาจื้อหมากคำ”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พฤหัสฯ. 11 เม.ย. 2013 7:23 pm

“หมากแก้ว หมากคำ บ้านอยู่ไหนพี่จะไปส่ง”


“เฮาบอกแล้วว่าเฮาอยู่ตี้นี่ ในคุ้มเจ้าเอื้องฟ้าจะไดเล่า”หมากคำย้ำด้วยเสียงฉุนๆ


“พี่ไม่เชื่อ เด็กที่ไหนจะมาอยู่ในเมืองเก่าแบบนี้”


“จ้างเต๊อะ หมากคำ ไปกั๋นดีกว่า”หมากแก้วชวนน้องสาว ก่อนจะทำหน้าตกใจคล้ายเห็นอะไรบางอย่าง


ร่างของผู้เฒ่าเต็มไปด้วยหนวดเคราสีขาวในชุดสีขาวบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นในสายตาของเด็กทั้งสอง ดวงหน้าอันเหี่ยวย่นมีรอยยิ้มน้อยๆอย่างปราณี “หมากแก้ว หมากคำ เปิ้นบ่หันต๋ามตี้เจ้าสองตนบอกหรอก เปิ้นเป๋นมนุษย์”


หมากคำวิ่งเข้าไปหาชายชรา เงยหน้าขึ้นถาม “แล้วจะไดเปิ้นถึงหันข้าเจ้ากับอ้ายหมากแก้วได้เจ้าพ่อปู่”


“ก็เพราะเปิ้นกับเจ้ามีความผูกพันต่อกั๋นมาแต่เดิม”น้ำเสียงแหบๆนั้นยังเจือความเอ็นดูเด่นชัด


“ผูกพันจะได เฮาสองคนบ่เกยหันเปิ้นเลย”หมากแก้วถามบ้าง
พ่อปู่กาวินหัวเราะ “เจ้าลองเหลียวไปผ่อเปิ้นใหม่แหมครั้ง แล้วก้อยปิ๊กมาบอกพ่อปู่ว่าบ่ฮู้จักเปิ้นแต๊กา”


หมากแก้ว หมากคำทำตาม ชั่วครู่จึงเบิกตากว้าง เมื่อชายร่างสูงแปรเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มรูปงามในเครื่องทรงอย่างกษัตริย์ล้านนา จึงเปล่งเสียงดังลั่นและโผเข้าไปกอดชยานนท์แน่น “พ่อพญา!”


ชายหนุ่มงงงันหนักขึ้น แรกทีเดียวเขายืนฟังเด็กทั้งสองพูดกับความว่างเปล่า แล้วอยู่ดีๆกลับโผเข้ามาหาเขาและเรียกเขาว่า พ่อพญา นี่มันอะไรกัน


“ข้าเจ้ากึ๊ดเติงหาพ่อพญาเจ้า”หมากคำบอกทั้งน้ำตา


ชยานนท์ดันกายเด็กน้อยออกห่างแล้วเช็ดน้ำตาให้ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย”


“น้าเอื้องฟ้าของเฮาเล่าพ่อพญา”หมากแก้วถามบ้าง


ชยานนท์สั่นหน้า “นี่เด็กๆกำลังพูดอะไรกัน”


ใบหน้าเรียบเฉยของพ่อปู่มองภาพของทั้งสามด้วยความปลดปลง กาลเวลานำพาการพรากจากมาสู่ทุกผู้ทุกคน “เปิ้นยังจ๋ำเรื่องเก่าบ่ได้ดอกหลานเหย เอาไว้ถึงเวลาทุกอย่างจะคลี่คลายเอง ปิ๊กคุ้มเต๊อะ หมดเวลาของเจ้าแล้ว”


สิ้นคำพ่อปู่ ร่างเด็กน้อยทั้งสองก็หายวับไปจากสายตา


ชยานนท์ผงะ งุนงงจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว


เขายอมรับว่าครั้งนั้นตกใจมากมายกับสิ่งที่ได้เห็น แต่เมื่อเด็กน้อยทั้งสองมาปรากฏกายต่อหน้าบ่อยขึ้น ความประหลาดใจก็กลายเป็นความเคยชิน ดังเช่นในเวลานี้
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พฤหัสฯ. 11 เม.ย. 2013 7:24 pm

บทที่ ๓

“ฉากนี้เป็นฉากที่เอื้องมาสำรวจโบราณสถานเพื่อทำวิทยานิพนธ์แล้วได้เจอพระเอกนะ พี่ต้องการให้อยู่ในซีนอารมณ์ที่โรแมนติกมากๆ พีกับเอื้องต้องสมมติว่าตัวเองได้พบกับคนที่เรารัก รักมาก รักด้วยจิตวิญญาณ รักแบบที่ไม่เคยรักใครเท่านี้มาก่อนน่ะ ทำได้ไหม”คณินผู้กำกับหนุ่มวัย 35 ปีแนะนำพระ-นางของตนอีกครั้งก่อนจะหันไปเช็คมุมกล้อง แสง เสียง และส่งสัญญาณดังๆว่า “แอ๊คชั่น!”


บรรยากาศในโบราณสถานเงียบสงัด สายตาทุกคู่จดจ้องไปยังเอื้องลดาซึ่งบัดนี้กำลังสวมวิญญาณนักศึกษาสาวมหาวิทยาลัยดังอยู่


หญิงสาวเดินเข้ามายังเขตโบราณสถานด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ในมือถือสมุดโน้ตเอาไว้เล่มหนึ่ง เพื่อคอยจดรายละเอียดตามบทที่ได้รับ หลังจากเดินสำรวจกำแพงเมืองอยู่ครู่ใหญ่หล่อนจึงหมุนตัวกลับและพบว่ามีชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลายืนอยู่ตรงหน้า


สายตาสองคู่สานสบกันอย่างหวานฉ่ำ เอื้องลดาพยายามสมมติว่าตนเองเพิ่งได้พบกับคนรักดังที่ผู้กำกับแนะ แต่แล้วสิ่งที่ทำให้สมาธิของหล่อนขาดสะบั้นลง คือ เสียงกรุ๋งกริ๋งซึ่งดังอยู่ใต้ระดับสายตา นางเอกสาวจึงก้มลงมองโดยสัญชาติญาณ พบร่างเล็กจ้อยของเด็กหญิงคนหนึ่งกอดอก ยืนฉีกยิ้มอยู่ข้างๆพีรธร


“น้าเอื้อง”ปากเล็กๆนั้นส่งเสียงเรียกราวกับคนที่คุ้นเคยกันมาเนิ่นนาน


“หนูเป็นใคร ในเรื่องนางเอกต้องชื่อหยกนะ ไม่ใช่เอื้อง”นางเอกสาวท้วงด้วยน้ำเสียงปราณี หากหมากคำกลับสั่นหน้า หัวเราะคิกคัก


เอื้องลดาเริ่มสับสนว่าเด็กน้อยเข้ามาในฉากได้อย่างไร ในเมื่อตามบทละครฉากนี้มีแต่พระ-นางเท่านั้น หล่อนจึงหมุนตัวกลับไปถามผู้กำกับโดยฉับพลัน “ทำไมให้น้องคนนี้มาเข้าฉากด้วยล่ะคะพี่คณิน”


ผู้กำกับหนุ่มรีบสั่งคัตพร้อมทั้งลุกขึ้นยืน ก้าวอาดๆเข้ามาหาผู้ถาม “เด็กที่ไหนกันเอื้อง”


เอื้องลดามองตอบ ย่นคิ้ว “ก็เด็กที่มายืนอยู่ข้างๆพี่พีไงคะ”


“เด็กอะไร ไม่มีนี่ครับน้องเอื้อง”พีรธรเองก็งงเป็นไก่ตาแตกไม่แพ้กัน จะว่าไป เขางงมาได้สักพักแล้วล่ะ ว่าทำไมนางเอกคู่ขวัญจึงทำท่าคล้ายพูดอยู่คนเดียว แถมพูดนอกบทเสียด้วยสิ


เอื้องลดาจึงหันกลับมาหาเขา ยื่นมือออกไป หมายจะชี้ “นะ นั่น อ้าว เด็กคนนั้นหายไปไหนแล้วล่ะคะ”


ฝ่ายผู้กำกับจึงระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “อย่าบอกนะว่าเอื้องตาฝาด”


ผู้ถูกถามเม้มริมฝีปาก สั่นหน้า


โธ่ ก็หล่อนมีสติสัมปชัญญะอยู่ครบและเห็นเด็กคนนั้นยืนอยู่จริงๆนี่นา

ทว่าตอนนี้เด็กน้อยหายไปไหนแล้วเล่า...


“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ”เสียงเข้มของใครคนหนึ่งดังขึ้น


เอื้องลดาจึงละสายตาจากคณินไปมองผู้มาใหม่ทันที เขาคนนั้นเดินลิ่วๆนำหน้านัยภาคเข้ามาท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุ แต่กระนั้นนางเอกสาวก็ยังมองเห็นความคมคายบนใบหน้าของชายหนุ่มเด่นชัด


คุ้นหน้า นี่คือประโยคแรกที่แวบเข้ามาในสมองยามได้เห็นชายหนุ่มแปลกหน้า แล้วความรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณนิ้วก้อยข้างซ้ายก็ทำให้หล่อนต้องเหความสนใจมายังแหวนนาคที่สวมอยู่แทน ทว่าชั่วครู่ทุกย่างก็เข้าสู่ภาวะปกติ


อาจจะเป็นไปได้ว่าหล่อนอุปาทานไปเอง


‘ว่างๆคงต้องไปให้หมอเช็คประสาทแล้วล่ะ เอื้องลดาเอ๋ย รู้สึกประสาทสัมผัสของหล่อนจะดูเพี้ยนๆไปแล้วในช่วงนี้’
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

ต่อไป

ย้อนกลับไปยัง นวนิยาย

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 23 ท่าน

cron