นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

นวนิยาย เรื่องยาว ต่างๆ

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 30 มิ.ย. 2013 4:49 pm

“สูจะไปไหน”เสียบแหบแห้งที่จู่ๆก็ดังขึ้นข้างตัวเป็นเหตุให้หญิงสาวผู้ตกอยู่ในภวังค์ความคิดถึงกับสะดุ้งโหยงและหันขวับ มองไปยังริมลำธารอันเป็นทิศทางที่มาของเสียงดังกล่าว


แล้วกลับต้องชะงัก เมื่อพบว่าผู้ที่ยืนนิ่งรออยู่เป็นผู้ทรงศีลในชุดสีขาวสะอาด ครู่หนึ่งจึงเอ่ยตอบ“ดิฉันจะไปที่เมืองเก่าสลีคำค่ะ”


ชายในชุดขาวพยักหน้า “สูคงจะหมายถึงเมืองอนันตกาลสินะ”


คิ้วเรียวสวยไร้การตกแต่งขยับเข้าหากันเมื่อย้อนถาม “เมืองอนันตกาลที่ว่านี่หมายถึงเมืองเก่าที่อยู่ใกล้ๆนี่หรือคะ”


“อืม แม่นละ ยามนี้กาลล่วงเลยมายาวนาน ผู้คนคงจะตั้งจื้อเมืองต๋ามตี้ปร๋ากฏแก่สายต๋า เพราะบ่เกยฮู้ว่าจื้อดั้งเดิมของเมืองนั้นคือ อนันตกาล”


“ประหลาดจัง ไม่มีใครรู้เลยหรือคะท่าน”


ผู้ทรงศีลพยักหน้า “ก็คงจะเหมือนตี้บ่เกยฮู้ว่าลำน้ำสายนี้เกยเป๋นแม่น้ำอันกว้างใหญ่เมื่อปันปี๋ก่อน”


“แม่น้ำสายกว้างใหญ่”หญิงสาวทวนคำพลางหันไปมองลำธารสายเล็กๆซึ่งไหลรินขนาบทางเดินจากทิศเหนือจรดทิศใต้ด้วยความรู้สึกหม่นหมอง กาลเวลาสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้มากมายเหลือเกิน


“ใหญ่ถึงขนาดเฮือสำเภาแล่นผ่านมาได้หลายลำเทียวนา”ผู้เฒ่าชุดขาวสำทับ


“นานวันไปธารน้ำคงจะตื้นเขินขึ้น น่าเสียดายนะคะ อาจจะเหมือนเวียงกุมกามที่อยู่ใต้เมืองเชียงใหม่ลงไป ซึ่งน้ำปิงเปลี่ยนสายจนเมืองทั้งเมืองกลายเป็นเมืองในตำนานอยู่หลายชั่วอายุคน”หญิงสาวโต้ตอบผู้มาใหม่พร้อมกับก้าวเดินไปราวกับเป็นคนที่คุ้นเคยกันมานาน โดยที่ไม่มีความรู้สึกหวาดระแวงใดๆทั้งสิ้น


“เมืองแห่งนี้เกิดก่อนเวียงกุมกามหลายปี๋นัก เมินเสียจ๋นแทบจะบ่หลงเหลือความทรงจ๋ำใดๆเอาไว้เลย”


“ปกติเมืองอื่นจะเหลือจารึกเอาไว้บ้าง แล้วเมืองนี้ไม่มีหรือคะ”


“มี”ผู้ทรงศีลหยุดเดิน หันมามองผู้ถามด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดาอารมณ์ได้ “แต่จ๋มอยู่ใต้ดิน บ่มีไผเซาะปะ”


เอื้องลดารู้สึกสะดุดใจ หันมามอง หากก็ยังก้าวเดินต่อไปไม่หยุด อีกไม่ถึงสิบเมตรก็จะเข้าสู่อาณาเขตของเมืองเก่าสลีคำแล้ว“ทำไมท่านถึงรู้ล่ะคะ คนทั่วไปรู้เรื่องนี้บ้างหรือเปล่า”


ชายในชุดขาวไม่ยอมตอบคำถาม แต่กลับขยับมุมปากใต้หนวดเครานั้นให้มียิ้มน้อยๆ“ตี้แห่งนี้มีหลายสิ่งตี้คนทั่วไปสัมผัสบ่ได้ นอกจากคนตี้ได้ฮับอนุญาตเต้าอั้นนะลูก”


“ค่ะ”หญิงสาวรับคำและก้าวผ่านประตูทางเข้าโบราณสถานไปยืนอยู่บนพื้นดินที่ปกคลุมด้วยผืนหญ้าสีเขียวครึ้ม สายตาคู่งามเปลี่ยนวิถีจับจ้องไปยังร่างสูงโปร่งที่กำลังยืนกอดอกอยู่ข้างพระธาตุหรือที่ภาษาเหนือเรียกว่ากู่กุด


“อ้าว คุณเอื้อง ตื่นแต่เช้าจังเลยนะครับ”เขาถามพลางก้าวฉับๆเข้ามาหา


เอื้องลดายิ้มให้อีกฝ่ายแต่ไกล แล้วจึงหันกลับมามองคู่สนทนาคนเก่า


แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า ผู้ชราในชุดขาวไม่อยู่เสียแล้ว


“คุณเอื้องมาทำอะไรที่นี่ครับ อย่าบอกนะว่ามาสำรวจสถานที่ถ่ายทำ” ชายหนุ่มคนเดิมเอ่ยถาม หลังจากเดินเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ๆ


นางเอกสาวสั่นหน้า “เปล่าหรอกค่ะ เอื้องแค่มาตามหาเด็กคนนั้น”


“คุณหมายถึงหมากคำ”


“ค่ะ เด็กคนนั้นแหละ แต่ก็ไม่เจอเลยค่ะ เจอแต่คนแก่แต่งตัวคล้ายๆพราหมณ์”


ชยานนท์เลิกคิ้ว สบสายตาคมนิ่ง หัวใจไหวหวั่นลึกๆทว่าเขายังคงมีสติไต่ถามถึงสิ่งที่ฟังแล้วข้องใจ “ผมไม่เคยเห็นว่ามีชีปะขาวหรือพราหมณ์อยู่แถวนี้เลยนะฮะ”


“อ้าว ก็คนที่เดินมาพร้อมกับเอื้องไงคะ ตอนแรกๆเห็นคุณมองอยู่ก่อนแล้ว น่าจะทันเห็น เอ่อ จะเรียกอะไรดีล่ะ พราหมณ์คนนั้น”หญิงสาวท้วงอย่างแปลกใจ หล่อนพูดคุยกับผู้เฒ่าอยู่แหม็บๆ ในจังหวะที่ชยานนท์เองก็มองอยู่ แล้วชายหนุ่มจะไม่ทันเห็นได้อย่างไรกัน


ทว่าคนฟังกลับยิ้ม สั่นหน้าช้าๆ “ผมเห็นคุณเอื้องตั้งแต่เดินพ้นโค้งริมฝายน้ำ ก่อนจะมาถึงประตูทางเข้าแล้วล่ะครับ คุณเดินมาคนเดียว ไม่มีใครเดินมาด้วยเลย”


“อะไรกันคะ เป็นไปได้ยังไง”เอื้องลดาถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจสุดขีด
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 06 ก.ค. 2013 9:21 pm

บทที่ ๖

ตั้งแต่บทนี้ เปลี่ยนชื่อพระเอกมาเป็น "นทีดล"นะคะ


(เปลี่ยนชื่อพระเอกมาเป็นนทีดลนะคะ)



“คุณคงเจอผีหลอกกลางวันเสียแล้วล่ะ”


ดวงตาสีนิลของคนฟังวาวประกายแห่งความสงสัยขณะสบสายตาคมกริบของชายหนุ่มเจ้าถิ่น “นี่คุณไม่ได้พูดเล่นใช่ไหมคะ”


นทีดลระบายยิ้มน้อยๆที่มุมปากหากสีหน้ากลับจริงจังในยามตอบ “ผมพูดจริง แต่ก็นั่นแหละที่นี่มีอะไรหลายอย่างที่เหลือเชื่ออยู่เสมอ”


“คุณจะยืนยันเหรอคะ ว่าเมื่อกี้เอื้องคุยอยู่กับผีน่ะ”


ชายหนุ่มหันซ้ายหันขวาไปรอบตัวก่อนจะตอบ “ก็คงจะเป็นอื่นไปไม่ได้แล้วล่ะครับ ดูเอาเถอะ ถ้าพ่อขาวที่คุณพบไม่ใช่ผีแล้วตอนนี้ท่านหายไปไหน”


เอื้องลดามองตามสายตาของอีกฝ่ายพลางสั่นหัว “ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ พ่อขาวรูปนั้นเล่าให้เอื้องฟังว่าที่นี่มีจารึกโบราณฝังอยู่ แถมยังบอกอีกว่าลำธารข้างนอกนั่นเคยเป็นแม่น้ำสายหลักที่มีเรือสำเภาเข้ามาจอดเทียบได้ด้วย”


“แล้วคุณคิดว่าท่านบอกคุณทำไม”เขาจ้องดวงหน้านวลรอคำตอบ


หญิงสาวกรอกตาไปมาแล้วจึงจ้องตอบเขาตรงๆ “คงเพราะอยากให้คนรู้มั้งคะ โดยใช้เอื้องเป็นสื่อ”


“แล้วทำไมต้องเป็นคุณเอื้องล่ะครับ”เขายังคงถามต่อด้วยกระแสเสียงเรียบนิ่ง สายตาประสานดวงตาคู่งามไม่ละ จนผู้ถูกถามรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าจนต้องเสไปมองทางอื่นแทน


ไม่เข้าใจเหมือนกัน เหตุใดหัวอกหัวใจจึงมักจะสั่นไหวยามที่ได้สบตาเขา ชายหนุ่มแปลกหน้าทว่าช่างคุ้นใจเสียเหลือเกิน


หรือหล่อนกำลังหลงเสน่ห์เขากันนะ จึงพยายามสร้างเหตุผลขึ้นมาหลอกตัวเอง


“เอื้องน่าจะเป็นคนที่ได้รับอนุญาตให้รับรู้เรื่องนี้มั้งคะ”


ชายหนุ่มจึงค่อยยิ้มออกเมื่อเห็นว่าตนเองตีขลุมหญิงสาวได้สำเร็จ ยากเหลือเกินที่จะอธิบายให้ใครสักคนเข้าใจถึงทุกสิ่งที่เป็นอยู่เวลานี้ “ที่คุณได้รับอนุญาตก็เพราะเคยมีความผูกพันกับที่นี่ไงละครับ”


ถ้อยคำของเขารั้งใจเอื้องลดาให้นึกถึงคำพูดของปู่สุนทรขึ้นมาทันควัน “การที่ทุกคนได้มาพบกันอีกครั้ง เพราะต่างก็เคยมีความผูกพันต่อกันมาก่อน”


หรือจะเป็นดังว่าจริงๆกันหนอ


“แต่อย่าคิดมากเลย ในเมืองเก่ามักจะเต็มไปด้วยดวงวิญญาณหลายประเภท รวมไปถึงอารักษ์ที่ปักปักรักษาเมืองมาแต่เดิมด้วย”


หญิงสาวกะพริบตาปริบๆมองผู้พูดอย่างทึ่งๆ ผู้ชายหัวใหม่อย่างเขานี่หรือจะเชื่อเรื่องเร้นลับที่พิสูจน์ไม่ได้อย่างนี้


“นี่คุณสนใจเรื่องแบบนี้ด้วยหรือคะ”หล่อนหลุดปากถามไปเบาๆ


นทีดลหัวเราะหึๆ “ก็คุณพ่อของผมศึกษาเรื่องพวกนี้อยู่นี่ครับ ท่านมักจะเล่าให้ผมฟังบ่อยๆ”


“เอื้องก็ทราบมาเหมือนกันค่ะ ว่าอ.ชัยพงษ์พ่อของคุณนทีดลเป็นนักประวัติศาสตร์คนสำคัญของล้านนา”


นทีดลยิ้มน้อยๆตามแบบฉบับ “แล้วก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วยครับ”


“เอื้องเองก็อยากปรึกษาท่านค่ะ ว่าสิ่งที่เอื้องพบเจอมาเนี่ยไม่รู้ว่าเป็นสิ่งดีหรือสิ่งร้าย ที่สำคัญเอื้องไม่รู้ประเพณีของภาคเหนือ เกรงว่าจะทำอะไรไม่ถูกไม่ควรลงไป”


“ช่วงนี้คุณพ่อผมอยู่บ้านทุกวันแหละครับ ถ้าคุณเอื้องว่างช่วงไหนก็แวะไปพบท่านได้”


เอื้องลดาระบายยิ้มเต็มหน้า “จริงนะคะคุณนทีดล”


หากชายหนุ่มกลับทำหน้าตายเข้าใส่ ก่อนจะบอก “เรียกผมว่าดลเฉยๆดีกว่า”


“ได้ค่ะคุณดล ว่าแต่เอื้องอยากฟังเรื่องเด็กคนนั้น เอ่อ หมากคำน่ะค่ะ คุณดลช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม”


“ได้สิครับ เดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้เราไปกราบกู่ข้างในกันก่อนดีกว่า เพื่อความเป็นสิริมงคลในวันปีใหม่เมือง”


เอื้องลดาเพิ่งนึกขึ้นได้จึงโคลงศีรษะไปมา “จริงสิคะ วันนี้เป็นวันสงกรานต์ คงเป็นเพราะเอื้องถ่ายละครทุกวันก็เลยลืมวันลืมคืนน่ะค่ะ”


“ถ้างั้นเชิญทางนี้เลยครับ”ชายหนุ่มผายมือแล้วรอให้หญิงสาวเดินนำไปก่อนจึงก้าวตามไปอย่างช้าๆ
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 06 ก.ค. 2013 9:22 pm

599369_196731497142863_2066912164_n.jpg
599369_196731497142863_2066912164_n.jpg (32.9 KiB) เปิดดู 9362 ครั้ง


“กึ๊ดจะยะหยังแหมแล้วหมากคำ”หมากเงินร้องถามน้องสาวเสียงดังเมื่อเห็นว่าหมากคำกำลังทำลับๆล่อๆอยู่ด้านหลังสองหนุ่มสาวที่กำลังจุดธูปไหว้พระธาตุโบราณอยู่เบื้องหน้า


หนูน้อยเอียงหน้ามามองพี่ชายพลางยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปาก หมากแก้วเห็นแล้วหัวเราะ “ยะหยั่งกับเวลาเฮาอู้กั๋นแล้วมนุษย์เปิ้นจะได้ยินจะอั้นล่ะ คนละภพภูมิกั๋น ถึงแม้จะอยู่ใกล้เต้าใด ก็สื่อบ่ถึงกั๋นหรอก ถ้าเฮาบ่ตั้งใจ๋หื้อเป๋นน่ะ”


หมากคำทำหน้าง้ำเข้าใส่ “น้องฮู้แล้ว น้องก็แค่ลืมไปบ่ดาย”


หมากแก้วขยับเข้าไปยืนข้างน้องสาวพลางถามต่อ “ทีนี้น้องจะบอกอ้ายได้หรือยังว่าน้องมีเจตนาจะยะใด”


“น้องจะยู้พ่อพญากับน้าเอื้องเข้าใส่กั๋น”


พี่ชายทำตาโต ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้หน้ากลมแป้นแล้วจึงถาม “ยู้จะใดกา”


หมากคำหัวเราะกิ๊ก “ยู้หื้อเข้าใกล้กั๋น ฮักกั๋นจะใดล่ะเจ้า”


หมากแก้วได้ฟังจึงกอดอกครุ่นคิด “ฤๅน้องกึ๊ดว่าตั๋วเก่าเป๋นเทพแห่งความฮัก”


ไหล่เล็กๆขยับไปมาเลียนแบบพวกมนุษย์ พร้อมทั้งทำหน้าไม่รู้สึกรู้สา “ถ้าเป๋นไปได้ก็ดีกะเจ้า น้องจะได้จ้วยหื้อทั้งสองคนสมหวัง”


“แต่พ่อปู่เกยบอกอ้ายว่า ก่อนตี้วิญญาณทุกดวงจะไปเกิดจะต้องกิ๋นน้ำลืมจ้าด เพื่อหื้อลืมอดีต บ่หลงเหลือบุพเพนิวาสนุสสติญาณ เมื่อเป๋นจะอี้แล้วน้องฮู้ได้จะใดว่าทั้งสองคนใค่หื้อน้องจ้วย”


ปากเล็กๆบนใบหน้ากลมแป้นเบะออกด้วยความเอาแต่ใจ แล้วจึงเถียง “อ้ายบ่ฮู้อะหยัง น้องลักหันทั้งสองคนสบต๋ากั๋นปิ๊งๆหลายเตื้อแล้ว แหมบ่ปอน้าเอื้องก็มักจะแป๋งหน้าแดงอย่างหน่วยผักแคบเวลาอยู่ใกล้ๆพ่อพญา”


หมากแก้วเม้มริมฝีปากกลั้นหัวเราะ ก่อนจะปราม “แต่น้องก็ต้องระวังเพราะมันบ่ใจ้หน้าที่ของเฮานา”


หมากคำยักคิ้วให้พี่ชาย จากนั้นจึงหันไปมองสองหนุ่มสาวที่ตนเองหมานมั่นปั้นมือเอาไว้ เมื่อได้จังหวะที่ทั้งคู่ปักธูปลงในกระถางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำท่าจะลุกขึ้นยืน เด็กน้อยจึงโถมกายเข้าไปชนเอื้องลดาโครมใหญ่


“หมากคำ!” หมากแก้วร้องเสียงหลง ทว่ากลับไม่ทันการ เวลานี้เอื้องลดากำลังเสียหลักเซไปข้างๆกู่อันเต็มไปด้วยก้อนอิฐแตกหักเสียแล้ว
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 06 ก.ค. 2013 9:23 pm

“คุณเอื้อง!”นทีดลโพล่งร้องขึ้นทันทีที่เห็นว่าอยู่ดีๆหญิงสาวข้างกายเซถลา เขารีบตวัดแขนแกร่งออกไปรับร่างระหงเอาไว้ได้ทัน ทว่าก็ยังทำให้คนทั้งคู่ต้องล้มกลิ้งลงไปกองบนพื้นหญ้าเขียวขจีโดยไม่ทันตั้งตัว
แม้ชายหนุ่มจะยังครองสติมั่น สองแขนของเขาโอบประคองร่างกลมกลึงเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เศษอิฐกระแทกผิวเนื้ออันบอบบางของหล่อน แต่หญิงสาวกลับรู้สึกคล้ายมีแสงสีทองพุ่งวาบเข้าตา ก่อนที่ทุกอย่างจะดำมืด นิ่งสนิท


แล้วภาพแสงไฟลุกโชติช่วงก็ปรากฏขึ้น พร้อมกับที่ต้นตองตึงสูงใหญ่อันเต็มไปด้วยเปลวเพลิง ทำท่าจะล้มลงมายังทิศทางที่เขาและหล่อนพากันวิ่งหนีมา


“บ่าวหน้อย ระวัง!”ชายคนนั้นตะโกนลั่น เขาที่มองอย่างไรก็ไม่คุ้นตา แต่กลับมาบางสิ่งคอยบอกหล่อนว่า เขาคือคนเดียวกับชายที่อยู่ข้างกายหล่อนเวลานี้...นทีดล


เอื้องลดามองเห็นร่างของตนเองซึ่งอยู่ในชุดผ้าฝ้าย กางเกงสีกรมท่ายาวครึ่งหน้าแข้ง และโพกหัวด้วยผ้าสีขาวกำลังถูกอ้อมแขนกำยำของนทีดลตวัดดึงให้พ้นจากเพลิงนรก


ร่างสองร่างกลิ้งหลุนๆลงไปกองกับพื้นโดยที่ชายหนุ่มใช้ร่างของตนรองรับร่างอีกฝ่ายไว้


วินาทีนั้นหญิงสาวสัมผัสได้ถึงลมหายใจผะแผ่ว เสียงหัวใจของเขาที่เต้นตึกตักและคำถาม “เจ็บตี้ไหนก่อบ่าวหน้อย”


เอื้องลดาสั่นหน้าพร้อมทั้งยันกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็วขณะสองตาเบิกกว้าง “ขะใจ๋ลุกขึ้นเวยๆ ไฟป่าลามมาแล้ว”



“คุณเอื้องเป็นยังไงบ้างครับ”เสียงของนทีดลตัวจริงที่ดังแทรกเสียงไม้โดนความร้อนดังเปรี๊ยะๆในมโนภาพนั้นทำให้หญิงสาวเกือบสะดุ้ง


“เอ่อ มะ ไม่เป็นไรค่ะ”เสียงสาวเอ่ยออกไปสุ้มเสียงสั่น อีกใจวนถามตนเองว่าที่ผ่านมาจะเป็นความฝัน ความจริง หรือเพียงสิ่งลวงตา


“ผมเห็นคุณเอื้องหลับตา นิ่งไป ก็เข้าใจว่าคงจะเป็นลม” เขาบอกเล่าความคิดตน พร้อมๆกับพยุงร่างบางให้ลุกขึ้นนั่ง ดวงตาคมยังจ้องดวงหน้างามซีดเผือดนั้นเขม็ง “ดูสิหน้าซีดเชียว”


แต่ก่อนที่เอื้องลดาจะโต้ตอบ ทั้งคู่กลับรู้สึกว่าอากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งตะวันยามเช้าซึ่งทำท่าจะทอแสงอยู่เมื่อครู่นั้นเลือนหายหลบเร้นหลังหมู่เมฆทะมึนแทน
ดุจเดียวกับที่สองพี่น้องซึ่งยืนมองอยู่ไม่ไกลกำลังรับรู้ในเวลานี้


“อ้ายหมากแก้วฝนจะตกแล้ว”หมากคำหันไปบอกพี่ชายรัวเร็ว ราวต้องการถามว่าจะทำอย่างไรต่อดี


หมากแก้วพยักหน้า ก่อนหันมองไปยังท้องฟ้าทิศตะวันออกพลางขมวดคิ้ว “พ่อปู่เกยบอกกับอ้ายว่า เมฆฝนตี้เกิดขึ้นโดยบ่มีสาเหตุ คือบ่มีฝนตกตี้อื่นและบ่มีลมปั๊ดปามานั่นบ่ใจ้ฝนตี้มาจากธรรมชาติ”


“แสดงว่าเป๋นฝนอาคมก๋าเจ้า”หมากคำถามด้วยแววตาตื่นเต้น


หากพี่ชายยังคงตอบเรียบเรื่อย “ก็บ่แน่ อาจจะเป๋นอาคม เอเพศ หรือต้นเหตุแห่งความมหัศจรรย์อื่นใดก็ได้ แต่ยามนี้อ้ายว่าเฮาปิ๊กคุ้มก่อนตี้พ่อปู่จะเซาะหาดีกว่า”


“เจ้า”หมากคำพยักหน้าและทำตามคำแนะนำของผู้เป็นพี่แต่โดยดี
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 06 ก.ค. 2013 9:24 pm

ไม่กี่อึดใจสายฝนก็ถั่งโถมลงมาราวฟ้ารั่วผสมผสานเสียงฟ้าร้องครืนๆดังลั่น นทีดลจึงตัดสินใจจูงมือเอื้องลดาเดินแกมวิ่งไปยังต้นสลีสีเขียวครึ้มซึ่งมีโพลงแคบๆพอให้ทั้งสองซุกตัวหลบฝนได้


“ตอนแรกไม่มีท่าทีว่าฝนจะตกเลย” หญิงสาวเปรยขึ้นมาลอยๆ


ชายหนุ่มพยักหน้ารับ หันมองหล่อนซึ่งยืนอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ยามนี้เส้นผมของเอื้องลดาเปียกลู่ติดศีรษะดุจเดียวกับเสื้อผ้าที่เปียกชื้นจึงเป็นเหตุให้ร่างระหงสั่นน้อยๆด้วยความเหน็บหนาว นทีดลยืนนิ่ง แปลกใจนักที่ภาพอันแสนจะธรรมดานี้สามารถสั่นสะเทือนใจเขาได้ทั้งดวง ชายหนุ่มจึงยกมือขึ้นมาอย่างช้าๆเพื่อปัดปอยผมซึ่งระใบหน้าของหล่อนออก


แล้วความทรงจำแห่งอดีตก็กะเทาะเปลือกที่ห่อหุ้มหัวใจของเขา…


ทั้งๆที่สายตามองเห็นเอื้องลดาอยู่ตรงหน้า แต่ภาพที่ไหลปรี่อยู่ในสมองเวลานี้กลับเป็นภาพที่หล่อนกำลังนั่งพิงอยู่กับอกเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่เพียงแค่ชั่ววินาทีเดียวเท่านั้นสิ่งที่เขาย้อนรำลึกได้ก็เลือนหายไป


เมื่อความคิดคำนึงกลับคืนสู่ปกติเขาจึงเอ่ยถาม “หนาวมากไหมครับ”


เอื้องลดาเงยหน้าขึ้นมองผู้ถามก่อนพยักหน้า ยามนี้ใบหน้าของหล่อนขาวซีด เรียวปากบางเป็นสีคล้ำอย่างเห็นได้ชัด
หล่อนคงหนาวมากจริงๆ แล้วเขาจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไรดี
นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่นทีดลจึงตัดสินใจดึงมือบอบบางเย็นเฉียบนั้นมากุมไว้เพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นให้แก่กันและกัน พลางกระซิบ “ขออนุญาตนะครับ”


เอื้องลดาพยักหน้าน้อยๆ แล้วจึงเสมองออกไปด้านนอกเพื่อหลบสายตาอีกฝ่าย หล่อนปฏิเสธตนเองไม่ได้เลย ว่านับตั้งแต่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดเมื่อครู่นี้แล้ว ในใจก็บังเกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้น


เหมือนจะมีสายใยแห่งความผูกพันร้อยรัดระหว่างเขาและหล่อน


อา...นี่เรากำลังคิดไปเองหรือเปล่านะ เอื้องลดาเริ่มสงสัยตนเองขึ้นมาทันใด


เปรี้ยง!


แต่แล้วความคิดของหญิงสาวก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อมีสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาดังลั่น ความรู้สึกบอกว่าจุดที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่เอง


เอื้องลดากรีดร้อง หลับตาปี๋ นทีดลจึงเลื่อนสองแขนขึ้นมาโอบร่างสั่นเทาเอาไว้โดยสัญชาตญาณ


“ไม่ต้องกลัวครับคุณเอื้อง”เขาปลอบแทรกเสียงฝนแผ่วเบา


นางเอกสาวทำได้เพียงพยักหน้าหงึกหงักและปล่อยให้ร่างของตนอยู่ในอาณัติของชายหนุ่มโดยดุษณีเนื่องจากยังอกสั่นขวัญหายอยู่ไม่น้อย
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 06 ก.ค. 2013 9:24 pm

“หยึย น้องจะต๋าเป๋นต้อแล้วเจ้าอ้ายหมากแก้ว”หมากคำซึ่งยื่นหน้าออกจากหน้าต่างไม้แห่งคุ้มเจ้านางส่งเสียงร้องลั่น


หมากแก้วรีบวิ่งเข้ามาเกาะขอบหน้าต่างชะเง้อมองบ้าง “อะหยังกา”


หมากคำซึ่งหน้าแดงปลั่ง หลับหูหลับตาชี้ไปยังต้นสลีคู่ “หั้นลอเจ้า”


พี่ชายมองตามแล้วจึงหัวเราะ “ก็ตะกี้ฟ้าผ่า น้าเอื้องคงจะหื้อพ่อพญาปลอบขวัญกระมัง เข้าไปในคุ้มได้แล้วหมากคำ เป๋นละอ่อนบ่ดีผ่อ”


หมากคำย่นจมูกและยิงฟันใส่พี่ชาย จากนั้นจึงแกล้งสะบัดหน้าเดินกลับเข้าไปด้านใน ปล่อยให้ผู้เป็นพี่ซึ่งเวลานี้หันหลังพิงกรอบหน้าต่างมองตามพลางส่ายหัวอย่างระอาใจ



หลังฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาไม่นาน สายฝนอันกระหน่ำรุนแรงเมื่อครู่ก็เหือดหายไปราวกับปิดสวิตซ์ และไม่ช้าแสงแดดรำไรก็เริ่มทอประกายออกมาจากท้องฟ้าทางทิศตะวันออก


“ฝนหยุดตกแล้ว เรากลับกันเถอะครับ”


“ค่ะ หนาวจะแย่แล้วเหมือนกัน” หญิงสาวบ่นอุบขณะปล่อยให้เขาพยุงออกมาจากโพลงไม้ด้วยความระมัดระวังเนื่องจากพื้นดินหลังฝนตกนั้นลื่นนัก


“เดินระวังนะครับคุณเอื้อง”เขาสำทับ


หญิงสาวรับคำสั้นๆว่า ค่ะ โดยที่สายตาคู่งามมิได้จับจ้องคู่สนทนาเลยสักนิด เนื่องจากหล่อนกำลังมองเห็นร่างของผู้ชราในชุดขาวยืนอยู่ใต้ร่มไม้สลีคำที่ยังมีน้ำฝนเกาะอยู่ตามกิ่งใบหยดติ๋งๆ


“นั่นไงคะพ่อขาว”เอื้องลดาโพล่งขึ้นอย่างตื่นเต้น


นทีดลมองตามก่อนจะหันกลับมามองผู้พูดอย่างชั่งใจ “คุณเอื้องบอกว่าท่านอยู่ตรงไหนนะครับ”


“ก็ใต้ต้นสลีสีเหลืองทองนั่นไงคะ”


คิ้วเข้มของเขาเริ่มขยับเขาหากัน เมื่อเขม้นมองแล้วไม่เห็นดังที่เจ้าหล่อนบอก “ไม่เห็นมีอะไรเลย เอ๊ะ!แล้วนั่นแสงอะไรฮะ”


เอื้องลดามองตามปลายนิ้วของอีกฝ่ายบ้าง ไม่ช้าจึงก้าวพรวดๆเข้าไปยังจุดที่พื้นดินแตกอ้าออกจากกันเป็นทางยาวและมีแสงสีทองหม่นๆเปล่งประกายออกมาวูบวาบ


“ระวังนะครับ” ที่นี่อันตราย เขากลืนประโยคท้ายเอาไว้ในใจเสีย พร้อมทั้งแตะแขนเรียวเบาๆเป็นการบอกให้อีกฝ่ายถอยออกมาก่อน “เดี๋ยวผมช่วยดูให้”


“ค่ะ” เอื้องลดาเบี่ยงตัวให้เขาแล้วกอดอกชะเง้อชะแง้มองตามร่างสูง


ฝ่ายชายหนุ่มนั้นรีบจ้ำอ้าวเข้าไปชะโงกหน้ามองหาต้นเหตุแห่งแสงซึ่งอยู่ในรอยแยก เมื่อพบแล้วเขาจึงลงนั่ง โน้มตัวลงไปหยิบสิ่งที่มองเห็นเด่นชัดเหนือผืนดินสีน้ำตาลเข้มฉ่ำน้ำฝน ก่อนที่จะลุกขึ้น เดินกลับไปหาหญิงสาวพลางแบมือขวาให้หล่อนดู


“แหวนนาค”น้ำเสียงของเอื้องลดามีร่องรอยของความประหลาดใจเด่นชัด ก็จะไม่ให้แปลกใจได้อย่างไรเล่า ในเมื่อแหวนในมือเขาช่างเหมือนแหวนที่หล่อนสวมอยู่ราวกับแกะ


“แหวนนี่เหมือนของเอื้องเลยค่ะ”บอกพลางยื่นมือให้เขาดูบ้าง


นทีดลนิ่งอึ้ง ชั่งใจอยู่ชั่วครู่จึงบอกเล่าเรื่องราวในฝันให้นางเอกสาวฟังแต่โดยดี “เมื่อคืนผมฝันว่ามีผู้ชายในชุดขาวมอบแหวนแบบนี้ให้กับผม เช้านี้ก็เลยเดินมาที่นี่เพราะก่อนสะดุ้งตื่นผมมองเห็นต้นสลีคำด้วย เลยคิดว่าน่าจะมีอะไรเชื่อมโยงกัน”


เอื้องลดาหรี่ตาลงเล็กน้อย หลังจากได้พบเหตุการณ์อันเหลือเชื่อมาหลายต่อหลายครั้ง หล่อนก็ชักจะเริ่มเอนเอียงแล้วล่ะ “หรือจะเป็นพ่อขาวรูปเดียวกันกับที่เอื้องเจอคะ”


“ผมเองก็ไม่แน่ใจ ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าเหตุการณ์มันจะเกี่ยวพันกันแบบนี้”


หญิงสาวยิ้มพลางแตะหลังมือของเขาเบาๆ “คุณดลเก็บแหวนเอาไว้ก่อนเถอะค่ะ แล้วมารอดูกันว่า แหวนคู่นี้เกี่ยวข้องกับเรายังไง”


อีกครั้งที่คิ้วของนทีดลขมวดเข้าหากัน ยามจ้องหน้านวลนิ่ง


ผู้ถูกมองแปลความหมายได้ไม่ยากจึงพยักหน้าและมอบรอยยิ้มบางๆให้แก่เขา พร้อมทั้งยืนยัน “เชื่อเอื้องเถอะค่ะ แล้วกลับไปที่รีสอร์ตกัน ระหว่างทางเอื้องจะเล่าเรื่องของเอื้องที่เกี่ยวข้องกับแหวนนาคนี่ให้ฟัง”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 06 ก.ค. 2013 9:27 pm

บทที่ ๗

4a23b2f597c16227f1dd2e50c5076376.jpg
4a23b2f597c16227f1dd2e50c5076376.jpg (191.28 KiB) เปิดดู 9745 ครั้ง


ตั้งแต่บทนี้เปลี่ยนสรรพนามแทนผู้หญิงเป็น "เธอ"นะคะ


เมื่อสองหนุ่มสาวเดินผ่านบริเวณที่มีแสงแดดอุ่นเข้ามาสู่อาณาเขตของพิงครัตน์รีสอร์ตด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก็เป็นช่วงเวลาอันประจวบเหมาะกับที่เอื้องลดาเล่าเรื่องแหวนนาคของตนจบลงพอดีและทิ้งท้ายว่า “เอื้องค่อนข้างมั่นใจว่าคำพูดของคุณปู่สุนทรมักจะเป็นจริงเสมอค่ะ


“เหมือนเป็นคนที่มีซิกเซ้นส์อะไรแบบนั้นน่ะหรือครับ”


เอื้องลดาพยักหน้า “ก็อาจจะเป็นไปได้ค่ะ แต่เอื้องขอมองแบบวิทยาศาสตร์ก่อน เอื้องว่าท่านใช้เหตุผลในการคิดผนวกกับการคาดเดาสถานการณ์ได้ดีน่ะค่ะ ก็เลยตรงเผงบ่อยๆ”


“งั้นถ้าคุณได้คุยกับพ่อผมคุณคงชอบ”นทีดลชี้นำ


ดาราสาวยิ้มกว้างจนมองเห็นลักยิ้มน่ามองสองข้างแก้มก่อนรวบรัด “ก็คุณดลรับปากเอื้องเอาไว้แล้วนี่คะว่าจะให้ไปพบท่านได้ในช่วงสงกรานต์ ใจจริงก็อยากพบท่านเช้านี้เลยแต่เอื้องติดถ่ายละครช่วงเก้าโมงน่ะค่ะ ตอนนี้เราแยกย้ายกันไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีไหมคะ ทิ้งไว้แบบนี้คงได้จูงมือกันป่วยแน่”


“ก็ดีนะครับ ถ้าคุณจะจูงมือผมจริงๆ”เขาพูดติดตลกตรงข้ามกับแววตาซึ่งมีรอยหวานเจืออยู่ หากหญิงสาวกลับทำตาเขียวปั๊ดตอบด้วยคิดว่าเขาเพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น “ไม่เอาด้วยหรอกค่ะ เดี๋ยวทำให้คิวถ่ายละครของชาวบ้านเขารวนหมด”


นทีดลยิ้ม เขารับรู้ได้ว่ากำลังมีอะไรร้อนๆวิ่งเข้าสู่หัวใจ ทำให้รู้สึกอ่อนหวานและอบอุ่นผสมผสานอย่างบอกไม่ถูก ยามนี้เขาจึงยินดีที่จะยืนมองเธอนิ่งๆมากกว่าต่อล้อต่อเถียงใดๆทั้งสิ้น แต่กระนั้นสองหูของชายหนุ่มก็ยังได้ยินเสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นถนนดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆอย่างชัดเจน


“มีความสุขจังเลยนะคะพี่ดล เอื้องลดา”เสียงเล็กแหลมดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของเมรินที่กำลังเดินผ่านมุมน้ำตกจำลองออกมาด้วยใบหน้าไม่เป็นมิตรนัก


“อ้าว นี่ลิลลี่ย้ายของเสร็จตั้งแต่เช้าเลยหรือครับ”นทีดลย้อนถามธุระโดยมิได้สนใจคำพูดก่อนหน้าของผู้มาใหม่

เมรินแกล้งค้อนขวับใส่ชายหนุ่มแล้วปรายหางตามองเอื้องลดาก่อนจะตอบด้วยเสียงที่บังคับให้เรียบเย็นตรงกันข้ามกับอารมณ์แท้จริงที่เป็นอยู่ “ก็คุณนัยน่ะสิคะบอกว่าให้ลิลลี่ออกมาแต่เช้า ไม่งั้นรถจะติดแถวคูเมืองเพราะคนเล่นสงกรานต์กันเยอะ ลิลลี่ก็เลยต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า แล้วอะไรกันคะ พอมาถึงที่นี่โทร.หาพี่ดลก็ไม่มีคนรับ ที่แท้...”


“ขอตัวก่อนนะคะคุณดล เดี๋ยวเอื้องต้องรีบไปถ่ายละครอีก”เอื้องลดาพูดแทรกขึ้นเมื่อรู้ดีว่าอีกฝ่ายเจตนาว่ากระทบตน


หึ...เมรินนี่ช่างทำตัวได้ขวางโลกสมคำล่ำลือจริงๆ นี่ขนาดกับเธอที่ร่วมงานกันนับครั้งได้และไม่เคยมีปัญหากันเลยสักครั้ง ก็ยังถูกเธอฟาดงวงฟาดงาใส่จนได้

หากคนถูกแทรกกลับหัวเราะขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน “เอื้องคงยังไม่รู้มั้งว่าพี่คณินเปลี่ยนเวลาถ่ายทำเป็นช่วงบ่าย แล้วก็ย้ายไปถ่ายฉากสงกรานต์ที่วัดเจ็ดยอด เพราะเมื่อกี้ฝนตกหนัก ไม่สะดวกที่จะถ่ายทำในโบราณสถานน่ะ”


“อ้าวเหรอ ขอบคุณมากนะลิลลี่ แต่ยังไงเอื้องก็ต้องขอตัวอยู่ดีแหละ เชิญตามสบายนะ”กล่าวจบเอื้องลดาก็แกล้งส่งยิ้มให้นทีดลก่อนจะเดินลิ่วๆไปตามถนนปูด้วยอิฐอย่างไม่สนใจผู้ที่อยู่เบื้องหลัง


“ว่าแต่ลิลลี่ตามหาพี่ทำไมครับ”นทีดลทำลายความเงียบขึ้นก่อนหลังจากอยู่กันตามลำพัง


เมรินจึงหันกลับมาให้ความสนใจในตัวเขาต่อ “ก็ลิลลี่อยากจะขอบคุณพี่ดลน่ะค่ะที่จัดการเรื่องที่พักเร็วทันใจจริงๆ”


“พี่แค่โทรบอกนัยกริ๊งเดียวก็เรียบร้อยแล้วล่ะครับ อีกอย่างมันเป็นหน้าที่ของทางรีสอร์ตที่ต้องดูแลลูกค้าด้วย ไม่เห็นจะต้องขอบอกขอบใจอะไรเลย”


“ค่ะ แล้วนี่พี่ดลไปไหนกันมาคะ ดูซิ เปียกมะล็อกมะแลกกันทั้งสองคนเชียว”ปากของเมรินถามขณะที่สายตามองเขาอย่างจับผิด แค่เห็นชายหนุ่มเดินมาพร้อมกับเอื้องลดาต่อมริษยาของเธอก็ทำงานอย่างเต็มพิกัดแล้ว พานให้ลืมถ้อยคำที่ตนบอกเพื่อนทั้งสองว่าจะพยายามทำตัวเป็นหญิงสาวที่น่ารักในสายตาของนทีดลจนได้


“พี่ไปไหว้กู่มาน่ะ วันนี้เป็นวันสังขารล่อง คนเหนือเขาจะทำสิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตเช่น สระเกล้าดำหัว ไหว้พระ ทำความสะอาดบ้านอะไรทำนองนี้”


“แล้วเอื้องลดาล่ะคะ”


“ไม่รู้สิ พี่บังเอิญไปเจอเธอที่นั่น...”


เมรินเบะปากแล้วจึงต่อให้เสียเอง “ก็เลยหลบฝนอยู่ด้วยกันเป็นนานสองนานใช่ไหมคะ”


นทีดลรู้ดีว่าถูกประชดแต่กลับยิ้มสู้“ครับ จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เดี๋ยวพี่ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ โดนฝนแบบนี้ถ้าไม่รีบสระผมอาจจะเป็นไข้ได้”บอกพลางเขาก็แอบนึกถึงถ้อยคำของสาวอีกนางที่เพิ่งเดินจากไปแล้วหัวเราะ “จูงมือกันป่วย”ดูเธอก็มีอารมณ์ขันกับเขาเหมือนกันแฮะ


“หัวเราะอะไรคะพี่ดล”เมรินชักจะอารมณ์ไม่บรรเจิดเพราะไฟริษยากำลังลามเลียอยู่ทั่วตัวแล้วในเวลานี้


แต่แทนที่จะตอบ นทีดลกลับสั่นหน้าและย้ำ “พี่ไปอาบน้ำก่อนดีกว่า”


สายตาไม่พอใจจ้องตามร่างสูงที่เพิ่งเดินจากไปไม่ละ และเมื่อเขาลับหายไปหลังน้ำตกจำลองแล้ว ดาราสาวจึงระบายความโกรธด้วยการกระชากกิ่งดอกหางนกยูงเต็มแรง


ทว่ากิ่งไม้เจ้ากรรมซึ่งเพิ่งถูกตัดแต่งไปเมื่อเย็นวานกลับบาดมือเธอจนเป็นทางยาว เลือดสีแดงไหลซึมออกมาอย่างรวดเร็ว เมรินกรีดร้องเสียงหลง แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีใครได้ยิน เธอจึงรีบเดินแกมวิ่งออกไปทางสำนักงานรีสอร์ตด้วยสีหน้าตกใจ
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 06 ก.ค. 2013 9:29 pm

เอื้องลดาเอนกายพิงเก้าไม้สักมองทัศนียภาพนอกระเบียงอันเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้อย่างพึงพอใจ ขณะนึกถึงเหตุการณ์ช่วงสายซึ่งนทีดลดั้นด้นไปเคาะประตูเรียกเธอถึงห้องเพื่อให้ตามมาพบบิดาของเขาที่คุ้มเวียงพิงค์ และเมื่อมาถึงเขาก็แนะนำเธอให้รู้จักกับเจ้าสกุลรัตน์ผู้เป็นมารดาก่อนจะพาหญิงสาวมานั่งรออยู่ตรงมุมนั่งเล่นนอกระเบียงแห่งนี้ แล้วเจ้าตัวก็ขอตัวไปเชิญบิดาในห้องทำงานด้วยตนเอง


“นี่ไงครับพ่อ คุณเอื้องที่ผมเล่าให้ฟัง”น้ำเสียงของนทีดลดังขึ้น หญิงสาวจึงหันกลับมามองพร้อมทั้งลุกขึ้นยืนและยกมือขึ้นทำความเคารพชายวัยต้นปิจฉิมร่างสูงในชุดเสื้อม่อฮ่อม กางเกงสะดอซึ่งเดินเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าเจือยิ้ม


ผู้สูงวัยรับไหว้พร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆบุตรชายซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามกับเอื้องลดาและถามอย่างไม่อ้อมค้อม “ที่มาขอพบนี่มีอะไรหรือแม่หนู”


“คือเอื้องเห็นผีเด็กตอนถ่ายละครน่ะค่ะก็เลยอยากมาปรึกษาว่ามีอะไรที่ทำไปแล้วอะไรไม่ถูกไม่ควรหรือเปล่า ที่กังวลเพราะพักหลังๆมานี่ เอื้องมักจะพบเจออะไรแปลกๆบ่อยน่ะค่ะ”


เจ้าของบ้านพยักหน้า “ก่อนอื่น หนูเรียกฉันว่าพ่อครูดีกว่านะ คำว่าอาจารย์อะไรนี่ฉันไม่ค่อยชอบหรอก คำว่าครูมันหนักแน่นยิ่งใหญ่ สื่ออะไรได้ชัดเจนกว่าเยอะ ส่วนเรื่องที่หนูเล่ามา ฟังแล้วก็ยังไม่เห็นเลยว่าผีจะหลอกหนูตรงไหน การที่ดวงวิญญาณออกมาปรากฏตัวนั้นมีอยู่หลายสาเหตุ ขอส่วนบุญก็ใช่ เคยผูกพันกันมาก่อนก็ใช่ หรือมองอีกด้านก็อาจจะมาเพื่อปกปักรักษาเราก็เป็นได้”


“ค่ะ เอื้องก็หาเหตุผลไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมาเอื้องยังไม่เคยเห็นผีสางเลยค่ะ เพิ่งจะเจอครั้งแรกก็ที่เมืองเก่าสลีคำนี่แหละค่ะพ่อครู”


“ทุกอย่างมีที่มาที่ไปเสมอ โลกนี้มีความเป็นเหตุเป็นผลกันอยู่ตลอดเวลา ทุกคนที่เวียนว่ายมาพบกันนั่นก็เป็นเพราะต่างมีเวรกรรมต่อกัน หรือไม่ก็อาจจะเกิดมาเพื่อเกื้อหนุนกันตามบุญทำกรรมแต่งแต่หนหลัง” ผู้ชราอธิบายต่อ


นทีดลซึ่งนิ่งฟังอยู่นานเพิ่งนึกขึ้นได้จึงหันบอกหญิงสาวว่า “ผมเล่าเรื่องแหวนนาคสองวงนั่นให้พ่อฟังแล้วนะครับ”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 06 ก.ค. 2013 9:29 pm

บิดาของชายหนุ่มจึงเอ่ยอนุญาตอย่างใจดี “อยากพูดอยากถามก็พูดมาเถอะหนู”


“เอ่อ เอื้องแปลกใจน่ะค่ะพ่อครู แต่ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี คือแหวนนาคที่อยู่กับเอื้องและคุณดลน่ะมันเหมือนกันแทบทุกจุด และถ้าไม่คิดไปเอง คล้ายกับว่าทุกสิ่งถูกกำหนดเอาไว้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้กำหนดและเพราะอะไรน่ะค่ะ” เธอพยายามอธิบายสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจให้ชัดเจนที่สุดแล้วนิ่งรอฟังคำตอบอย่างสงบ


พ่อครูชัยพงษ์ฟังแล้วขยับมุมปากขึ้นยิ้ม “เอาล่ะ ขอดูลายมือของหนูหน่อยสิ”


ถ้าเป็นเมื่อก่อนเอื้องลดาคงอิดออดเพราะไม่เชื่อเรื่องดวงชะตาราศี แต่ในวันนี้เธอกลับแบมือและยื่นออกไปโดยง่าย พ่อครูชัยพงษ์ก้มลงทำปากขมุบขมิบอยู่ครู่ใหญ่จึงยกมือขวาขึ้นและคว่ำลงเป็นระนาบกับมือของหญิงสาวแล้วขยับวนเป็นรูปวงกลมก่อนจะเป่าพรวดลงไปเบาๆ“ดวงชะตานี้ไม่ได้เกิดมาอย่างโดดเดี่ยว มักจะมีผู้ที่คอยอุปถัมภ์ค้ำชูอยู่เสมอ แต่ช่วงนี้ขอให้ระมัดระวังตัวเองให้ดีเพราะเป็นช่วงที่มีเคราะห์หนัก หากพ้นเคราะห์ร้ายไปแล้วทุกสิ่งจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ชีวิตจะมีความสุข มีครอบครัวที่ดีสมดังที่รอคอยมาแสนนาน”


“ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับเรื่องแหวนเลยนี่ครับพ่อ”นทีดลโพล่งถามด้วยความสงสัยเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเขาด้วยเหมือนกัน


หากบิดากลับหัวเราะหึๆ “ใจเย็นๆสิไอ้เสือ เขามีภาระหน้าที่ต้องทำ แหวนวงนี้คือห่วงแห่งอดีต”


“ห่วงแห่งอดีต”นางเอกสาวทวนคำพลางเงยหน้าขึ้นสบตานทีดลแวบหนึ่ง เขาจึงยิ้มปลอบใจเธอและวกมาถามเรื่องของตนบ้าง“ผมเองก็เหมือนกันสิครับพ่อ”


พ่อครูชัยพงษ์พยักหน้าแล้วเคลื่อนสายตาขึ้นไปมองดอกเอื้องบนคาคบไม้นอกตัวเรือน “วันที่แม่จะคลอดดล แม่เขาได้ยินเสียงกระซิบข้างหูว่า เด็กคนนี้มีบุญ เขาเกิดมาพร้อมกับหน้าที่ จงนำเขาไปถวายเป็นลูกครูบาท่าน มิเช่นนั้นแล้วเด็กจะเจ็บป่วยเนื่องจากบารมีเหนือพ่อเหนือแม่”


“งั้นแสดงว่าที่เราได้รับแหวนวงนี้เป็นเพราะเราต้องรับภาระบางอย่างร่วมกันใช่ไหมคะพ่อครู”เธอถามจบก็เงยหน้าขึ้นมองผู้ร่วมชะตากรรมนิ่ง


“ใช่และมันน่าจะเกี่ยวกับเมืองเก่าสลีคำด้วย เพราะพ่อปู่อินถาท่านเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และที่สำคัญแหวนของดลมาจากเมืองเก่า ถ้าเจ้าของเขาไม่เต็มใจมอบให้ก็ย่อมไม่มีใครมองเห็นมันได้”


นทีดลเบิกตาค้าง นึกถึงยามที่หมากแก้วและหมากคำมักจะบ่นว่าเกรงกลัวพ่อปู่เสียหนักหนา“พ่อรู้จักพ่อปู่ด้วยหรือครับ”


ผู้ถูกถามมองลูกชายแวบหนึ่งแล้วส่ายศีรษะ มองเลยไปยังทิศทางของที่ตั้งเมืองเก่า “ก็ไม่เชิงหรอก แต่ตอนที่พ่อยังบวชพระอยู่น่ะพ่อเคยไปนั่งวิปัสนาที่นั่น แล้วในกลางดึกคืนหนึ่งพ่อปู่ก็ปรากฏตัว ท่านเป็นอารักษ์แห่งเมืองนะ ไม่ใช่สัมภเวสี ท่านเป็นผู้ดูแลเมืองนั้นหลังจากที่พญาเจ้าเมืองท่านละนิวรณ์ไปจุติยังโลกใหม่”


“พ่อพูดเหมือนเมืองนั้นยังดำรงอยู่เหมือนเรางั้นแหละครับ”นทีดลฉงน


พ่อครูชัยพงษ์พยักหน้า “ใช่สิ ทุกสิ่งต่างก็เป็นไปตามครรลองของตน”


เอื้องลดาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้บ้างแล้ว หากเธอก็ยังคงนิ่งฟังต่ออย่างสงบ


“รู้ไหม ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์หลายคนกำลังให้ความสนใจเรื่องจักรวาลซ้อน ซึ่งเป็นทฤษฎีที่เชื่อว่าจักรวาลที่เราอาศัยอยู่เนี่ยอาจจะมีจักรวาลอีกจักรวาลหนึ่งทับซ้อนอยู่ในรูปของคู่ขนาน โดยที่ทั้งสองจักรวาลไม่เคยรู้เลยว่ามีการทับซ้อนเช่นนี้อยู่”


“เหมือนที่เขาเล่าลือกันถึงอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าใช่ไหมครับพ่อ”นทีดลเสริม


บิดาพยักหน้า “ใช่ แต่การทับซ้อนที่พูดถึงนี่ไม่ได้อันตรายเหมือนกลางมหาสมุทรแอตแลนติกนั่นนะ”


“น่าสนใจจังเลยค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องพิเศษที่น้อยคนนักจะได้สัมผัส เอื้องเองก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน”เอื้องลดาแสดงความเห็นด้วยท่าทีพึงพอใจ


พ่อครูชัยพงษ์ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงลุกขึ้นนั่ง พลางบอก “รอสักครู่นะ พ่อครูมีอะไรให้ดู”


เอื้องลดาจึงเงยหน้าขึ้นตอบด้วยแววตาอันเปี่ยมไปด้วยความหวัง “ค่ะพ่อครู”


นทีดลมองตามแผ่นหลังของบิดาไปด้วยแววตาภาคภูมิใจและเชื่อมั่นว่าผู้สูงวัยจะต้องกลับมาพร้อมกับการเซอร์ไพรส์แขกสาวเป็นแน่ แล้วก็จริง ผ่านไปไม่ถึง 10 นาทีพ่อครูชัยพงษ์ก็เดินกลับมาพร้อมเอกสารชุดหนึ่ง “เอาล่ะ ทั้งสองคนลองอ่านบทความนี้ดูสิ”


เอื้องลดาเอื้อมมือไปรับเอกสารที่ยื่นมาให้และอ่านคร่าวๆก่อนจะส่งให้นทีดลอ่านบ้าง


จวบจนชายหนุ่มอ่านเสร็จแล้วผู้มากวัยซึ่งพิงพนักเก้าอี้รออยู่จึงสรุปความ “นี่เป็นบทความเรื่อง The mask of time ของโจแอน มอร์แกน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษซึ่งชอบสะสมของเก่าเป็นผู้เขียน”


“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าโจแอนจะเคยหลงเข้าไปในร้านที่ย้อนยุคไปถึงร้อยปีได้”


“นั่นสิครับ”นทีดลพูดขึ้นบ้าง “ผมอยากเห็นหน้าเธอตอนวันรุ่งขึ้นที่กลับไปร้านเดิมแล้วพบว่าแท้จริงแล้วร้านนั้นเป็นร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยใหม่จัง คงจะน่าดูพิลึก”


“โจแอนสรุปว่านั่นคือการหักเหของเวลา ก็คงเหมือนแถวๆบ้านเราน่ะแหละ อย่างเช่นที่มีคนบอกว่าเคยหลงเข้าไปในเมืองลับแลที่ดงละครมาก่อน แล้วก็ไม่ได้มีที่เดียวนะ เมืองบังบดทางภาคอีสานนี่ก็ถือว่าเป็นประตูสู่มิติเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นทางวิทยาศาสตร์น่าจะเรียกว่าเกิดขึ้นเพราะการผันผวนของสนามแม่เหล็กโลก มิติที่ทับซ้อนกันอยู่จึงเกิดการผกผัน”พ่อครูชัยพงษ์สรุปยิ้มๆ


ความเงียบงันครอบคลุมคนทั้งสามอยู่ครู่หนึ่งเนื่องจากต่างก็หมกมุ่นอยู่ในความคิดตน แล้วเสียงโทรศัพท์ของเอื้องลดาก็ดังขึ้น เธอจึงขออนุญาตรับสายก่อนจะเอ่ยขอตัวด้วยเหตุผลว่า “พี่นัทโทร.มาตามค่ะ ยังไงเอื้องต้องขอบคุณพ่อครูกับคุณดลด้วยนะคะที่ให้ความกระจ่างในวันนี้”


พ่อครูชัยพงษ์พยักหน้าอย่างใจดี “ถือเสียว่าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน”


ส่วนนทีดลนั้นลุกขึ้นยืนพลางอมยิ้ม จากนั้นจึงตอบด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย “ส่วนผมน่ะไม่เป็นไรหรอก เพราะไม่ได้ช่วยคุณฟรีๆ”


คนเอ่ยคำขอบคุณเมื่อครู่ชะงัก ขยับหัวคิ้วเข้าหากันแล้วเม้มปากนิ่งรอให้เขาพูดต่อ ชายหนุ่มจึงหัวเราะอย่างชอบใจ “ค่าตอบแทนคือ วันนี้ต้องให้ผมตามไปดูการถ่ายทำที่วัดเจ็ดยอดด้วยเพราะคุณนัทแอบกระซิบมาว่าเป็นฉากที่อลังการมาก”


หญิงสาวหัวเราะและโคลงศีรษะไปมาเบาๆ “ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะเล่นมุกแบบนี้กับเขาเป็นเหมือนกัน”


“แน่นอนสิ”ชายหนุ่มตอบไล่หลังและมองตามร่างโปร่งบางที่กำลังเดินลงบันไดไปจนลับตา โดยไม่ทันรู้ตัวว่าผู้เป็นบิดาแอบลอบสังเกตกิริยาของตนอยู่เช่นเดียวกัน
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 13 ก.ค. 2013 5:52 pm

บทที่ ๘

1368424687.jpg
1368424687.jpg (16.13 KiB) เปิดดู 9693 ครั้ง



เพียงได้เห็นตุงสีสันสวยงามปลิวไสวไปตามจังหวะของเสียงกระดิ่งใบโพธิ์ที่ดังมาจากชายคาวิหารในวัด เอื้องลดาก็บังเกิดความปลื้มปีติขึ้นมาโดยไร้เหตุผล


เหมือนได้สัมผัสสิ่งที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ได้พบสิ่งที่เคยฝังรากลึกในหัวใจมานานแสนนาน...อีกครั้ง และยิ่งนางเอกสาวหมุนตัวไปมองบรรยากาศรอบๆวัดก็ยิ่งทำให้เกิดความชุ่มชื่นหัวใจอย่างประหลาด ถึงกับหัวตาร้อนผ่าวจวนเจียนจะหยาดรินหยดน้ำตาออกมาเสียให้ได้ ทว่าหญิงสาวก็พยายามสะกดกลั้นเอาไว้สุดชีวิต เพราะคงจะไม่เข้าท่านักหากเธอจะปล่อยให้ตนเองตาบวมเป่งออกไปถ่ายละครในวันนี้


เอื้องลดาพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆแล้วเดินเข้าไปหลบใต้ต้นไม้รอให้นาถนรีประสานงานกับทางกองถ่ายเสร็จ ส่วนนทีดลนั้นขณะที่กำลังจอดรถก็มีโทรศัพท์โทร.เข้ามาพอดี หญิงสาวจึงเดินลงมาก่อนเนื่องจากบริเวณหน้าวัดนั้นอากาศร้อนเหลือใจ


เสียงปิดประตูรถดังขึ้นแสดงว่านทีดลคงจะจัดการธุระของตนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอื้องลดาจึงหันกลับไปมองตามสัญชาตญาณซึ่งก็พบว่าชายหนุ่มกำลังเดินมาเช่นเดียวกับนาถนรี และทันทีที่มาถึงหญิงสาวรุ่นพี่ก็สวมหมวกปีกใบใหญ่ลงบนศีรษะของเอื้องลดาพร้อมทั้งให้เหตุผล “ใส่หมวกปิดหน้าไว้ก่อน ทางกองถ่ายบอกว่ามีแฟนคลับมารออยู่เยอะ เดี๋ยวไม่เป็นอันทำงานกันพอดี”


นางเอกคนดังพยักหน้าแล้วเหลียวมองรอบกายก่อนเอ่ยปากชม“ที่นี่สวยจังนะคะ”


“เดี๋ยวถ้าเห็นข้างในน้องเอื้องจะทึ่งมากกว่านี้ค่ะ”


“แหม เห็นแค่นี้เอื้องก็ทึ่งแล้วล่ะค่ะพี่นัท”


“เห็นคุณนัทบอกว่าคุณเอื้องจบโบราณคดีมา งั้นก็คงจะถูกใจที่นี่นะครับ วัดนี้เป็นวัดเก่าสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1998 หรือเมื่อประมาณห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว” ชายหนุ่มผู้อาสามาเป็นสารถีอธิบายบ้าง


“จริงๆเอื้องก็พอจะเคยได้ยินเรื่องราวของวัดเจ็ดยอดมาบ้างเหมือนกันค่ะ ว่าเป็นวัดที่พระเจ้าติโลกราชทรงสร้างขึ้น และเป็นสถานที่สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 ของโลกอีกด้วย”พูดจบหญิงสาวก็หัวเราะ “จำได้แค่นี้แหละค่ะ”


“เสียดายนะ น่าจะชวนพ่อครูมาด้วย ท่านชอบทำบุญ” นาถนรีว่า


ลูกชายพ่อครูจึงอธิบาย“ช่วงปีใหม่เมืองน่ะ ถึงพ่อจะไม่ต้องไปทำงานที่มหาวิทยาลัยแต่ก็มีภารกิจต้องทำที่บ้านครับคุณนัท”


เอื้องลดาชักสนใจ “ทำอะไรอยู่บ้านคะ”


“ท่านเขียนเทียนน่ะครับ ในวันสำคัญต่างๆคนเหนือมักจะจุดประทีปบ้าง บูชาเทียนบ้าง ถ้าบูชาเทียนก็จะใช้เทียนเล่มใหญ่หน่อยแล้วขอให้คนที่มีความรู้ทางจารีตประเพณีเขียนอักขระล้านนาลงไปให้ เราทำเพื่อเป็นพุทธบูชาแล้วก็เชื่อกันว่าจะช่วยลดเคราะห์ลดนามอีกประการหนึ่งด้วย”


ฟังแล้วหัวใจของเอื้องลดาก็อ่อนยวบเช่นเดียวกับแววตาที่ทอดมองเขาในเวลานี้ “เอื้องอยากจุดเทียนแบบนั้นบ้างจังเลยค่ะ”


“อยากทำก็ทำสิครับ เดี๋ยวตอนหัวค่ำวันพญาวันผมจะมารับไปที่คุ้ม คุณแม่ท่านไหว้พระสวดมนต์เป็นประจำอยู่แล้วล่ะ”


“อะแฮ่ม”นาถนรีเริ่มอยากมีบทบ้าง จึงแกล้งกระแอมกระไอขึ้นมาเสียงดัง “จะชวนก็ต้องชวนให้ครบนะจ๊ะพ่อคุณ ลืมหุ้นส่วนสาวสวยคนนี้ไปหรือเปล่า”


นทีดลหัวเราะ “โอเค คุณนัท ว่าแต่ตอนนี้คุณพาคุณเอื้องไปแต่งตัวก่อนเถอะ เดี๋ยวไม่ทันเข้าฉากนะ”


“อุ๊ย จริงด้วย ไปค่ะน้องเอื้อง พี่คณินเปิดห้องที่อพาร์ทเมนท์ข้างๆวัดไว้เป็นห้องแต่งตัวดารา คุณดลจะไปด้วยหรือเปล่าล่ะ”


เขาส่ายหน้า ยกหัวแม่โป้งมือขวาชี้ไปยังพระธาตุซึ่งประหง่านอยู่หลังดงไม้ “ผมไปไหว้พระดีกว่าครับ จะได้ไม่เกะกะทีมงาน”


“งั้นเราไปกันได้แล้วค่ะน้องเอื้อง”


เอื้องลดาดึงปีกหมวกให้ต่ำลงเพื่อปิดบังใบหน้า ก่อนจะเดินฝ่าเปลวแดดตามผู้จัดการส่วนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 13 ก.ค. 2013 5:52 pm

แล้วนทีดลก็มิได้ทำตัวเกะกะกองถ่ายดังที่ได้ลั่นวาจาเอาไว้จริงๆ เมื่อไหว้พระเสร็จแล้วชายหนุ่มจึงแยกตัวออกมานั่งมองการเตรียมการของทีมงานบนม้านั่งหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่อยู่ห่างๆ


เสียงฆ้องกลองดังกระหึ่มแว่วเข้าหูมาราวกับได้ย้อนไปในยุคอดีต ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นเอื้องลดาในชุดช่างฟ้อนซึ่งเป็นเสื้อสีเหลืองเข้ารูป แขนยาว ผ่าหน้าห่มสไบสีขาวปล่อยชายยาวลงมาถึงตัวซิ่นสีดำต่อเชิงยาวกรอมเท้า เธอเดินออกมาบริเวณด้านหน้าองค์พระธาตุพร้อมกับเมรินซึ่งอยู่ในชุดแบบเดียวกัน โดยดาราสาวทั้งสองต่างก็มีแฟนคลับของตนมาคอยให้กำลังใจอยู่ห่างๆ เนื่องจากถูกสั่งห้ามจากทางกองถ่ายไม่ให้เข้าไปยุ่มย่ามขณะถ่ายทำ


“แหม ตะลึงตาค้างเชียวนะคะคุณดล ชอบช่างฟ้อนคนไหนล่ะ ถ้าเป็นน้องเอื้องนัทติดต่อให้ได้นะ แต่ถ้าเป็นนางเอกอีกคนคงไม่ต้องมีผู้ช่วย เห็นตั้งแต่มาถึงวัดเธอก็เรียกหาแต่พี่ดลแจ้วๆ”นาถนรีกระเซ้าขณะเดินมาหยุดอยู่ข้างๆชายหนุ่มและเห็นท่าทีสนอกสนใจของเขา


นทีดลขยับแบ่งที่ให้อีกฝ่ายก่อนจะหันไปจ้องหน้าหญิงสาวนิ่ง “แล้วถ้าผมบอก คุณนัทจะช่วยจริงๆหรือเปล่าล่ะ”


คนถูกถามชะงัก ครู่ใหญ่จึงออกปากปราม “นี่พ่อคาสซาโนว่า อย่ามาทำเจ้าชู้ประตูดินกับน้องสาวนัทนะคะ น้องเอื้องดูเป็นคนทันสมัยก็จริง แต่เธอไม่ใช่ผู้หญิงฟรีนะ เธอเป็นคนคิดเยอะไม่ใจเร็วด่วนได้เหมือนสาวๆสมัยนี้หรอก”


“โธ่ คุณนัท”เขาครวญเสียงอ่อย “ทำไมมองผมแบบนั้นล่ะ เรารู้จักกันมาตั้งนานแล้วนะ ดูไม่ออกหรือไง”


“ของแบบนี้ไว้ใจไม่ได้หรอกค่ะ ชื่อเสียงของคุณก็ใช่ย่อย ข่าวสังคมพูดถึงทีไรมีแต่เรื่องสาวๆทั้งนั้น”


ผู้ถูกปรามาสหัวเราะหึๆ “แล้วคุณนัทเคยเห็นผมควงใครออกงานหรือไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่เคยก็ควรยกผล
ประโยชน์ให้จำเลยนะ คุณอยู่ในวงการบันเทิงก็น่าจะเข้าใจเวลาที่คนเขาอยากจะสร้างข่าว”


“แต่มันก็มีมูลใช่ไหมละ”ผู้ปกป้องน้องสาวเถียงไม่ลดละ


หากชายหนุ่มกลับยอมง่ายๆ “ใช่มันมีมูล”


“นั่นไง”


“นี่ฟังผมพูดให้จบก่อน มูลก็คือ ผมรู้จักทุกคนในข่าวจริงๆ บางคนก็ลูกสาวเพื่อนคุณพ่อคุณแม่ บางคนก็เพื่อน พี่น้อง แต่ไม่ใช่คนรัก เข้าใจเสียใหม่ด้วย”


“อู๊ย นี่คุณจะให้นัทเชื่อเหรอคะว่าชายหน้าหล่อ สมาร์ท ร่ำรวยและตระกูลดีในวัย 27 ปีคนนี้ยังไม่เคยมีแฟนน่ะ” นาถนรีแกล้งทำกรี๊ดกร๊าดชวนหมั่นไส้


คนนั่งข้างๆจึงระบายลมหายใจออกยาวเหยียด ขณะที่ดวงตามองไปยังทีมงานซึ่งกำลังเตรียมการถ่ายทำกันจ้าละหวั่น “ผมเคยคบผู้หญิงคนหนึ่งตอนเรียนมหา’ลัย แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกลากันไปหลังจากพบว่าเราเหมาะที่จะเป็นเพื่อนกันมากกว่าคนรัก จากนั้นเธอก็ไปเรียนต่ออเมริกา ตอนนี้แต่งงานไปแล้ว”


“คงเป็นเพราะความเจ้าชู้ของคุณแน่เลย”


“แนะ ยังไม่เลิกอคติอีก คุณน่ะมองโลกในแง่ร้ายมากรู้ไหมคุณนัท”พูดจบเขาก็หัวเราะราวกับขบขันเสียเต็มประดา “เราเลิกกันเพราะเขาไม่เคยรู้สึกว่าผมรักเขาแบบแฟนเลยต่างหาก”


นาถนรีฟังแล้วมุ่นคิ้ว “ทำไมล่ะ”


คราวนี้ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ จากนั้นจึงตอบด้วยเสียงเข้ม “คนไม่รักนี่มีเหตุด้วยเหรอ ถ้าจะให้ตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คงเพราะว่าเขาไม่ใช่...”


“แล้วแบบไหนที่ใช่ล่ะ สวย เริด เก่ง เจ้าเสน่ห์ เซ็กซี่หรือว่าต้องงามสง่าดังผ้าพับไว้ นั่งร้อยมาลัย เป็นแม่บ้าน ขยันทำครัว”


เขายักไหล่แทนคำตอบ


นาถนรีเลิกคิ้ว “ยักไหล่แปลว่าอะไรกันคุณ”


“ก็แปลว่าผมไม่ได้สนใจว่าเขาจะเป็นคนแบบไหนน่ะสิ พอได้เจอกัน คุยกันถึงจะรู้ ใช่ก็คือใช่ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่”


จะว่าไปเธอก็ไม่เคยเห็นว่านทีดลทำตัวชีกอกับผู้หญิงคนไหนจริงๆแหละ จะมีก็แต่สาวๆเหล่านั้นมาเกาะแกะเขา คงเพราะความหล่อ ร่ำรวยและมีเชื้อสายกระมังที่ทำให้ชายหนุ่มอยู่ในความสนใจของสาวโสดและไม่โสดอยู่หลายคน


“เหรออออ...”อีกฝ่ายแกล้งลากเสียงยาว “แล้วน้องเอื้องล่ะ ทำไมคุณถึงบอกว่าใช่ คุยกันได้สักกี่คำกันเชียว”


นทีดลขยับตัวเล็กน้อย เพื่อประวิงเวลาในการเรียบเรียงถ้อยคำอยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยตอบ“ผมรู้สึกสะดุดตาเธอตั้งแต่แรกเห็น พอได้คุยกัน ทำอะไรร่วมกัน ก็ยิ่งรู้สึกว่าใช่ และที่สำคัญเรามีอะไรหลายๆอย่างที่เกี่ยวโยงกัน ผมบอกไม่ถูกหรอกว่าตอนนี้รู้สึกกับเธอยังไง เป็นความชอบ ความรัก หรือความผูกพัน รู้แต่ว่าอยากอยู่ใกล้ ปกป้องดูแล...”


“พอๆไม่ต้องสาธยายละ โน่น สุดเลิฟของคุณกำลังจะเข้าฉาก ไปดูกันเถอะ น้องเอื้องอุตส่าห์เรียนฟ้อนเล็บมาตั้งครึ่งเดือนเชียวนา เพื่อฉากนี้ฉากเดียวเลย”นาถนรีเบรกแล้วขยับลุกขึ้นยืน หลังจากนั้นจึงดึงแขนอีกฝ่ายให้ลุกตาม ทว่านทีดลยังปักใจกับเรื่องเดิมอยู่ “สัญญามาก่อนสิว่าคุณนัทจะไม่ดิสเครดิตผม”


ผู้จัดการนางเอกสาวปล่อยมือทันใดและหดกลับมากอดอก ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอคุณดล นัทไม่ทรยศคุณหรอกน่ะ ถึงจะห่วงน้องสาวแค่ไหน แต่หน้าที่นัทก็มีเพียงช่วยดูแลอยู่ห่างๆเท่านั้น ไม่ใช่ยัดความคิดไม่ดีใส่หัวใคร”


สิ้นคำของหญิงสาวเขาจึงดีดตัวลุกขึ้นบ้างและยิ้มกริ่ม “ขอบคุณครับ”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 13 ก.ค. 2013 5:53 pm

คณินเดินวนไปมาเพื่อตรวจตราความพร้อมของกล้อง แสง เสียงและนักแสดงตามลำดับ เมื่อทุกฝ่ายตอบว่าพร้อมแล้ว เขาจึงนับถอยหลังและสั่ง...


“แอ๊คชั่น!”


จากนั้นเหล่านักแสดงในชุดช่างฟ้อนร่วมสิบชีวิตจึงค่อยๆย่อตัวลงไหว้ ก่อนจะยืดตัวขึ้นอย่างช้าๆแล้วร่ายรำไปตามจังหวะฆ้องกลองอันดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณอย่างอ่อนช้อย


แม้ฉากนี้จะมีการเตรียมการนานนับชั่วโมงแต่ผลพวงจากการซ้อมฟ้อนกันจนชำนิชำนาญของดาราสาวและตัวประกอบทั้งหลายยังเป็นผลให้การถ่ายทำผ่านพ้นไปอย่างเรียบร้อยลงตัวภายในเทคเดียว


หลังจากนั้นทีมงานจึงเตรียมตัวถ่ายทำฉากที่มีพิรธรและเมรินเข้าฉากร่วมกัน ฝ่ายเอื้องลดาซึ่งไม่ต้องเข้าฉากแล้วจึงเลี่ยงออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดิมเหมือนที่ใส่มาในคราวแรกโดยมีนาถนรีตามดูแลไม่ห่าง
“ฟ้อนได้สวยจังครับคุณเอื้อง”นทีดลเอ่ยชมขณะเดินไปรับหญิงสาวทั้งสองกลับเข้ามาในบริเวณวัด


คนถูกชมยิ้มอย่างเขินๆตรงข้ามกับผู้จัดการส่วนตัวที่โพล่งขึ้นดักคอชายหนุ่มกลั้วหัวเราะ “ที่ชมนี่ตามจริงหรือลำเอียงเพราะรักคะคุณดล”
เอื้องลาหันขวับมามองพี่สาวตาเขียวปั๊ดเนื่องจากรู้เท่าทันเลศนัยในน้ำเสียงของอีกฝ่าย กระนั้นนาถนรีก็ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้บุ้ยใบ้ไปทางชายหนุ่ม “ตอบสิคุณ”


นทีดลส่ายหน้าอย่างระอาแล้วจึงตอบเสียงดุเป็นการปรามอีกฝ่ายไม่ให้กระเซ้าแรงเกินไปนัก “ผมน่ะชมตามจริง เพราะเห็นว่าคุณเอื้องมีพรสวรรค์ทางนี้ แต่คุณน่ะกำลังพยายามชักใบให้เรือเสียอยู่นะ”


“เอาล่ะค่ะ อย่ามัวแต่โต้กันไปโต้กันมาเลย เมื่อกี้ฝ่ายคอสตูมเล่าว่าที่นี่มีเจดีย์บรรจุอัฐิของพระเจ้าติโลกราชอยู่ด้วยเหรอคะ เอื้องอยากไปกราบท่านน่ะค่ะ”


“อ๋อ ได้สิครับ เดี๋ยวเราเดินอ้อมวิหารหลังนั้นไปก็ถึงแล้ว”นักธุรกิจหนุ่มรับปากพร้อมทั้งชี้ไปยังทิศทางเป้าหมาย แต่แล้วกลับต้องชะงักเห็นเมื่อกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังกรูกันเข้ามาหาเอื้องลดา “สงสัยคุณเอื้องต้องรับมือกับแฟนคลับสักพักแล้วล่ะครับ”


นางเอกสาวพยักหน้าและใช้เวลาร่วมกับแฟนคลับร่วมยี่สิบนาทีเธอจึงเอ่ยขอตัวซึ่งเหล่าแฟนคลับก็ยินยอมแต่โดยดี เวลาส่วนตัวของเอื้องลดาจึงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง นวนิยาย

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน

cron