นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

นวนิยาย เรื่องยาว ต่างๆ

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พฤหัสฯ. 11 เม.ย. 2013 7:25 pm

“มีใครมาก่อกวนหรือเปล่าครับ”นัยภาคถามเมื่อเดินมาถึงจุดที่ทุกคนยืนอยู่


แทนที่คณินจะตอบกลับบุ้ยใบ้มายังเอื้องลดา หญิงสาวจึงต้องเป็นผู้เล่า“คือ ตอนถ่ายละครเอื้องเห็นว่ามีเด็กผู้หญิงมาเข้าฉากด้วยน่ะค่ะ”


“แล้วปัญหาคือ...”ชายหนุ่มแปลกหน้าเป็นผู้ถามขึ้น สายตาจับจ้องไปยังใบหน้าของดาราสาว ความอบอุ่นหวามไหววาบขึ้นในอกโดยไม่มีสาเหตุ อะไรสักอย่างทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยยามที่ได้สานสบดวงตากลมโตคมกริบคู่นั้น ไหนจะเรียวปากรูปกระจับที่ดูละม้ายจะแย้มยิ้มอยู่เป็นนิจนั่นอีกล่ะ เหตุใดจึงคุ้นตาเสียเหลือเกิน


“ก็เราถ่ายทำกันอยู่ดีๆ น้องเอื้องก็พูดงึมงำแล้วหันไปถามถึงเด็กกับพี่คณินน่ะสิครับ แต่ก็ไม่มีใครเห็นตามนั้นเลยสักคน”พิรธรสรุปแทนให้ เมื่อเห็นนางเอกคู่ขวัญคล้ายตกอยู่ในภวังค์ความคิด


“โอ๊ย แต่เรื่องแค่นี้คงไม่ถึงกับต้องเป็นวาระแห่งชาติที่จะต้องมาหาเหตุผลกันหรอกมั้ง”เสียงแหลมเล็กดังมาจากทางด้านหลังนัยภาค เอื้องลดาเริ่มรู้สึกตัว รีบหันมองตามเสียงแล้วยิ้ม พลางเดินเข้าไปหาหญิงสาวร่างอวบด้วยความยินดี “พี่นัทมาถึงเมื่อไหร่คะ”


“มาถึงตอนสายๆค่ะน้องเอื้อง พอมาถึงก็ขอให้คุณนนท์กับคุณนัยพามาหาน้องเอื้องเลยแต่พี่แวะคุยกับสไตลิสน์แป๊บนึงเลยมาช้ากว่าเพื่อนน่ะค่ะ”นาถนรีอธิบายเสร็จสรรพก็หันไปหาชายหนุ่มแปลกหน้า “ลืมแนะนำไปเลย นี่คุณนนท์เจ้าของพิงครัตน์รีสอร์ตจ้ะน้องเอื้อง ส่วนนางเอกสาวยอดนิยมคนนี้คุณนนท์คงพอจะเคยผ่านตาบ้างแล้วใช่ไหมคะ”


ชยานนท์ค้อมศีรษะให้หญิงสาวนิดหนึ่งก่อนทักทาย “สวัสดีครับคุณเอื้อง ผมเคยเห็นคุณเอื้องผ่านจอทีวีบ่อยๆนะฮะ แต่ตัวจริงไม่ค่อยเหมือนในจอสักเท่าไหร่”


เขาพูดตรงกับใจทุกอย่าง ก่อนหน้านี้ ยามได้เห็นหล่อนโลดแล่นอยู่ในจอแก้วกลับไม่เคยรู้สึกถึงสายใยบางๆที่เกี่ยวกระหวัดใจเขาเอาไว้เฉกเช่นเวลานี้


เอื้องลดาหัวเราะเบาๆและระบายยิ้มทั่วใบหน้าขณะย้อนถาม “ตัวจริงนี่แย่กว่าในทีวีหรือเปล่าคะ”


ผู้ถูกถามจึงตอบด้วยท่าทีขึงขังยิ่งขึ้น “นอกจอดูดีกว่าหลายเท่าเลยครับ”


“เอ่อ รบกวนทางกองถ่ายมาพอสมควรแล้ว ถ่ายทำต่อเถอะค่ะพี่คณิน ไม่มีอะไรหรอก”นาถนรีเบรกเพราะรู้ดีว่าทางทีมงานนั้นต้องทำงานแข่งกับเวลา


คณินพยักหน้าแล้วจึงเอ่ยถามนางเอกของตนเพื่อความมั่นใจ “เอื้องโอเคนะ”


“โอเคค่ะ”


สิ้นคำของหญิงสาว ทีมงานทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน ฝ่ายนาถนรี ชยานนท์และนัยภาคนั้นถอยไปยืนอยู่ใต้ร่มก้ามปูใหญ่รอจนการถ่ายทำฉากนั้นเสร็จสิ้นลง


ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยความราบรื่น จะมีผิดปกติอยู่บ้างก็ตรงชยานนท์ซึ่งทำตัวคล้ายไม่ติดใจสงสัยอะไรเลยตั้งแต่ต้น กลับมองตามร่างบางของนางเอกสาวอย่างครุ่นคิดว่า ‘ความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นในใจเขาเมื่อครู่ มันคืออะไร จะว่าเป็นความวูบวาบยามได้เห็นสาวสวยก็ไม่น่าจะใช่ เพราะวูบแรกที่สบตากัน เขาก็รู้โดยทันทีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ ไม่ธรรมดา ’
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พฤหัสฯ. 11 เม.ย. 2013 7:25 pm

ผ้าเช็ดตัวหนานุ่มเลื่อนไปตามเรือนร่างได้สัดส่วนอันมีหยดน้ำเกาะพราว ก่อนที่เจ้าตัวจะใช้ผ้าเช็ดตัวผืนใหม่พันตัวเดินกลับไปยังห้องนอนหรูซึ่งผู้จัดการส่วนตัวเป็นผู้จัดเตรียมเอาไว้ให้


เรียวปากบางแย้มยิ้มน้อยๆเมื่อมองเห็นดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ปักอยู่เหนือแจกันทรงสูงซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะไม้เล็กๆข้างผนังกระจกใสที่บัดนี้ปิดผ้าม่านเอาไว้อย่างมิดชิด


ร่างบางเดินมานั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ยกมือขึ้นบรรจงหวีผมยาวสลวยดัดปลายน้อยๆของตนอย่างเบามือ พร้อมกับมองเลยไปยังฉากหลังอันเป็นภาพเตียงสี่เสาและมีมุ้งสีขาวสะอาดประดับอยู่ทั้งสี่มุม ที่คิดว่าเป็นการประดับเอาไว้นั้นเพราะนางเอกสาวคงไม่มีโอกาสได้ใช้มัน เนื่องจากไม่เคยชินกับการนอนในมุ้งมาก่อน


นิ้วเรียวแตะโลชั่นแล้วจึงชโลมลงบนผิวหน้าเบาๆ ในใจคิดเวียนวนเรื่อยเปื่อยแต่แล้วกลับวกเวียนมาหาชยานนท์อย่างช่วยไม่ได้


นี่หล่อนชอบเขาอย่างนั้นหรือ


บ้าไปแล้วเอื้องลดา ปีนี้หล่อนก็อายุย่าง 25 ปีแล้วนะ ไม่ใช่สาว 14 ขวบจะได้ตกหลุมรักหนุ่มได้ง่ายๆแบบนั้นน่ะ เฮ้อ! รู้ไปถึงไหนก็คงอายไปถึงนั่น มีอย่างหรือ ครองตัวเป็นสาวโสดไร้รักมาได้ตั้งหลายปี แต่กลับต้องมาตกม้าตายเอาตอนอายุ 25 ซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่ๆ
เอ...หรือจะเป็นเพราะอาถรรพ์เบญจเพศกันนะ ใครๆเขาก็มักจะบอกว่า คนในวัยนี้มักจะชีวิตแปรปรวนและเปลี่ยนแปลงไปในทางร้ายมากกว่าดี

ร้ายหรือ...ความรักไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนี่นา อีกใจคิดแย้ง


ก๊อกๆ


เสียงเคาะประตูดังขึ้น นางเอกสาวจึงลุกพรวดขึ้นเดินไปใกล้ๆประตู ตะโกนถาม “ใครคะ”


“น้องเอื้อง พี่นัทเองค่ะ” เสียงด้านนอกตอบมาฉาดฉาน


“พี่นัทรอเอื้องแต่งตัวแป๊บนึงนะคะ”พูดจบหญิงสาวก็รีบหมุนตัวไปปลดชุดเดรสสีม่วงอ่อนที่แขวนเตรียมไว้มาสวมก่อนจะเดินกลับไปจุดเดิมเพื่อเปิดประตูอีกครั้ง


“เชิญค่ะ คุณนาย ไหนบอกว่าจะออกไปหาเพื่อนไงคะ แล้วทำไมเปลี่ยนใจมาหาเอื้องได้ล่ะ”


ร่างท้วมของนาถนรีนั่งแหมะลงบนโซฟาสีเลือดนกแล้วจึงเอียงหน้ามองคนถาม “ยังไม่ได้ออกไปเลยน่ะสิ รอให้เพื่อนขับรถมารับก่อน เพราะพี่จะทิ้งรถไว้ให้น้องเอื้องใช้ จะได้สะดวกเวลาอยากไปโน่นมานี่”
นางเอกสาวยกมือขึ้นไหว้ ดวงตาทอดมองนาถนรีด้วยความซาบซึ้งใจ
เส้นทางการเป็นดาราของหล่อนมีนาถนรีร่วมทางมาตั้งแต่ต้น จึงเรียกได้ว่าเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกันเลยทีเดียว


นับตั้งแต่มีแมวมองมาทาบทามเอื้องลดาให้เข้าสู่วงการบันเทิงเมื่อสิบปีที่แล้ว หล่อนก็ถูกทัดทานจากบิดามารดามาตลอดโดยท่านอ้างว่ากลัวลูกสาวคนเดียวจะเสียการเรียน แต่ลึกลงไปกว่านั้นท่านทั้งสองเป็นห่วงเรื่องที่วงการบันเทิงเต็มไปด้วยงูเงี้ยวเขี้ยวขอเกรงจะมาฉกกัดลูกสาวของท่าน แต่เมื่อนาถนรีเรียนจบและเอื้องลดาเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาแล้ว ญาติผู้พี่ก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเกลี้ยกล่อมบิดามารดาของเอื้องลดาซึ่งก็เป็นอาและอาสะใภ้ของนาถนรีเองอีกรอบ ท่านทั้งสองจึงตั้งข้อแม้ว่า จะยอมให้เอื้องลดาเข้าสู่วงการบันเทิงได้ ถ้ามีนาถนรีคอยเป็นผู้ดูแล นับแต่นั้นนาถนารีจึงรับหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้น้องสาวมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งๆที่ตนเองก็มีภาระหน้าที่รออยู่มากมาย
“ว่าแต่เรื่องราววันนี้มันเป็นยังไงมายังไง”นาถนรีขยับนั่งตัวตรง ชะโงกหน้าเข้ามาถามเจ้าของห้องนั่งอยู่ตรงข้าม


“หมายถึงเรื่องที่เอื้องเห็นเด็กผมจุกนั่นหรือคะ”


“อืม เรื่องนั้นแหละ พี่ว่ามันทะแม่งๆอยู่นา แถมตรงนั้นเป็นเมืองเก่าด้วย อะไรที่เราไม่เคยเห็นก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีนะน้องเอื้อง ไปทำอะไรให้เจ้าที่เจ้าทางไม่พอใจหรือเปล่าล่ะ”


“ไม่นะคะ ตอนบวงสรวงเอื้องก็ไปร่วม แล้ววันนี้เอื้องก็เพิ่งโผล่ไป แทบไม่ทันได้ทำอะไรก็ต้องเข้าฉากแล้ว”


คนฟังพยักหน้าก่อนจะทำตาโต นึกขึ้นได้ว่า “เออ พี่ลืมไปเลย คุณนนท์เขาเชิญน้องเอื้องไปทานข้าวที่คุ้มเวียงพิงค์เย็นนี้ด้วยกันน่ะจ้ะ”
นางเอกสาวตีหน้าฉงน “เลี้ยงทีมงานด้วย หรือมีแต่เอื้องคนเดียวคะพี่นาถ”


นาถนรีอมยิ้ม มองหน้าน้องสาวตรงๆก่อนตอบ “เลี้ยงน้องเอื้องคนเดียวจ้ะ ตอนแรกเขาเชิญพี่ด้วย แต่พี่ดันไม่ว่างนี่นา”


“งั้นเอื้องไม่ไปดีกว่า”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พฤหัสฯ. 11 เม.ย. 2013 7:26 pm

“เอ๊า!” คนเป็นพี่ทำเสียงสูงปรี๊ด “ทำไมล่ะจ๊ะ ใครๆเขาก็อยากใกล้ชิดคุณนนท์กันทั้งนั้นนะ แหม...ก็ทั้งหล่อ ทั้งรวย ทั้งตระกูลดี ใครจะอยากให้หลุดมือไปได้ล่ะ”


เอื้องลดาส่ายหน้า “เอื้องมาทำงาน ไม่ได้มาหาสามีนะคะพี่นัท”


ที่สำคัญหล่อนก็ไม่อยากอยู่ใกล้ชิดเขามากนักหรอก ความรู้สึกประหลาดบ้าบอเมื่อกลางวันทำให้นางเอกสาวตั้งใจจะพยายามเลี่ยงให้ห่างจากเขา เนื่องจากเคยได้ยินข่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่า หนุ่มเชื้อเจ้าคนนี้เจ้าชู้นัก


นาถนรีได้ฟังกลับยักไหล่ มองหน้าน้องสาวตรงๆ “มนุษย์เรายังไงก็ต้องมีคู่นะจ๊ะน้องเอื้อง ถ้าเรามีโอกาสดีๆทำไมไม่ลองดูล่ะ อีกอย่างพี่ก็มั่นใจว่าน้องเอื้องมีภูมิคุ้มกันเรื่องผู้ชายสูง ถึงได้ไม่มีแฟนกับเขาสักทีไง”


คนฟังอมยิ้มน้อยๆมองเห็นลักยิ้มข้างแก้มรำไร เก๋ไก๋นัก “คุณพ่อคิดผิดนะคะเนี่ยที่ให้พี่นัทมาดูแลเอื้อง ที่ไหนได้ยุให้น้องอ่อยผู้ชายซะงั้นแหละ”


คนถูกว่าทำตาโต “โอ๊ย อคติจริงๆเลย พี่บอกว่าให้โอกาสตัวเอง เวลาเขาเสนอมา เราก็น่าจะลองพิจารณาดูสักตั้ง พี่รู้จักคุณนนท์มานาน เขาเป็นคนดีมากเลยนะ ขอบอก”


“แสดงว่าที่เขาลือๆกันว่าคุณนนท์ของพี่นัทเจ้าชู้มากนี่ก็ไม่ใช่เรื่องจริงสิคะ”นางเอกสาวดักคอ ทว่าคนฟังกลับพยักหน้ารับด้วยความมั่นอกมั่นใจ “ย่ะ เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง เขามีข่าวกับผู้หญิงเยอะ เพราะผู้หญิงพวกนั้นพยายามเข้ามาใกล้ชิดเขา แต่พี่ไม่เคยเห็นเขาจะเกินเลยกับผู้หญิงคนไหนเลยนะ”


“ถึงอย่างงั้นก็เถอะ วันนี้เอื้องไม่ว่างค่ะ”


“นัดกับใคร”อีกฝ่ายมีท่าทางสนใจขึ้นมาอีก


“ก็คุณนัยไงคะ”


นาถนรีย่นคิ้ว “คุณนัยผู้จัดการรีสอร์ตน่ะเหรอ”


“ใช่ค่ะ มีอยู่นัยเดียวแหละ”


“นัดกันไปไหน”


“ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกค่ะ นัดกันที่ห้องอาหารของรีสอร์ตนี่แหละค่ะ พอดีเอื้องมีเรื่องจะรบกวนคุณนัยนิดหน่อย”


คนฟังเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อีกรอบ พลางบ่นพึมพำ “สงสัยจะเกิดศึกชิงนางขึ้นแล้วมั้งลูกพี่ลูกน้องคู่นี้”


เอื้องลดาได้ฟังจึงแกล้งถอนหายใจแรงๆเพื่อให้อีกฝ่ายได้ยินถนัดถนี่ “คิดแต่เรื่องชู้สาวนะคะพี่นัท เอื้องอาจจะมีธุระอื่นโดยไม่มีเรื่องรักๆใคร่ๆมาเจือปนก็ได้”


นาถนรีทำปากยื่น “ขอให้มันจริงเถอะ เอาล่ะ เดี๋ยวจะถึงเวลานัดของพี่แล้ว ดูแลตัวเองด้วยล่ะแม่คุณ เดี๋ยวสักสี่ทุ่มพี่จะแวะมาหาอีกรอบ”


“เที่ยวให้สนุกนะคะ”นางเอกสาวอวยพรทิ้งท้ายก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อเดินไปส่งผู้จัดการส่วนตัวจอมเจ้ากี้เจ้าการของตน
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พุธ 24 เม.ย. 2013 7:06 am

ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 30 มิ.ย. 2013 4:43 pm

ขอเปลี่ยนชื่อพระเอกจาก "ชยานนท์" เป็น "นทีดล" นะคะ

บทที่ ๔

“ต้องขอโทษที่มาช้านะคะคุณนัย เอื้องมัวคุยกับพี่นัทเพลินไปหน่อยน่ะค่ะ”เอื้องลดาในชุดเดรสสีม่วงพูดออกตัวหลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ที่นัยภาคเป็นผู้เลื่อนให้เรียบร้อยแล้ว


แสงแดดยามใกล้พลบส่องลอดกระจกสีใสเข้ามากระทบดวงหน้างามละไมให้ดูยิ่งละมุนตา คนรอจึงเพลินมองด้วยใบหน้าเจือยิ้ม “ไม่เป็นไรเลยนี่ครับ ยังไงผมก็ทำงานอยู่ในรีสอร์ตอยู่แล้ว”


“แต่เอื้องเกรงใจน่ะค่ะ เพิ่งจะรู้จักกันเมื่อวาน วันนี้ดันมาผิดนัดเสียแล้ว”
“ไม่เป็นไรจริงๆครับ”เขาย้ำอีกครั้งก่อนจะหันไปสั่งพนักงานให้ทยอยยกอาหารมาเสิร์ฟตามที่สั่งเอาไว้ แล้วจึงชวนหญิงสาวคุยต่อ “ช่วงเย็นผมจะมาดูแลห้องอาหารอยู่แล้วครับ ไม่ถือว่าต้องรออะไรเลย”


“แล้วคุณชยานนท์ล่ะคะ ไม่มาช่วยเลยเหรอ”หล่อนเสไปถามถึงเจ้าของรีสอร์ตซึ่งได้ยินเพียงแค่ชื่อแต่ไม่เคยได้พบเจอตัวจริงเลยสักครา “พี่นนท์ต้องดูแลผับในเมืองน่ะครับ จะไปที่นั่นเกือบทุกวันเพราะว่าเพื่อนๆพี่เขาเยอะ จริงๆพี่นนท์เขาถนัดไปทางงานผับมากกว่างานรีสอร์ตก็เลยให้ผมคอยดูแลทางนี้แทน”


“ถนัดงานกลางคืนมากกว่างานกลางวัน มิน่าล่ะถึงได้ยินข่าวว่าเจ้าชู้เหลือเกิน”


“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่พี่นนท์เขามีคนเข้ามาในชีวิตเยอะ”นัยภาคแก้ลำแล้วชะงักนิดหนึ่งเมื่อพนักงานนำอาหารจานใหญ่มาเสิร์ฟ
หลังจากนั้นเขาจึงผายมือพร้อมทั้งแนะนำอาหาร “นี่เป็นออร์เดิร์ฟเมืองครับคุณเอื้อง จะประกอบด้วยอาหารจำพวกไส้อั่ว จิ๊นส้ม แหนม น้ำพริกหนุ่ม หมูยอ สำหรับทานรองท้อง”


เอื้องลดาห่อปากทำตาโต เนื่องจากไม่ค่อยได้รับประทานอาหารพื้นเมืองทางเหนือบ่อยนัก “น่าอร่อยจังค่ะ”


“เอาไว้วันหลังผมจะพาคุณเอื้องไปทานแบบขันโตกที่ลานล้านนครของรีสอร์ตเรานะครับ ที่นั่นจะเป็นลานระเบียงเหนือสวนดอกไม้ แต่วันนี้หมอกลงเยอะไปหน่อย ผมก็เลยเลือกห้องอมรเชียงใหม่นี่แทน”


“ขอบคุณค่ะคุณนัย แต่จะว่าไปแค่ออร์เดิร์ฟนี่เอื้องก็เยอะจนแทบจะอิ่มแล้วล่ะค่ะ พอดีช่วงเย็นๆเอื้องทานน้อย”


“โธ่ คุณเอื้องยังทานได้อีกเยอะครับ ไม่อ้วนหรอก”ผู้จัดการหนุ่มบอกอย่างเอาใจ


เอื้องลดายิ้มให้กับความปากหวานของเขา จากนั้นจึงก้มลงมองอาหารอีกหลายประเภทที่พนักงานเพิ่งนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ พร้อมเลือกรับประทานอย่างละนิดละหน่อยแล้วปิดท้ายด้วยผลไม้ก่อนที่จะถามถึงเรื่องที่ตนเองค้างคาใจ “ทำไมคุณนัยถึงอยากให้เอื้องไปสอบถามเรื่องเมื่อกลางวันนี้กับคุณพ่อของคุณชยานนท์ล่ะค่ะ”


“คุณลุงชัยพงษ์ท่านเป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ล้านนาครับ ที่สำคัญท่านศึกษาธรรมะแล้วก็นั่งวิปัสสนาด้วย ท่านน่าจะพอรู้เรื่องลี้ลับอยู่บ้าง”


“แปลว่าคุณนัยเชื่อมั่น ว่าเด็กผมจุกคนนั้นไม่ใช่คน”หญิงสาวถามพลางจ้องรอคำตอบอย่างจดจ่อ


นัยภาคพยักหน้า “ครับ ความเป็นไปได้มีสูงมาก เพราะไม่ใช่แค่คุณเอื้องคนเดียวที่เคยเห็นเด็กคนนั้น เรื่องเด็กชายหญิงในเมืองเก่าและเสียงสะล้อซอซึวน่ะ มีคนเล่าลือกันมานานแล้วครับ”


“แล้วคุณลุงของคุณเคยเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังบ้างไหมคะ”เอื้องลดาถามอย่างตื่นเต้น


ผู้จัดการหนุ่มหัวเราะแหะๆ ก่อนตอบ “ไม่เคยเล่าครับ แต่ผมเชื่อว่าคนที่เคยบวชจนได้มหาเปรียญอย่างคุณลุงชัยพงษ์จะต้องรู้เรื่องนี้มากกว่าคนทั่วไปอย่างแน่นอน”


หญิงสาวฟังจบจึงพยักหน้าคล้อยตาม “หวังว่าท่านจะกรุณาเอื้องนะคะ สองวันมานี้เอื้องได้ยินเสียงดนตรีพื้นเมืองและได้เห็นเด็กคนนั้นทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ ทำให้อยากรู้ว่าตัวเองทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรหรือเปล่า ถึงมีสิ่งเหล่านี้มาหลอกหลอน”


นัคภาคพร้อมทั้งคลี่ยิ้มเพราะเชื่อมั่นว่าคุณลุงของเขาเป็นคนที่มีความกรุณามากที่สุดอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธการให้คำแนะนำต่อหญิงสาวอย่างแน่นอน


“ถ้างั้นรีบทานกันดีกว่าค่ะ เอื้องอยากพบท่านเหลือเกินแล้ว”


ผู้จัดการหนุ่มลงมือตักอาหารใส่จานของหญิงสาวแทนคำตอบรับ ด้วยหน้าที่ของผู้จัดการรีสอร์ตเขาพร้อมที่จะให้บริการนางเอกสาวด้วยความเต็มใจ เขาพยายามย้ำกับตนเองเช่นนั้นเสมอเพื่อไม่ให้จิตใจหวั่นไหวไปมากกว่าที่เป็นอยู่
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 30 มิ.ย. 2013 4:43 pm

รถเก๋งสีขาวจอดสนิทด้านหน้าเรือนไม้หลังใหญ่แล้วฝ่ายเจ้าของรถจึงเดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้หญิงสาวชุดสีม่วงที่กำลังมองทัศนียภาพรอบกายอย่างตื่นตะลึง เปล่าหรอก...เอื้องลดาไม่ได้ตกใจกับความร่ำรวยของคนในคุ้มเวียงพิงค์ ทว่าสิ่งที่ทำให้หล่อนอดตื่นเต้นไม่ได้ก็คือ ภาพบรรยากาศอันคล้ายกับหลุดมาจากยุคอดีตซึ่งหลอมรวมกันเป็นคุ้มแห่งนี้ จะว่าไปแม้นางเอกสาวจะเคยถ่ายละครย้อนอดีตมาหลายต่อหลายเรื่อง แต่กลับไม่เคยมีสถานที่ใดดูมีมนตร์ขลังมากเท่ากับที่ได้เห็นกับตาในเวลานี้เลย


หญิงสาวสัมผัสได้ถึงไหนจะกลิ่นหอมอ่อนๆที่รวยรินมาตามสายลม เสียงดนตรีพื้นเมืองซึ่งเข้าใจว่าดังมาจากมุมใดมุมหนึ่งของบ้าน แล้วไหนจะของตกแต่งอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเกวียนซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าเรือนไทย ประทีปซึ่งแขวนอยู่ตามชายคา ธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งเรียกกันว่าตุงไจยก็ล้วนประดับประดาอยู่ทั่วอาณาบริเวณ


“กลิ่นดอกไม้แถวนี้หอมจังเลยนะคะ”หญิงสาวเอ่ยชมอย่างอดใจไม่อยู่


นัยภาคยังคงยิ้มน้อยๆตามแบบฉบับของเขาก่อนจะตอบ “กลิ่นดอกเอื้องน่ะครับ ย่างเข้าฤดูร้อนแล้วดอกเอื้องก็เริ่มบาน”


“สวย หอมอย่างนี้นี่เล่า เขาถึงได้บอกว่าดอกเอื้องเป็นสัญลักษณ์ของสาวเหนือ”เอื้องลดาเสริมขณะก้าวขึ้นบันไดไม้ตามหลานชายเจ้าของบ้าน


ร่างระหงก้าวพ้นธรณีประตูเข้ามาด้วยความสีหน้าสดใส เอื้องลดารู้สึกประทับใจทุกสิ่งบนเรือนนี้อย่างบอกไม่ถูก โลกใหม่ที่ยังคงความโบร่ำโบราณเอาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ช่างเป็นเสน่ห์ที่แสนจะตรึงตราตรึงใจอย่างเหลือเกิน


จังหวะเดียวกันนั้นถ้ามีใครสักคนสังเกตด้านล่างของเรือนคงมองเห็นดวงไฟสีเงินสองดวงพุ่งวาบลงมาที่ต้นมะม่วงแก้วข้างบันได และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นดวงไฟดังกล่าวก็แปรสภาพเป็นร่างเล็กจ้อยของหมากแก้วและหมากคำ


“จะดีก๋าหมากคำ ถ้าพ่อปู่ฮู้เฮาสองคนจะต้องถูกลงโทษแน่ๆเลย”พี่ชายกังวล เพราะรู้ถึงความเด็ดขาดของพ่อปู่ของตนดี


“ดีกะเจ้าอ้ายหมากแก้ว ข้าเจ้าว่าพ่อพญาน่าจะจ๋ำน้าเอื้องของเฮาได้พ่องแล้ว ข้าเจ้าว่าเป๋นโอกาสเหมาะแล้วตี้จะจ้วยหื้อเปิ้นได้ใกล้ชิดกั๋น “


หมากแก้วถอนใจขึ้นมาเฮือกใหญ่ ย่นคิ้วขณะถามน้องสาวอีกครั้ง “ใจ๊วิธีก๋ารอื่นบ่ได้ก๋า ก๋ารตะแหลงเป๋นคนอื่นนี่มันยากนา”


หมากคำจึงส่งยิ้มฟันขาว ยกนิ้วชี้ข้างขวาขึ้นมาแกว่งเบาๆ “บ่ได้เจ้า นี่เป๋นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว”

“คุณชยานนท์สั่งไว้ว่า ถ้าคุณเอื้องมาถึงหื้อเจิญไปตี้ห้องอาหารได้เลยเจ้า” สาวใช้วัยกลางคนเดินเข้ามาเชิญนางเอกสาวด้วยกิริยาสุภาพ “อ้อ คุณนัยก็มาโตย จะอั้นก็เจิญทั้งสองคนเลยเจ้า”


“นี่หมายความว่า...”เอื้องลดาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเองในใจ ว่านาถนรีคงจะลืมโทร.กลับมาปฏิเสธชยานนท์ให้หล่อนแน่ๆเลย


“คุณนนท์รอคุณเอื้องเมินแล้วเจ้า ข้าเจ้าจะตักข้าวหื้อก็บอกว่าหื้อรอคุณเอื้องมาก่อน”สาวใช้สาธยาย “เจิญเจ้าเจิญ ทั้งคุณนัยและคุณเอื้องเลยเจ้า”


แต่ก่อนที่นัยภาคจะพานางเอกสาวเข้าไปตามคำเชื้อเชิญนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านล่าง


“คุณนัยครับ มีแขกตี๋หัวกั๋นตี้ห้องอาหารรีสอร์ตครับ”


นัยภาคจึงพรวดพราดเดินไปชะเง้อชะแง้อยู่เหนือประตูเรือน ก่อนตะโกนตอบเสียงดังระดับเดียวกันกับผู้ที่ยืนอยู่ด้านล่าง “แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”


“ขะใจ๋ไปผ่อก่อนเต๊อะครับ จะใดก้อยว่ากั๋น”ชายกลางคนร่างใหญ่ตัดบท


ผู้จัดการหนุ่มจึงหันมามองเอื้องลดาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “คุณเอื้องตามนวลเข้าไปก่อนนะครับ ถ้าผมเคลียร์ปัญหาเสร็จแล้วจะรีบกลับมา”


“ได้ค่ะ”หญิงสาวรับคำด้วยความเข้าใจ จากนั้นจึงหันไปหาสาวใช้ชื่อนวล “จริงๆฉันมีธุระกับอาจารย์ชัยพงษ์จ๊ะ ท่านอยู่ไหม”


นวลส่ายหน้า “อาจ๋ารย์บ่อยู่เจ้า มีงานเลี้ยงตี้
มหาวิทยาลัย”


“อ้อ ถ้างั้นก็พาฉันไปพบคุณนนท์ได้แล้วละ”เอื้องลดาสั่งเสียงเรียบ
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 30 มิ.ย. 2013 4:45 pm

อสงไขย.jpg
อสงไขย.jpg (150.33 KiB) เปิดดู 8352 ครั้ง


ทันทีที่ร่างระหงก้าวผ่านกรอบประตูห้องอาหารเข้าไป ชายหนุ่มเจ้าของบ้านก็รีบกุลีกุจอลุกขึ้นต้อนรับ “เชิญครับคุณเอื้อง”


“ขอบคุณค่ะ”หล่อนเอ่ยขอบคุณเขาเมื่อเห็นชยานนท์เลื่อนเก้าอี้ให้ จากนั้นจึงนั่งลงอย่างระมัดระวังกิริยา


“ขอบคุณนะครับที่มาตามคำเชิญของผม”เขาเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมเรียบร้อยแล้ว


ว่าแล้วไหมล่ะ นาถนรีลืมปฏิเสธเขาแทนหล่อนจริงๆ


หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆนึกละอายใจอยู่ไม่น้อย เมื่อรู้ว่าเขา
รอหล่อนจนเกือบทุ่ม แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็คงต้องเลยตามเลยแล้วล่ะ “ต้องขอโทษที่ช้าด้วยค่ะ พอดีเอื้องติดธุระนิดหน่อย”


“ไม่เป็นครับ แค่คุณเอื้องมาผมก็ดีใจแล้ว ทานข้าวกันเลยดีกว่าครับ”เขารวบรัดด้วยสีหน้าอารมณ์ดีก่อนหันหลังกลับไปสั่งนวล “ตักข้าวได้แล้ว”


“เอ่อ คุณชยานนท์คะ วันนี้เอื้องไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ ไม่ค่อยหิว”


คิ้วเข้มขยับเข้าหากันจนชิด ดวงตาคมกริบมองหล่อนด้วยสายตาห่วงใย “เป็นอะไรไปครับ ไปหาหมอก่อนดีไหม”


“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่ปวดหัวนิดหน่อย”เอื้องลดารีบแก้ตัวก่อนเรื่องราวจะลุกลามใหญ่โต พร้อมหลุบตาลงต่ำเพื่อหลบสายตาอาทรของเขา


“ถ้างั้นเดี๋ยวผมให้แม่ครัวทำข้าวต้มให้ทานดีกว่านะครับ”


หญิงสาวส่ายหน้า “อย่าลำบากเลยค่ะ ถ้าคุณชยานนท์จะกรุณาเอื้องขอเป็นผลไม้ดีกว่า เพิ่งทานขนมมาก่อนหน้านี้ด้วยน่ะค่ะ ตอนนี้เลยตื้อๆ”


เขายิ้มน้อยๆก่อนหันไปทางนวลที่รอรับใช้อยู่ไม่ไกล “นวลไปหาผลไม้มาให้คุณเอื้องนะ แล้วก็ขอน้ำส้มอีกแก้วนึงด้วย”


นวลรับคำก่อนเดินเร็วๆออกจากห้องไป ชั่วอึดใจชยานนท์จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังมากนัก “ที่ผมเชิญคุณเอื้องมาทานข้าวเย็นด้วยกันเพราะเหตุผล 2 ประการนะครับ หนึ่งอยากทำความรู้จัก สองผมมีธุระจะคุยด้วย”


ดาราสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาตรงๆด้วยท่าทีสงสัยอย่างหนัก “คุยเรื่องอะไรคะ”


“เรื่องเมื่อกลางวันครับ ที่คุณเอื้องมองเห็นเด็กผู้หญิงผิวขาว ตัวเล็กๆหน้าแป้นๆเกล้าผมมวย สวมชุดเสื้อผ้าฝ้ายและนุ่งผ้าซิ่นพื้นเมือง”


เอื้องลดามีท่าทางเกือบจะเรียกได้ว่าอ้าปากค้าง นึกแปลกใจที่เขาบอกลักษณะของเด็กน้อยได้แม่นยำนัก“ทำไมคุณถึงรู้...”


ชยานนท์หัวเราะในลำคอเบาๆ “ผมเองก็เคยเห็นหมากคำเหมือนคุณนั่นแหละ”


“หมากคำ”หญิงสาวทวนคำ


“ครับ เด็กคนนั้นชื่อหมากคำ”


โทรศัพท์มือถือของชยานนท์แผดเสียงขึ้น ชายหนุ่มจึงเอ่ยคำขอโทษแล้วลุกขึ้นเลี่ยงไปยืนคุยอยู่มุมหนึ่งของห้อง พร้อมๆกับที่นวลนำผลไม้มาเสิร์ฟพอดี เอื้องลดาจึงให้ความสนใจกับผลไม้ตรงหน้ามากกว่าบุรุษที่กำลังกรอกเสียงทักทายบุคคลในโทรศัพท์ “สวัสดีครับลิลลี่”


“วันนี้พี่นนท์ไม่มาที่ผับเหรอคะ ลิลลี่มารอตั้งนานแล้ว พอไปถามผู้จัดการก็บอกว่าวันนี้พี่นนท์จะไม่เข้ามา”น้ำเสียงบอกเล่ายังคงเรียบนิ่งเมื่อเจ้าตัวพยายามฝังกลบความหงุดหงิดเอาไว้ภายใน


“ครับ วันนี้พี่ติดธุระ ว่าแต่ลิลลี่มีอะไรหรือเปล่าถึงอยากเจอพี่น่ะ”


“ก็ ตอนนี้ลิลลี่ไม่อยากพักที่โรงแรมแล้วนี่คะ อยากไปพักที่รีสอร์ตพี่นนท์มากกว่าจะได้ใกล้สถานที่ถ่ายทำ มันไกลค่ะ ลิลลี่เหนื่อยกับการเดินทาง”


“ถ้างั้นพรุ่งนี้พี่จะให้เจ้าหน้าที่จัดเตรียมที่พักให้”เขารับปากอย่างง่ายดาย ไม่เซ้าซี้ถามไถ่ว่าเหตุใดคนที่เรียกร้องจะพักโรงแรมในเมืองอย่างเมรินจึงเกิดเปลี่ยนใจง่ายดาย


“ขอบคุณค่ะพี่นนท์ ถ้างั้นพรุ่งนี้เจอกันนะคะ”บอกสิ่งที่ต้องการเสร็จแล้ว หญิงสาวก็วางสายไป เมรินไม่ต้องการให้เขาเข้าใจว่าหล่อนเป็นคนจุกจิก น่ารำคาญ ด้วยรู้ว่าชยานนท์เป็นคนที่รักอิสระและไม่ต้องการให้ใครมาควบคุม


ฝ่ายชยานนท์นั้น เมื่อจบธุระส่วนตัวแล้วเขาจึงยัดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงและเดินกลับมายังโต๊ะอาหารอีกครั้ง แต่กลับพบว่านัยภาคเองก็กำลังเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนัก


“อ้าว ไปไงมาไงล่ะนัย”


“ผมมารอบนึงแล้วฮะพี่นนท์ แต่พวกพนักงานมาตามให้ไปจัดการกับแขกที่ทะเลาะกันที่ห้องอาหารน่ะครับ”


“นั่งลงก่อนค่อยเล่า”พี่ชายลากเก้าอี้ให้ผู้มาใหม่และนั่งลงพร้อมๆกัน “แล้วตอนนี้สถานการณ์ทางนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ”


“พอผมไปถึงก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น แถมพนักงานที่มาตามก็หายจ้อยไปเลย ไม่เข้าใจว่าจะโกหกเพื่ออะไร ถ้าจับได้จะเตะให้ขาเดี้ยงเลยเชียว”นัยภาคบ่นด้วยอารมณ์กรุ่นๆ


เอื้องลดามองหน้าคนพูดแล้วกลั้นหัวเราะเนื่องจากหล่อนยังไม่เคยเห็นผู้จัดการรีสอร์ตคนนี้หงุดหงิดใครเลยสักครั้ง เพิ่งจะมีวันนี้แหละ


“แต่แปลกนะฮะ ผมไม่เคยเห็นหน้าพนักงานคนนั้นมาก่อนเลย”


“อ้าว แล้วรู้ได้ยังไงคะว่าเป็นพนักงานของรีสอร์ต”หญิงสาวคนเดียวในห้องเอ่ยถาม


“ก็เจ้านั่นใส่ยูนิฟอร์มของรีสอร์ตเรานี่ฮะ


ชยานนท์พยักหน้าก่อนจะมองน้องชายและดาราสาวสลับกัน “ทานข้าวกันก่อนเถอะครับ เดี๋ยวอาหารเย็นชืดไปจะเสียรส นัยทานข้าวให้เต็มที่ อย่ามัวหงุดหงิด บางทีอะไรๆมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 30 มิ.ย. 2013 4:45 pm

ดวงตากลมโตจ้องมองร่างสูงใหญ่ที่หดเล็กลงจนกลายเป็นร่างพี่ชายแล้วจึงหัวเราะด้วยความขำขัน “ตะกี้อ้ายหมากแก้วเหมือนคนใหญ่ขนาดเลยเจ้า สมควรแล้วตี้ข้าเจ้าบอกหื้ออ้ายไปจุน้องบ่าวของพ่อพญาจะอั้น”


“พ่อปู่สั่งอยู่ตลอดว่าบ่หื้อเฮาผิดศีล หมากคำก็ยังบ่เจื้อฟัง”คนเป็นพี่บ่นด้วยเสียงดุ หมากแก้วและหมากคำนั้นแม้จะอยู่ในร่างของเด็กน้อยวัยไม่ถึงสิบขวบ ทว่าดวงวิญญาณทั้งสองก็ผ่านวันผ่านกาลมาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว การมองเห็นการเกิดและดับของผู้คนจากรุ่นสู่รุ่น จึงทำให้ความคิดของสองพี่น้องลุ่มลึกมากกว่าเด็กโดยทั่วไป


เด็กหญิงแสร้งถอนหายใจดังๆ เงยหน้ามองพี่ชายด้วยแววตาใสแจ๋วประดุจแก้วมณี “น้องแค่ต้องก๋ารหื้อพ่อพญาและน้าเอื้องของเฮาได้ใกล้ชิดกั๋นนี่เจ้า เฮาบ่ได้ทำสิ่งเลวร้าย เฮาทำความดีต่างหาก”


สิ้นคำเด็กหญิง สายลมก็พัดกรรโชกแรงขึ้นจนต้นไผ่เสียดสีกันดังเอียดอาด ดอกสีชมพูอ่อนของต้นฉำฉาร่วงหล่นโปรยปรายท่ามกลางความมืด ชั่วครู่ร่างสูงใหญ่หากหลังไหล่กลับลู่ค้อมตามวัยของพ่อปู่อินถาก็ปรากฏขึ้น


หมากคำปรายตามองพี่ชายก่อนจะขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายด้วยเกรงกลัวต่อความผิด หมากแก้วจึงแก้ไขสถานการณ์ด้วยการยิ้มเผล่ให้ผู้เป็นปู่ของตนก่อนจะแก้ตัว“หันว่าพ่อปู่นั่งสมาธิอยู่เฮาสองคนก็เลยออกมาแอ่วเล่นเจ้า”


ชายชราในชุดขาวก้มลงมองหลานทั้งสอง หมากคำเริ่มร้อนตัวขยับเข้าไปชิดหลังพี่ชายมากยิ่งขึ้น ขณะที่หมากแก้วนั้นยังคงยืนนิ่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน


“สูเจ้าไปไหนมากั๋น” น้ำเสียงแหบแห้งถามอย่างปกติไร้ร่องรอยแห่งการตำหนิ


หมากคำค่อยใจชื้นขึ้น เดินเข้ามาหาผู้เป็นปู่เกาะชายผ้าสีขาวรุ่ยร่ายนั่นไว้ “ก็เตียวไปเรื่อยๆเจ้า”


พ่อปู่อินถาเปล่งเสียงหัวเราะชอบใจกับคำตอบอ้อมโลกของหลานสาวก่อนดักคอ “เตียวไปเรื่อยๆจ๋นถึงคุ้มของพ่อพญาแม่นก่อหมากคำ”


หมากคำหัวเราะแหะๆ มองพี่ชายตาแป๋วเป็นสัญญาณให้ช่วยแก้ไขสถานการณ์ หมากแก้วจึงยิงคำถามกลบเกลื่อน “พ่อปู่มาโตยหาเฮาสองคนกาเจ้า”


“แม่นละ ปู่มีเรื่องจักสั่งเจ้า”


“เรื่องใดกั๋นเจ้า”หมากแก้วเป็นผู้ถาม ดวงตาของเด็กน้อยฉายแววกระตือรือร้นและใคร่รู้ผสมผสานกันไป


“เจ้าทั้งสองคงได้ปะหน้าน้าเอื้องฟ้าของเจ้าแล้ว”


ดวงหน้าเล็กๆของทั้งคู่พยักขึ้นลงหงึกหงัก หากเจ้าตัวยังเงียบรอฟังคำสั่งต่อ


“ต่อไปนี้เจ้าทั้งสองจงคอยดูแลน้าเอื้องฟ้าหื้อดี”


“แสดงว่าถึงเวลาแล้ว”หมากคำถามพลางจ้องรอฟังคำตอบอย่างจดจ่อ


พ่อปู่อินถาถอนหายใจเบาๆก่อนพยักหน้า “เวียนมาถึงวาระอันมีดวงชะต๋าเป๋นตั๋วกำหนดชีวิตแล้ว แต่ด้วยความผูกพันก่อนเก่า ยะหื้อหมู่เฮาต้องคอยจ้วยเหลือนาง เจ้าสองตนก็มีหน้าที่ของตั๋วเก่า ส่วนปู่ก็มีหน้าที่ของปู่เช่นกั๋น”


แม้ไม่ค่อยเข้าใจถ้อยคำของผู้ชรานักแต่เด็กน้อยทั้งสองก็รับคำแต่โดยดี น้าเอื้องฟ้าเป็นน้าสาวที่ทั้งสองรักใคร่มากนัก คำสั่งของผู้เป็นปู่จึงเป็นเรื่องที่หมากแก้วและหมากคำเต็มใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว


ดวงตาภายใต้เปลือกตาอันเหี่ยวย่นเหม่อมองไปยังคุ้มเวียงพิงค์อย่างแน่วแน่


วันเวลาที่เวียนมาบรรจบอาจทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายได้ไม่จบสิ้น ทั้งนี้ก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากเวรกรรมที่มนุษย์สั่งสมเอาไว้แต่ก่อนเก่า เหตุการณ์ทุกอย่างจึงเป็นไปตาม วาระแห่งกรรม อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้คนผู้นั้นจะสูงส่งเพียงใดก็ตาม
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 30 มิ.ย. 2013 4:47 pm

girls_drawing10.jpg
girls_drawing10.jpg (36.55 KiB) เปิดดู 9405 ครั้ง


บทที่ ๕

ประตูไม้เปิดออกหลังเจ้าของห้องเช็คผ่านช่องตาแมวแล้วว่า ผู้ที่มาเคาะประตูเรียกในช่วงเวลาหลังสี่ทุ่มคืนนี้คือบุคคลที่ไว้ใจได้


“ยังไม่นอนใช่ไหมน้องเอื้อง พี่กลับมาดึกไปหน่อย พอดีเพื่อนชวนไปเดินไนท์บาร์ซ่าน่ะ”นาถนรีรีบถามทันทีที่ได้เผชิญหน้ากับผู้ซึ่งยืนยิ้มแป้นรออยู่


“เพิ่งอาบน้ำเสร็จค่ะ เข้ามาข้างในก่อนสิคะพี่นัท”เอื้องลดาเชื้อเชิญแล้วจึงเดินเข้าไปก่อน


นาถนรีทำตามอย่างว่าง่าย หล่อนเลือกที่จะนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ขณะที่เจ้าของห้องนั่งหมิ่นเหม่อยู่ที่ขอบเตียงฝั่งตรงข้ามกับฝ่ายแรก


“พี่ลืมปฏิเสธคุณนนท์ให้น้องเอื้อง พอโทร.ไปตอนสองทุ่มเขากลับบอกว่าน้องเอื้องเพิ่งออกไป ตกลงเปลี่ยนใจรับนัดคุณนนท์ตอนหลังเหรอ”ผู้เป็นแขกเปิดประเด็นด้วยสีหน้ายิ้มๆ


เอื้องลดาจ้องผู้ถามเขม็งขณะตอบด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ “เอื้องไปที่คุ้มเพราะต้องการพบอ.ชัยพงษ์พ่อของคุณชยานนท์ค่ะ แต่ท่านไม่อยู่ เขาก็เลยเข้าใจผิดว่าเอื้องตั้งใจจะไปทานข้าวด้วย”


“แล้วน้องเอื้องทำยังไงล่ะ”


“เอื้องก็บอกว่าไม่ค่อยหิว ขอทานแค่ผลไม้น่ะค่ะ เขาก็ไม่ว่าอะไร”


“ตายแล้ว พี่ต้องขอโทษจริงๆ ดีนะที่คุณนนท์ไม่ใช่คนเรื่องมาก ก็เลยไม่ถือสาน่ะ ว่าแต่ได้คุยอะไรกันบ้างล่ะ”


“ดูๆแล้วเขาคงอยากถามเอื้องเรื่องเด็กเมื่อกลางวันน่ะค่ะ ท่าทางเขาสนใจเรื่องนี้มาก แถมรู้อีกต่างหากว่าเด็กชื่อหมากคำ”


นาถนรีหรี่ตาลงเล็กน้อย “หมายความว่าไง สรุปเด็กนั้นเป็นคน หรือว่าคุณนนท์ติดต่อกับผีได้”


“ยังไม่ชัดเจนค่ะ พอดีคุณนัยเข้ามาเสียก่อนเลยไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ”


“เฮ้อ คุณนัยนะคุณนัย แทนที่จะกระจ่าง ดันมาขัดขวางเสียนี่”


“อย่าตำหนิเลยค่ะ จริงๆคุณนัยตั้งใจจะให้เอื้องไปปรึกษาอ.ชัยพงษ์เรื่องนี้เพราะท่านมีความรู้เกี่ยวกับความเชื่อและประวัติของเมืองล้านนาดีน่ะค่ะ”


“อืม ใช่ พี่ได้ยินมาว่าอ.ชัยพงษ์ท่านบวชเรียนจนอายุสามสิบต้นๆ แต่คุณพ่อของท่านดันมาเสีย พอไม่มีใครดูแลคุณแม่ท่านถึงสึกนะ”


“ถ้างั้นก็แสดงว่าอาจารย์อายุห่างจากเจ้าสกุลรัตน์หลายปีสิคะ”


“ก็ใช่น่ะสิ” นาถนรีรับคำแล้วจึงหัวเราะ “ถ้าเอื้องเจอท่านทั้งสองคนแล้วจะแปลกใจ เจ้าสกุลรัตน์ดูสวยเนี้ยบ ทันสมัย แต่อ.ชัยพงษ์จะออกแนวสมถะและดูคงแก่เรียน ท่านมีดีกรีดอกเตอร์ทางโบราณคดีแล้วยังจบปริญญาโททางวิทยาศาสตร์ด้วยนะ”


“โห เรียนสองอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยนะคะ”


คนเล่าพยักหน้า “แต่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อไสยศาสตร์ด้วยน่ะ ดังนั้นไม่ว่าคนหัวใหม่หรือหัวเก่าก็คุยกับท่านได้”


“เอื้องชักอยากจะพบท่านแล้วสิคะ”


“โอย เราถ่ายละครอีกเป็นเดือนยังไงก็ได้พบแน่ ไม่ต้องห่วง เอาล่ะ พี่แวะมาดูเฉยๆเดี๋ยวจะกลับไปอาบน้ำนอนแล้ว”คนพูดบอกพลางลุกขึ้นยืน


เจ้าของห้องจึงลุกตามและจูงมืออีกฝ่ายเดินไปยังประตูห้อง ก่อนจะเปิดมันออก“ฝันดีนะคะพี่นัท”


คนเป็นพี่ยิ้มพลางจ้องหน้า “น้องเอื้องก็เหมือนกัน อย่าลืมสวดมนต์ก่อนนอนล่ะ”


น้องสาวพยักหน้า “ไม่ลืมแน่นอนค่ะ”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 30 มิ.ย. 2013 4:48 pm

ดวงตาเรียวคมมองกวาดรอบกายอย่างช้าๆ หมอกสีขาวโพลนลอยเอื่อยอยู่ใต้เงื้อมเงาร่มครึ้มของต้นไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบ หม่นมัวจนมองไม่เห็นฉากหลัง เนิ่นนาน ทั่วบริเวณยังคงเงียบงันปราศจากสรรพเสียงใดๆ เงียบเสียจนชายหนุ่มแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจตนเอง


เรือนร่างสูงโปร่งหากเต็มไปด้วยมัดกล้ามสมชายชาตรีขยับตัว ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความระแวดระวัง แล้วจู่ๆชายชราซึ่งแต่งกายด้วยชุดสีขาวคล้ายพราหมณ์ก็ก้าวผ่านม่านหมอกทึบออกมาจากหลังดงไม้


ดวงตาคมกล้าจับจ้องอีกฝ่ายเขม็งแต่ชยานนท์ก็มิได้ถอยหนีหรือขลาดกลัว เขายังคงตรึงเท้าเอาไว้ ณ จุดเดิม รอจนผู้สูงวัยเดินเข้ามาใกล้ ไม่สิ ต้องใช้คำว่าเคลื่อนตัวเข้ามามากกว่าเพราะเพียงแค่พริบตาเดียวชายชราก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาเสียแล้ว โดยที่ไม่มีการก้าวเดินเลยสักนิด และยิ่งอยู่ใกล้มากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งมองเห็นแสงสว่างเมลืองมลังที่ปรากฏอยู่รอบกายชายชรามากเท่านั้น


ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยแค่พอมองเห็นว่าชายชุดขาวกำลังยื่นมือออกมาหาเขาและแบออก


สิ่งที่วางอยู่กลางอุ้งมือเหี่ยวย่นคือแหวนนาควงไม่ใหญ่นัก ถ้านำมาสวมน่าจะพอดีกับนิ้วก้อยของเขามากกว่านิ้วอื่นๆ ชายหนุ่มพินิจดูแหวนวงนั้นอยู่ครู่ใหญ่จึงเงยหน้าขึ้นคล้ายกำลังใช้สายตาถามคำถาม


พ่อปู่อินถามองตอบมาด้วยสายตาปรานี พร้อมทั้งเอ่ยขึ้นเบาๆ “ก๋รรมเก่าบังต๋าบังใจ๋เอาไว้ จงเร่งสร้างบารมีขึ้นเต๊อะพ่อพญา ผลแห่งความดีจักจ้วยเหลือทุกคนได้”


คล้ายถูกมนต์สะกด ชายหนุ่มยื่นมือออกไปรับแหวนนาคมาสวมไว้


แสงสีทองสุกปลั่งเปล่งรัศมีออกจากแหวนวงน้อย สว่างไสวเสียจนดวงตาพร่ามัว ชยานนท์หลับตาลงด้วยสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง กลับพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวใต้ร่มเงาไม้สลีคู่แห่งเมืองเก่าสลีคำ
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 30 มิ.ย. 2013 4:48 pm

ดวงตาที่ปิดสนิทขยับเล็กน้อยก่อนจะเปิดออกขณะที่เจ้าตัวผุดลุกขึ้นนั่งกลางที่นอนและพบว่าเวลานี้มีเพียงแสงไฟนอกเรือนส่องลอดเข้ามาตามช่องว่างระหว่างม่านสีน้ำเงินเข้ม ไม่มีหมอกสลัวและไม้สลีที่เพิ่งเห็นในความนิมิต


เมื่อหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ในฝันเมื่อครู่ ชยานนท์ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงยกมือซ้ายของตนขึ้นมาดูและพบว่านิ้วก้อยเรียวยาวของตนว่างเปล่า ไม่มีแหวนนาค ไม่ได้เป็นไปตามความฝันเลย


เรียวปากหยักลึกขยับมุมขึ้นเล็กน้อย นึกขำที่ตนเองเชื่อความฝันเป็นตุเป็นตะ นี่ถ้าพบว่าแหวนวงนั้นสวมอยู่ในนิ้วของตนจริงๆคงประหลาดนัก


แต่ก็มีทางเป็นไปได้อยู่บ้าง ในเมื่อเขายังสามารถมองเห็นหมากแก้วกับหมากคำได้เลยนี่นา อีกใจค้านก่อนที่ชายหนุ่มจะขยับตัวเปลี่ยนเป็นท่านอนแล้วข่มตาลงอีกครั้ง


รอให้เช้าก่อนเถอะ เขาจะไปยังเมืองเก่าสลีคำ สถานที่ในความฝันซึ่งชยานนท์มั่นใจว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างไม่ธรรมดาซ่อนอยู่อย่างแน่นอน
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 30 มิ.ย. 2013 4:49 pm

เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วบนต้นไม้ข้างบ้านพักเป็นเหตุให้ร่างบอบบางซึ่งนอนอยู่บนเตียงสี่เสาเริ่มขยับตัวและลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด


เอื้องลดาเงี่ยหูฟังสรรพเสียงรอบตัวแล้วยิ้มกริ่ม โชคดีที่หล่อนเลือกพักอยู่ไกลตัวเมืองดังเช่นรีสอร์ตพิงครัตน์แห่งนี้จึงมีโอกาสได้สัมผัสความเป็นธรรมชาติที่ไม่มีสิ่งใดเจือปน เสียดายที่คืนแรกนั้นหญิงสาวอ่อนเพลียจากการเดินทาง จึงทำให้นอนตื่นสาย เอาล่ะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เขาว่าคนตื่นเช้านั้นได้เปรียบ วันนี้หล่อนคงต้องฉกฉวยความได้เปรียบเอาไว้ให้ชุ่มปอดก่อน คิดดังนั้นเอื้องลดาก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นอน หยิบผ้าเช็ดตัวหนานุ่มเดินเข้าห้องน้ำไปด้วยความรู้สึกสดชื่น


แม้จะอยู่ในช่วงกลางเดือนเมษายนแต่อากาศยามค่ำคืนจนถึงเช้าตรู่ของเมืองเชียงใหม่นั้นยังค่อนข้างเย็นต่างจากช่วงเวลากลางวันลิบลับ หญิงสาวจึงรีบอาบน้ำด้วยความรวดเร็วก่อนจะใช้ผ้าขนหนูผืนใหญ่พันตัวออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าสดใส จากนั้นจึงปลดเสื้อสีตองอ่อนเนื้อผ้าเบาพลิ้วจากไม้แขวนออกมาสวม ตามด้วยกางเกงสามส่วนสีขาวสะอาด เสร็จแล้วตวัดผมยาวสลวยของตนมวนขึ้นเป็นมวย ทว่าก็ยังมีไรผมปอยเล็กๆระอยู่สองข้างแก้มดูเก๋ไก๋


ดวงตาปราศจากการแต่งแต้มจ้องมองภาพตนเองในกระจกอย่างพึงพอใจ ครู่ใหญ่หญิงสาวจึงหยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กๆสีน้ำตาลขึ้นคล้องไหล่ ก้าวเดินไปยังประตูห้อง เปิดมันออกช้าๆเพื่อรับกลิ่นอายแห่งอรุณ


ความสว่างเริ่มแทรกตัวผ่านความมืดเข้ามาแล้ว หากก็ยังมีหมอกจางๆให้เห็นอยู่บนยอดดอยสุเทพไกลๆ สองตาของหล่อนทอดมองไปเบื้องหน้าซึ่งมีผืนหญ้าและดอกไม้ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ขณะที่สองขาก้าวไปตามทางเดินปูด้วยอิฐที่เรียงรายจนจรดด้านหลังรีสอร์ตซึ่งมีประตูไม้บานเล็กๆสำหรับเปิดออกไปสู่ภายนอกอันเป็นเส้นทางสำหรับเดินไปยังโบราณสถานสลีคำ


หญิงสาวยังคงเดินทอดน่องไปช้าๆไม่เร่งรีบ ราวสามนาทีก็มาถึงประตูรั้ว หล่อนเปิดมันออกอย่างเบามือก่อนแทรกกายผ่านกรอบประตูออกมายืนด้านนอกอาณาเขตรีสอร์ต


สายลมเย็นพัดกรูเข้ามาต้องผิวเนื้อนับตั้งแต่ก้าวแรกที่เอื้องลดาเหยียบย่างออกมาถึงบริเวณใต้ต้นมะม่วงต้นใหญ่ หญิงสาวยกสองมือขึ้นลูบเรียวแขนซึ่งขนอ่อนกำลังชูชัน พร้อมทั้งหันมองรอบกายอย่างพินิจ ด้วยรู้สึกราวกับว่าตนเองมิได้อยู่เพียงลำพัง


ณ วินาทีนั้น หากเอื้องลดาก้มลงมองนิ้วก้อยที่สวมแหวนนาคสักนิดก็คงจะพบว่าแหวนวงน้อยกำลังเปล่งรัศมีแรเหลือบทองวูบวาบอร่ามตา


แต่ไม่เลย เวลานี้หญิงสาวกำลังเงยหน้าขึ้นมองเหนือศีรษะ เนื่องจากได้กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกกล้วยไม้สีเหลืองซึ่งห้อยลงมาเป็นพวงระย้าเหนือคาคบไม้สูงส่งกลิ่นโชยชายรวยริน เห็นดอกเอื้องครั้งใดพานให้ใจกระหวัดไปถึงคุณยายผู้ล่วงลับ ผู้เป็นคนตั้งชื่อ “เอื้องลดา”ให้กับหลานสาวคนเดียวคนนี้


คุณอัญชลีแม่ของหล่อนเคยเล่าให้ฟังว่า คุณยายสายหยุดเป็นชาวเชียงใหม่โดยกำเนิด ส่วนคุณตานั้นเป็นตำรวจรถไฟซึ่งเดินทางไปมาระหว่างเชียงใหม่-กรุงเทพฯบ่อยครั้ง ท่านทั้งสองจึงพบรักกันและคุณยายได้ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯหลังแต่งงาน แต่น่าเสียดายที่คุณยายสายหยุดอายุสั้นนักจึงทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างคุณอัญชลีและญาติๆที่เชียงใหม่พลอยห่างเหินตามไปด้วย
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง นวนิยาย

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน

cron