นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

นวนิยาย เรื่องยาว ต่างๆ

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 13 ก.ค. 2013 5:53 pm

ดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมองเจดีย์ทรงระฆังขนาดใหญ่ด้วยกิริยาที่เรียกได้ว่าตาเกือบไม่กะพริบ


ระยะเวลาอันล่วงเลยมายาวนานห้าร้อยกว่าปี ยามนี้มหาราชแห่งล้านนามีเพียงพระเจดีย์อันเป็นเครื่องรำลึกถึงว่าครั้งหนึ่งบนผืนแผ่นดินแห่งนี้เคยมีกษัตริย์ผู้ทรงพระนามว่าพระเจ้าติโลกราช หรือที่จักรพรรดิ์จีนขนานพระนามให้ว่าราชาแห่งตะวันตกเป็นผู้ปกครอง


ทุกๆชีวิตบนโลกนี้ ไม่ว่าจะสูงส่งหรือต้อยต่ำเพียงใดก็ล้วนแต่หลีกหนีความตายไปไม่พ้น


“แล้วฝั่งโน้นล่ะค่ะที่เหลือแต่ฐานสี่มุมนั่นน่ะ คืออะไร”เสียงของนาถนรีแทรกขึ้นมา นางเอกสาวจึงหันมองไปตามจุดโฟกัสสายตาของอีกฝ่ายขณะที่หูก็รอฟังคำตอบจากชายหนุ่มอย่างจดจ่อ “วิหารเก่าที่เคยใช้เป็นที่สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 ของโลกไงครับ”


“ดูคุณดลก็มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ดีเหมือนกันนะคะ”เอื้องลดาชม
“ก็ไม่เชิงหรอกครับ ที่รู้เรื่องวัดนี้เพราะพ่อเล่าให้ฟังบ่อยๆน่ะ แล้วอีกไม่นานผมก็ต้องมาบวชอยู่ที่นี่ด้วย ” เขาตอบเจือยิ้ม


“เมื่อไหร่คะ”นาถนรีซัก


“เข้าพรรษานี้แหละครับ”


เอื้องลดาได้ฟังจึงหันไปยิ้มหวานให้ว่าที่พระภิกษุคนใหม่ แล้วถอดรองเท้าวางไว้บนทางเดินปูด้วยอิฐและเดินตรงไปยังด้านหน้าองค์เจดีย์


“คุณเอื้องระวัง...”นทีดลร้องเตือนเสียงดัง หากยังไม่ทันจบประโยค นางเอกสาวก็เดินเขย่งเก็งกองเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าเหยเก เนื่องจากเหยียบเอาหนามไมยราพเข้าให้เต็มรัก ทว่าครู่ต่อมาเธอก็ยังทำใจดีสู้เสือหันกลับมายิ้มร่าให้คนเตือนได้อีก “เตือนช้าไปค่ะคุณดล”


“เจ็บมากไหม”เขารีบถอดรองเท้าก้าวตามหญิงสาวเข้าไปด้วยความห่วงใย เมื่อไปถึงจึงบอกให้เธอนั่งแหมะลงกับพื้นเช่นเดียวกับเขา หญิงสาวจึงทำตามอย่างงงๆและโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว เขาก็เอ่ยขอโทษแล้วจับอุ้งเท้าของเธอขึ้นพลิกดู เป็นครู่จึงปล่อยมันลงพลางยิ้ม “ไม่มีเศษหนามแล้วครับ”


“เอ่อ คือ เอื้องไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกค่ะ ตกใจมากกว่าเพราะไม่คิดว่าบนผืนหญ้าจะมีหนามด้วย”นางเอกสาวออกตัวแก้เก้อขณะก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อชำเลืองมองนาถนรีซึ่งยืนอยู่บนทางเดิน และพบว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาอย่างสนใจ


“คุณนี่จริงๆเลย”เขาบ่นพลางถอนหายใจ แล้วจึงผายมือ “ไปที่กระถางธูปนั่นเถอะครับ จะได้ไหว้พระองค์ท่าน ไม่ต้องกลัวหนามแล้วล่ะ มันขึ้นแค่จุดที่อยู่ใกล้ๆทางเดินเท่านั้นแหละ”


หญิงสาวจึงพยักหน้าก่อนจะทำตามอย่างว่าง่ายโดยมีชายหนุ่มก้าวตามไปติดๆ


ไม่เข้าใจเหมือนกัน แค่เพียงหนามตำเท่านี้ เหตุใดเขาจึงรู้สึกห่วงเธออย่างมากมาย นทีดลถามตนเองหลายครั้งแต่ก็ไม่มีคำตอบย้อนกลับมาสักที ให้ตายสิ


เขาสลัดสิ่งที่ค้างคาใจออกพลางมองตามร่างโปร่งบางที่กำลังทรุดตัวนั่งลงตรงข้ามกระถางธูปซึ่งตั้งอยู่กลางองค์เจดีย์ทางทิศตะวันตกและย่อตัวนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆกัน ก่อนจะหยิบธูปในห่อออกมา 18 ดอก จุดไฟจนไหม้ครบทุกดอกแล้วยื่นมันให้เธอเสียครึ่งหนึ่ง


เอื้องลดาเอื้อมมือไปรับพร้อมทั้งเอ่ยคำขอบคุณเบาๆจากนั้นจึงพนมมือ หลับตาลงและอธิษฐานจิต


ไม่ถึง5วินาทีความรู้สึกร้อนผ่าวจึงบังเกิดขึ้นบริเวณโคนนิ้วก้อยของเธอ หากหญิงสาวก็ยังหลับตานิ่งด้วยรู้ดีว่า แหวนนาคนั้นมีพลังพิเศษบางอย่างซึ่งตนไม่สามารถบังคับได้ และบัดนี้มันคงสำแดงเดชขึ้นอีกครั้ง


ตึง...ตึง กลองเสียงทรงพลังดังก้องอยู่ในหัวราวกับมีคนตีกลองขนาดใหญ่อยู่รอบๆตัวเธอ และทั้งที่ดวงตามองเห็นความดำมืด ลูกไฟสีทองกลับปรากฏขึ้นตรงหน้า ทว่าแสงอันเจิดจ้านั้นก็ทำให้เธอไม่อาจมองเห็นอื่นใดได้อีก แต่กลับได้ยินสุรเสียงนุ่มทุ้มทรงอำนาจเอ่ยขึ้นว่า “ประตู๋อยู่บนก๋ำแปงหั้น ครั้นถึงเวลามันก็จักเปิด ทุกสิ่งได้ถูกก๋ำหนดเอาไว้แล้ว”


“ท่านเป็นใคร ท่านพูดถึงอะไร เอื้องไม่เข้าใจ”จิตของเอื้องลดาเพ่งถาม ร่างอันเปล่งรัศมีเจิดจ้านิ่งไปเป็นครู่จึงตอบ “ธูปในมือของเจ้าสื่อสารกับผู้ใด แหวนนาคของเจ้าก็เป๋นสื่อถึงผู้นั้นแล”


“นั่นคือพญาท่านครับคุณเอื้อง”


เสียงของนทีดลดังแทรกขึ้น อา...เหตุใดเสียงของเขาจึงดังขึ้นในกระแสความคิดของเธอได้


“แหมบ่เมินก็จักถึงเวลาแล้ว”สุรเสียงทรงพลังเอ่ยทิ้งท้าย ก่อนที่แสงสีทองจะเลือนหายไป พร้อมๆกับที่เอื้องลดาลืมตาขึ้นผินหน้าไปจ้องคนข้างกายด้วยแววตาประหลาดใจ “เสียงของคุณใช่ไหมคะ ที่บอกว่า นั่นคือพญาท่าน”


“ใช่ ผมเองที่ตอบคุณ”


“แล้วทำไมคุณถึงสื่อสารกับเอื้องได้ทั้งๆที่เอื้องเพียงแค่คิด หรือว่า...”
นทีดลพยักหน้า “ครับ แหวนนาคทำให้เราสื่อถึงกันทางจิตได้ในบางจังหวะ”


เอื้องลดาใช้ฟันบนขบริมฝีปากล่างของตนเบาๆขณะนึกคิด ไตร่ตรอง “ก่อนที่จะเห็นภาพนั้น เอื้องรู้สึกร้อนที่โคนนิ้วก้อย หรือว่าก่อนมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้น จะต้องเกิดปฏิกิริยากับแหวนก่อนคะ”


“ผมคิดว่าเป็นอย่างนั้นแหละ”เขาทอดสายตามองเธออย่างอ่อนโยนขณะตอบ แต่แล้วทั้งสองก็ต้องรีบหันขวับมองไปยังทางเดินพร้อมๆกันเมื่อได้ยินเสียงใครคนหนึ่งตะโกนเรียก “สามคนนั้นมัวทำอะไรอยู่ เลิกกองแล้วนะ”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 23 ก.ค. 2013 6:58 pm

บทที่ ๙

1368945232.jpg
1368945232.jpg (60.03 KiB) เปิดดู 9641 ครั้ง


“ขอสากับลิลลี่กลับด้วยนะคะ ลิลลี่เขาปวดหัวแต่ทางกองถ่ายจะนัดหมายกันไปทานข้าวในเมืองกันน่ะค่ะ”สุนิสาพูดขึ้นหลังจากที่นทีดลและเอื้องลดาเดินมาถึงจุดที่เธอและนาถนรียืนอยู่


“แต่ว่า...”เจ้าของรถเอ่ยปากจะค้าน ทว่าเอื้องลดากลับยินยอมจำนนต่อเหตุผลของอีกฝ่ายโดยง่าย “คุณดลพาลิลลี่ไปพักเถอะค่ะ เดี๋ยวพี่นัทกับเอื้องจะไปกับรถกองถ่ายเอง”


“จริงๆรถผมก็นั่งได้หลายคนนะ ไปกันหมดนี่เลยก็ได้”กระนั้นนทีดลก็ยังห่วง


สุนิสารีบโบกไม้โบกมือ “ไม่พอนั่งหรอกนะ สาลืมบอกว่ารีน่าก็จะไปกับเราด้วย”


คราวนี้นาถนรีซึ่งรู้สึกทะแม่งๆอยู่นานจึงย้อนถามบ้าง “แล้วทำไมพวกคุณไม่ขอติดรถพี่แก้วคอสตูมไปก่อนล่ะ ฉันได้ยินพี่เขาบอกว่าจะรีบกลับนี่”


ผู้ถูกถามมองอีกฝ่ายด้วยหางตาแล้วจึงตอบ “พวกเราเกรงใจน่ะสิ คนอื่นๆเขาพักกันที่โรงแรมในเมือง มีแต่พวกเรานี่ล่ะที่พักรีสอร์ตคุณดล”


ผู้จัดการนางเอกหัวเราะ “อ้อ ก็เลยไม่เกรงใจคนที่คุณดลไปรับมาแต่แรกงั้นเหรอ”


“ทำไมต้องเกรงใจพวกเธอ ในเมื่อกลุ่มฉันมีคนป่วย”


“พี่นัทคะ”เอื้องลดาดึงแขนพี่สาวและเอ่ยปรามเบาๆ หากอีกฝ่ายยังไม่หยุด ทั้งยังขยับเข้าไปใกล้คู่กรณีอีกนิด “ทำไมน่ะเหรอ เพราะเราสองคนก็พักที่รีสอร์ตเหมือนกันน่ะสิ แถมเรายังเป็นคนที่คุณดลอาสาขับรถมาส่งตั้งแต่แรกด้วย”


สุนิสาเชิดคางโต้ “แต่ลิลลี่ไม่สบาย พวกเธอไม่ควรเห็นแก่ตัวนะ”


เอื้องลดาอดรนทนไม่ได้จึงเดินเข้ามายืนแทรกระหว่างคนทั้งสองและหันไปบอกสุนิสาเสียงเรียบ “เธอกับเพื่อนๆกลับพร้อมคุณดลเถอะ เดี๋ยวเราสองคนจะไปกับรถกองถ่ายเอง แค่คุณดลขับรถมาส่งก็เสียเวลามากพอแล้ว ดังนั้นเราต้องมีความเกรงใจต่อเขาบ้าง ไม่ใช่มาแย่งกันจะเป็นจะตายให้เขาลำบากใจ”


“ไปค่ะพี่นัท”นางเอกสาวใช้มือขวาแตะข้อศอกผู้จัดการส่วนตัวเบาๆก่อนหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว


ทว่าไม่ถึงนาทีนทีดลก็ผละจากสุนิสาวิ่งตามมาดักหน้า “มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกันสิ”


“แล้วจะให้ทำยังไงคะ ในเมื่อคนสนิทของคุณเขาไม่สบาย”เอื้องลดาตอบอย่างงอนๆ


นทีดลอมยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ก็พาเขาไปส่งที่รีสอร์ตก่อนค่อยกลับมาพาคุณสองคนไปทานข้าวสิครับ ผมตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าวันนี้จะพาคุณเอื้องกับคุณนัทไปทานขันโตกกัน”


“อุ๊ย นัทชอบอาหารเหนือค่ะคุณดล งั้นตกลงตามนี้นะคะน้องเอื้อง”นาถนรีคะยั้นคะยอน้องสาวพลางหันไปขยิบตาใส่ชายหนุ่ม


“นะครับคุณเอื้อง ผมวนรถไปแป๊บเดียว”


เอื้องลดาถอนใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง ก่อนตอบคำเสียงขุ่น “นี่คุณทำเป็นไม่รู้หรือเปล่าคะ ว่าเจตนาของสามสาวนั่นคืออะไร”


ชายหนุ่มกระตุกมุมปากยิ้มน้อยๆ “ถ้าคุณรู้คุณก็ช่วยผมสิครับ ผมไม่ใช่คนที่ปฏิเสธใครไม่เป็น เพียงแต่ในฐานะเจ้าของรีสอร์ตผมต้องบริการแขกเท่านั้นเอง”


เกือบแล้วสิ คำพูดของเขาเกือบทำให้เธอเผลอยิ้มออกไป อะไรกันแค่คำอธิบายสั้นๆเพียงเท่านี้กลับทำให้เธอโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก
“นะครับคุณเอื้อง” นทีดลย้ำ


หญิงสาวจึงแสร้งทำเป็นพยักหน้ากลายๆอย่างไม่สนใจไยดีนัก ทั้งๆที่ภายในใจเต้นระส่ำ อยากรู้เหลือเกินว่าใจเขาคิดเย่างไร


เฮ้อ! หวังว่าเธอไม่คิดไปเองนะ...เอื้องลดา
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 23 ก.ค. 2013 6:59 pm

แดดรำไรทอแสงลอดกิ่งไม้ใบโปร่งลงมายังจุดที่หญิงสาวร่างระหงในชุดเดรสสายเดี่ยวสีครีมยืนอยู่ เธอจึงขยับตัวหนีให้พ้นจากแสงสีส้มระเรื่อพลางชะเง้อชะแง้ไปยังทางเดินที่ทอดมาสู่อาณาเขตของพระธาตุเจ็ดยอดใกล้กับที่ตนยืนอยู่ จึงไม่ทันเห็นผู้ที่กำลังเดินมาทางด้านหลังอย่างเงียบเชียบ


“มองหาใครอยู่เหรอลิลลี่”


เมรินซึ่งกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับนทีดลสะดุ้งเล็กน้อย แต่ครู่เดียวก็ตั้งสติได้จึงหันมาตอบอย่างเสียไม่ได้ “ก็รอสากับพี่ดลน่ะสิ ลิลลี่ให้สาไปบอกพี่เขาว่าจะกลับด้วย”


คนฟังเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม “คุณดลเขามาพร้อมคุณเอื้องไม่ใช่เหรอ”


“แล้วไงล่ะ”เสียงถามของเมรินห้วนจัด


“ก็ไม่แล้วไงหรอก รีน่านึกว่าลิลลี่จะเกลียดคุณเอื้องจนไม่อยากญาติดีด้วยเสียอีก ไม่คิดว่าจะยอมนั่งรถคันเดียวกันกลับรีสอร์ตได้”


เมรินกระตุกมุมปากขึ้นยิ้มข้างหนึ่ง ขณะมองเพื่อนด้วยสายตาขวางๆ “แล้วใครบอกว่าจะให้มันไปด้วยล่ะ”


เอริน่าเลิกคิ้ว “นี่ลิลลี่จะไปแทนแล้วให้เขากลับกับรถกองถ่ายงั้นเหรอ”


เมื่อเพื่อนเดาสถาการณ์ถูกเมรินจึงหัวเราะคิกคักอย่างสาสมใจ “ก็ใช่น่ะสิ ตอนนี้สาไปบอกพี่ดลแล้วว่าลิลลี่ปวดหัวมาก ขอกลับด้วย”


สาวลูกครึ่งถอยหลังไปยืนพิงต้นไม้ใหญ่พลางยกมือขึ้นกอดอก ทอดสายตามองไปยังยอดเจดีย์เบื้องหน้าขณะถาม “ลิลลี่จงใจแกล้งคุณเอื้องใช่ไหม มีเหตุผลอะไรถึงไม่ชอบเขาล่ะ”


เมรินหันขวับทันที่ที่คำถามนั้นผ่านประสาทหู “ทำไม เธอเป็นห่วงมันเหรอรีน่า นี่ตกลงเธอเป็นเพื่อนใครกันแน่”


เอริน่าถอนใจออกมาดังๆแล้วค่อยตอบ “รีน่าก็ห่วงลิลลี่นั่นแหละ กลัวว่าทำแบบนั้นแล้วคุณดลจะมองไม่ดี เขาไม่ใช่เด็กๆนะจะได้ดูไม่ออกน่ะ ว่าพวกเรากำลังทำอะไรอยู่”


“ถ้างั้นรีน่าก็ต้องช่วยลิลลี่สิ”เมรินเสียงอ่อนลง


เอริน่าพยักหน้า “งั้นก็เล่ามาก่อนว่าทำไมถึงเกลียดคุณเอื้องเขานัก”


มารินยักไหล่ “ไม่รู้สิ ไม่ค่อยถูกชะตาแม่คนนี้มาตั้งแต่เจอกันครั้งแรกละ แถมยังมีงานที่ถูกหล่อนชิงไปหลายหน อย่างพรีเซ็นเตอร์โฆษณาน้ำหอมแบรนด์ดังนั่นก็ใช่ ละครเรื่องนี้อีกล่ะ ถึงจะมีนักแสดงนำหญิง 2 คน แต่ตัวที่คู่กับพระเอกจริงๆคือเอื้องลดา แถมทำไปทำมาหล่อนยังทำท่าว่าจะมาแย่งพี่ดลไปจากลิลลี่อีก ลิลลี่ไม่เคยเป็นรองใครรีน่าก็รู้ แล้วนี่อะไร แค่ลูกสาวข้าราชการจนๆอย่างเอื้องลดาเนี่ยเหรอจะมาแย่งพี่ดลไปจากลิลลี่ เฮอะ ไม่มีทาง ”


“จะว่าเขาแย่งก็ไม่ถูก ลิลลี่กับคุณดลยังไม่ได้คบกันเลยนี่”ผู้เป็นเพื่อนแย้งตรงๆเนื่องจากเอริน่าเป็นคนตรงไปตรงมาและถือความถูกต้องเป็นหลัก ทว่าคำพูดของเธอนั้นสะกิดใจเพื่อนรักอย่างจัง เมรินจึงชักสีหน้าเข้าใส่และถามเสียงดังเกือบตะคอก “นี่เธอจะเข้าข้างใครกันแน่แม่เอริน่า”


“รีน่าก็แค่อยากเตือนสติลิลลี่ เราเป็นเพื่อนกัน มีอะไรก็ต้องบอกกันไม่ใช่เหรอ”สาวลูกครึ่งตอบอย่างใจเย็น


เมรินไม่ต่อปากต่อคำอีก เนื่องจากสายตาของเธอมองเห็นมาริสากำลังเดินลิ่วๆเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไปกันได้แล้ว ยายสองคนนั่นกลับพร้อมรถกองถ่าย”


“งั้นเดี๋ยวเจอกันที่รีสอร์ตนะ รีน่าไปล่ะ”เอรีน่าบอกพลางหันหลัง


“จะไปไหนรีน่า เธอเองก็ต้องไปกับพวกเรา ไม่งั้นรถก็ว่างพอที่คนอื่นจะมานั่งได้สิ”มาริสาท้วงตามหลัง


ผู้เป็นตัวแปรหันขวับมาค้าน “แต่ว่ารีน่าเกรงใจคุณดลเขา”


เมรินคว้าข้อมือเพื่อนเอาไว้พลางสำทับเสียงหนัก “ถ้างานนี้เธอไม่ช่วย ถือว่าไม่รักกันจริง”


เอรีน่าทำได้เพียงลอบถอนใจเบาๆอย่างสุดแสนระอา นี่ถ้าไม่ติดว่าเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นมัธยมล่ะก็ เธอคงเลิกคบสองสาวไปนานแล้ว“เอาล่ะ ไปก็ไป”


หลังหาข้อสรุปกันลงตัวแล้ว สามสาวจึงพากันเดินไปขึ้นรถซึ่งจอดรออยู่บนถนนภายในวัดซึ่งบรรจบกับทางเดินที่เธอทั้งหมดต้องผ่านมาพอดี จากนั้นชายหนุ่มผู้เป็นคนขับจึงบ่ายหน้ารถออกสู่เส้นทางที่จะไปยังพิงครัตน์รีสอร์ตด้วยความเร็วในระดับที่เมรินต้องทักท้วง “ทำไมพี่ดลขับรถเร็วจังเลยคะ”


“พี่มีธุระต่อน่ะครับ”นทีดลตอบโดยที่สายตายังมองตรงไปข้างหน้า


“ช้าลงอีกนิดเถอะค่ะ มันอันตราย”เอรีน่าเสริมบ้างเพราะเห็นว่าข้างทางมีการเล่นน้ำสงกรานต์กันอยู่หลายจุด


ชายหนุ่มไม่ตอบรับหรือปฏิเสธแต่ก็ยอมลดระดับความเร็วลงโดยดี


“อยากเล่นน้ำสงกรานต์บ้างจังค่ะ”เมรินเอ่ยชวนขึ้นมาลอยๆหลังจากที่อีกฝ่ายลดระดับความเร็วลงมากแล้ว


นทีดลเหลือบมองหญิงสาวรุ่นน้องแล้วจึงปฏิเสธนุ่มๆ “ลิลลี่ปวดหัวอยู่นี่ครับ ถ้าเล่นน้ำจะทำให้ไม่สบายได้นะ พี่ว่ากลับไปนอนพักดีกว่า”


“เอ่อ แต่ว่า...”


“เชื่อพี่เถอะ ถ้าไม่สบายหนักจนทำงานไม่ได้ ทางกองถ่ายจะลำบากนะ”


เมรินจึงเงียบเสียงลงทั้งๆที่ไม่เห็นด้วยนัก แต่ก็ไม่รู้จะค้านอีกฝ่ายอย่างไร ในเมื่อเธอเป็นคนวางแผนว่าป่วยเอง


เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ เจ้าของรถจึงเปิดเพลงสากลเบาๆให้ฟังเพื่อเป็นการผ่อนคลายจวบจนรถยุโรปสีดำเคลื่อนเข้าจอดเทียบด้านหน้าเรือนไม้หลังกะทัดรัดซึ่งตกแต่งด้วยดอกไม้หลากสีสันราวกับเป็นบ้านในนิทาน สารถีหนุ่มจึงก้าวลงจากรถเพื่อเปิดประตูให้หญิงสาวทั้งสาม แต่ก็มีเพียงเมรินคนเดียวที่นั่งทำท่าเป็นนางพญารออยู่ ส่วนเพื่ออีกสองคนนั้นไม่สนใจพิธีรีตองจึงเปิดประตูเองทันทีที่รถจอด


“ขอบคุณนะคะคุณดลที่มาส่ง” มาริสาและเอรีน่าเอ่ยขึ้นเกือบพร้อมๆกัน


นทีดลหันไปยิ้มให้สาวสวยทั้งสองขณะที่ใช้มือดึงประตูเปิดให้นางเอกสาวสวยซึ่งนั่งคู่ตอนหน้ามากับตน


“พี่ดลจะกลับมาทานข้าวเย็นที่นี่ไหมคะ”เมรินถามหลังจากเพื่อนทั้งสองเดินเข้าไปในบ้านพักเรียบร้อยแล้ว หากเธอยังเกาะประตูรถของชายหนุ่มรอท่าอยู่


“คงไม่ครับ วันนี้พี่จะไปทานข้าวข้างนอก”


ดาราสาวทำหน้ามุ่ย “ลิลลี่ว่าจะชวนพี่ดลดินเนอร์ด้วยเสียอีก”


“เอาไว้วันหลังก็แล้วกันครับ วันนี้พี่จะรีบไป”เขาตัดบทอย่างง่ายๆ หญิงสาวจึงจำต้องยินยอมด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ นับวันเขาชักจะทำตัวห่างเหินจากเธอแล้วเข้าไปใกล้ชิดสนิทสนมกับเอื้องลดาแทน แต่เธอก็ทำได้แค่เพียงผละออกมายืนดูรถของเขาเคลื่อนกลับไปทางเดิมด้วยความรู้สึกระแวงเท่านั้น


คอยดูเถอะยายนางเอกจอมแย่งซีน คราวนี้ฉันจะไม่ยอมแพ้เธออีกเป็นอันขาด
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 23 ก.ค. 2013 6:59 pm

เมื่อพาดผ้าขนหนูสีขาวหนานุ่มลงบนราวซึ่งตั้งอยู่บนระเบียงเล็กๆด้านนอกห้องน้ำแล้ว ลูกครึ่งสาวสวยผู้อยู่ในชุดเสื้อสายเดี่ยวสีแดงสดและกางเกงสีดำขาสั้นเผยให้เห็นเรียวขาขาวผ่องก็เดินลงจากบ้านพักแล้วลัดเลาะไปยังด้านหลังรีสอร์ตเพื่อชื่นชมธรรมชาติในเวลาแดดร่มลมตก


สำหรับเธอแล้ว แสงแดดรำไร กลิ่นดอกเอื้องหอมกรุ่น เสียงนกร้องจิ๊บๆแทรกเสียงน้ำไหลทำให้เอรีน่ารู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก คงเป็นเพราะเธอต้องพักอยู่บนคอนโดสูงใจกลางกรุงมาตลอดกระมัง จึงทำให้มองเห็นต้นไม้ใบหญ้าดูมีเสน่ห์มากกว่าคนทั่วไป


มือเรียวผลักประตูเหล็กดัดบานเล็กออกไปด้านนอกเมื่อเดินมาถึงเขตรั้วสูงทะมึน ทว่าบานประตูนั้นกลับเด้งกลับมาอย่างรวดเร็วทั้งยังมีเสียงร้องของใครคนหนึ่งดังขึ้น


“โอ๊ย!”


เอรีน่าถึงกับหน้าเสีย รีบก้าวออกไปนอกประตูรั้วและเอ่ยขอโทษชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผิวขาวจัดที่บัดนี้กำลังก้มหน้าลงและใช้มือขวาคลำหน้าผากซึ่งมีรอยแดงเป็นปื้นอยู่ป้อยๆ “ต้องขอโทษจริงๆค่ะรีน่าไม่ได้ตั้งใจ”


เขาผู้นั้นเงยหน้าขึ้น จ้องหน้าผู้เป็นต้นเหตุของความเจ็บปวดด้วยประกายสายตาที่อ่อนลงมาก อาจจะเพราะความสวยอันจับตา หรือกิริยาอันจับใจก็มิรู้ได้ ที่ทำให้ความโกรธในใจของนัยภาคมลายหายไปหมดแล้วในเวลานี้


“เจ็บมากไหมคะ” ถามแล้วหญิงสาวก็ยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ๆ “ดูสิเป็นรอยแดงเลย”


“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวก็หาย”เขาตอบแล้วจึงย้อนถามบ้าง “คุณเดินออกมาจากประตูเล็กนี่ แสดงว่าเป็นแขกที่มาพักในรีสอร์ตใช่ไหมฮะ”


“ใช่ค่ะ รีน่าเพิ่งเข้ามาพักเมื่อเช้านี้เอง”เธอตอบพลางแนะนำตัวไปพลาง


“ผมนัยภาคครับ เป็นผู้จัดการของที่นี่ หรือจะเรียกสั้นๆว่านัยก็ได้”


เอรีน่าทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้จึงยิ้มแฉ่ง “อ๋อ จำได้แล้วค่ะคุณนัยที่ลิลลี่บอกว่าเป็นคนจัดการเรื่องที่พักให้”


“อ้าว คุณรีน่าเป็นเพื่อนของคุณลิลลี่หรอกหรือครับ มิน่าผมถึงคุ้นๆหน้าเป็นดารานี่เอง”


“จริงๆรีน่าเป็นนางแบบค่ะ เพิ่งจะแสดงละครเรื่องนี้เรื่องแรก” หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่งจึงพูดต่อ “ต้องขอบคุณนะคะที่คุณนัยเป็นธุระเรื่องที่พักให้”


“ไม่เป็นไรครับเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว จริงๆต้องขอโทษด้วยซ้ำที่ผมไม่ได้เข้าไปดูแลด้วยตัวเอง ช่วงเทศกาลแบบนี้ทัวร์มาลงเยอะน่ะครับ ต้องดูแลหลายส่วน จริงๆบ้านพักที่จัดให้คุณทั้งสามคนเป็นส่วนที่พี่ดลเขาจะกันเอาไว้สำหรับคนที่สนิทๆเท่านั้นน่ะครับ ไม่งั้นก็เต็มหมด”


เอรีน่าหัวเราะกิ๊ก “แหม ใช้เส้นลิลลี่นี่เอง”


นัยภาคยิ้ม “คุณลิลลี่เขาเป็นลูกสาวของเพื่อนเจ้าป้าน่ะครับ รู้จักกันมานานแล้ว เป็นเหมือนญาติสนิทกัน เอ๊ะ ผมลืมไปสนิทใจเลย คุณรีน่าจะไปไหนครับ”


“อ๋อ รีน่าออกมาเดินเล่นน่ะค่ะ เคยมาถ่ายทำที่โบราณสถานแล้วหนนึง ชอบบรรยากาศก็เลยเดินออกมากินลมชมวิวบ้าง”


“ให้ผมเดินไปเป็นเพื่อนดีไหมฮะ ใกล้ค่ำแล้ว ถ้าคุณรีน่ารำคาญก็ตามไปห่างๆก็ได้”เขาต่อรอง


นางแบบสาวหัวเราะ “ไม่รำคาญหรอกค่ะ ดีเสียอีก รีน่าจะได้ไม่เหงา”


“งั้นเชิญเลยครับ”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 23 ก.ค. 2013 6:59 pm

มือแกร่งเทน้ำจากคนโทดินเผาลงในกระบวยเล็กๆทำจากกะลามะพร้าวจนครบจำนวนคนแล้วยื่นมันให้เอื้องลดาน้ำไปเสิร์ฟต่ออีกทอด


หญิงสาวทำหน้าที่ของตนแล้วจึงหันกลับมาจ้องคนโททรงสูงและถาม “คนโทใส่น้ำนี่เรียกว่าอะไรคะ”


“เรียกว่าน้ำต้นครับ เป็นภาชนะใส่น้ำที่มีมาแต่โบราณ”


“น้ำต้นที่ตั้งไว้บนร้านน้ำใช่ไหมคุณดล นัทนึกว่าเป็นหม้อใหญ่ๆเสียอีก”นาถนรีซึ่งนั่งขัดสมาธิอย่างสบายอารมณ์เป็นผู้ถาม


ร้านอาหารที่นทีดลพาสองสาวมารับประทานอาหารเย็นนั้นเป็นร้านที่ตกแต่งสไตล์ล้านนาแท้ๆและจัดมุมให้ลูกค้าอย่างเป็นสัดส่วน ทั้งสามจึงเลือกนั่งบนระเบียงที่ยื่นออกไปเหนือสระซึ่งมีดอกบัวสีขาวและชมพูบานสล้าง


“คุณนัทคิดถูกแล้วล่ะ ที่อยู่บนร้านน้ำเป็นหม้อน้ำขนาดใหญ่ ส่วนน้ำต้นนี่เอาไว้รับแขกบนบ้านครับ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใช้กันแล้วล่ะ ใช้ตู้เย็นแทน”นทีดลเล่าแล้วเบี่ยงตัวหลบให้พนักงานเสิร์ฟนำอาหารมาวางลงบนขันโตกไม้สักซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสาม


“อุ๊ย มาแล้ว แกงฮังเลของโปรด”นาถนรีทำท่าลูบปากขณะพูด


นทีดลจึงเลื่อนก่องข้าวไปให้เธอ ก่อนจะหันไปหยิบจานซึ่งมีช้อนและช้อนส้อมวางอยู่ครบลงตรงหน้าเอื้องลดา “กลัวคุณเอื้องจะทานข้าวเหนียวไม่เป็น ผมเลยขอจานมาให้น่ะฮะ”


เอื้องลดาย่นคิ้ว “ไม่เอาค่ะ ทานข้าวแบบคนเหนือก็ต้องใช้มือปั้นข้าวเหนียวถึงจะได้อารมณ์ มา เอื้องลองทำแบบพี่นัทบ้าง”


ว่าแล้วหญิงสาวก็เปิดฝาก่องข้าวแล้วใช้มือปั้นข้าวเหนียวเป็นคำเล็กๆ ชูขึ้น “สบายมากค่ะคุณดล”


ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ จากนั้นจึงแนะนำเมนูอาหาร “ในถ้วยเล็กๆนั่นน้ำพริกอ่อง ชามใหญ่นั่นผักกาดจอ ส่วนนี่ก็ คั่วโฮะ แกงฮังเล แล้วที่หั่นพอคำนั่นไส้อั่วครับ”


เอื้องลดาจิ้มข้าวเหนียวลงบนน้ำพริกอ่องเป็นอย่างแรก นทีดลจึงใช้ช้อนส้อมจิ้มแตงกวาหั่นเป็นคำส่งให้ “เครื่องเคียงครับ”


หญิงสาวยื่นมือไปรับช้อนส้อมจากมือเขา พูดกลั้วหัวเราะ “ทำเหมือนเอื้องเป็นเด็กเลย”


ชายหนุ่มเพียงแค่ยิ้ม ไม่ตอบว่ากระไร นาถนรีจึงแกล้งกระแอมกระไอขึ้น ก่อนจะแซว “แกงฮังเลนี่ว่าหวานแล้วนะคะ ยังไม่หวานเท่าคนแถวนี้เลย”


เอื้องลดาหันไปตีเผียะลงบนขาพี่สาวเบาๆ “พี่นัท พูดอะไรเนี่ย”


นาถนรีตีหน้าตาย แกล้งสะกิดนทีดลซึ่งทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่ตรงหน้า “พูดชัดๆเลยดีไหมคะคุณดล น้องเอื้องเขาไม่เข้าใจ”


ผู้ถูกถามเหลือบตามองเอื้องลดาแวบหนึ่ง แล้วค่อยตอบออกไปอย่างหนักแน่น “ก็ดีเหมือนกันครับคุณนัท คุณเอื้องจะได้รู้ว่าผมคิดยังไงกับเธอ”


นาถนรีแทบจะอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน ส่วนนางเอกสาวผู้ถูกพาดพิงนั้นรีบก้มหน้างุด ทำเป็นหยิบอาหารใส่ปากปกปิดความขัดเขิน


‘เอาแล้วซี ทำเป็นเดาใจเขามาทั้งวัน ครั้นพอเขาจะเริ่มเกริ่นบ้าง ก็ถึงกับไปไม่เป็นเชียวนะเอื้องลดา’ หญิงสาวบ่นตนเองในใจ
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 23 ก.ค. 2013 7:01 pm

บทที่ ๑๐

1369486837.jpg
1369486837.jpg (51.99 KiB) เปิดดู 8211 ครั้ง


แสงสีแดงเหนือขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเลื่อนลับเหลี่ยมเขาไปนานแล้ว ภายในพิงครัตน์รีสอร์ตจึงมีแสงสีนวลจากโคมไฟสนามเข้ามาแทนที่ สายลมเย็นพัดมาไหวๆ เงากิ่งไม้จึงไหวพะเยิบพะยาบตามแรงลม ครู่ใหญ่จึงมีเงาสะท้อนร่างมนุษย์ทาบทับบนทางเดินปูด้วยอิฐถึงสองเงาเคียงกัน ร่างนั้นเคลื่อนไปยังบ้านพักหลังหนึ่งซึ่งปลูกสร้างอยู่ริมฝายน้ำเล็กๆและมีไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งลดหลั่นไปตามชั้นของโขดหินอย่างวสยงามลงตัว


“ผมส่งแค่นี้นะฮะ”นัยภาคบอกหลังจากเดินตามหญิงสาวมาจนถึงที่พักของเธอ


เอริน่าหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มพร้อมทั้งคลี่ยิ้มโชว์ฟันขาวเรียงเรียบ “ขอบคุณมากนะคะคุณนัยที่ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนรีน่า”


เขายิ้มตอบ ใบหน้าขาวผ่องคมสันดูอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด “ไม่เป็นไรครับ เอาไว้ว่างๆผมจะพาคุณรีน่าไปขับรถชมวิวเมืองเชียงใหม่บ้าง”


“สัญญาแล้วนะคะ จะมาบิดพลิ้วทีหลังไม่ได้นะคุณนัย”


คนถูกรวบรัดหัวเราะชอบใจ เขาคงยินดีมาก ถ้าเธอจะรวบรัดเช่นนี้บ่อยๆ “ครับ ถ้าผิดสัญญาผมยินดีให้ปรับ สำหรับคืนนี้ฝันดีนะครับ”


“ค่ะ ขอให้คุณนัยฝันดีเหมือนกันนะคะ” เธอยกมือขวาขึ้นโบกไปมาแล้วจึงค่อยหมุนตัวเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆเข้าไปในบ้านพักซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยความสว่างไสวจากดวงไฟที่เธอเพิ่งกดเปิดสวิตซ์


ร่างบางเอนลงบนที่นอนซึ่งยังปูผ้าคลุมเตียงเอาไว้ก่อนจะกดรีโมตเปิดโทรทัศน์ดูละครช่วงเย็นซึ่งกำลังประคารมกันอย่างถึงพริกถึงขิง นางแบบสาวส่ายหน้าด้วยความเบื่อหน่าย เธอชอบละครคลาสสิกมากกว่าแนวแรงๆจึงกดรีโมตปิดเพื่อให้ภายในห้องอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง เงียบเสียจนได้ยินเสียงพูดคุยกันของคนที่เดินอยู่บนถนนด้านล่างซึ่งเธอจำได้ว่าเสียงหนึ่งนั้นเป็นเสียงของนทีดล


ความอยากรู้ทำให้นางแบบสาวลุกขึ้นจากที่นอน แง้มหน้าต่างไม้ออกดูจึงพบว่านทีดลและนาถนรีกำลังเดินไปส่งเอื้องลดาที่บ้านพักซึ่งอยู่ถัดจากบ้านพักของเธอไปอีกสี่ห้าหลัง


ด้วยความห่วงเพื่อนเอรีน่าจึงล้วงหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงเพื่อโทร.ไปเล่าให้เมรินฟัง ทว่าทุกอย่างกลับว่างเปล่า เธอจึงหันรีหันขวางเดินไปดูยังจุดที่คิดว่าน่าจะวางโทรศัพท์มือถือราคาแพงของตนเอาไว้ สำหรับนางแบบสาวแล้วโทรศัพท์เป็นสิ่งที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต ใช้เล่นอินเทอร์เน็ต เล่มเกมเครียดคลาย เป็นที่เซฟข้อมูลนัดหมาย และที่สำคัญเป็นสื่อกลางสำหรับติดต่องาน


แล้วเธอจะลืมทิ้งไว้ได้อย่างไร ในเมื่อตอนที่ไปเดินเล่นเธอยังถือมันติดมือไปด้วยเลยนี่นา


ฉุกคิดมาถึงจุดนี้คิ้วเรียวได้รูปก็ขมวดมุ่น ‘ตายแล้ว เธอลืมโทรศัพท์เอาไว้บนพื้นตอนที่จุดธูปไหว้กู่เก่าในโบราณสถาน หากปล่อยทิ้งแล้วไว้เกิดฝนตกเล่า หรือถ้าพรุ่งนี้เช้ามีใครมาพบมันก่อนเธอเล่า จะทำอย่างไรดี’


คิดดังนั้นนางแบบสาวจึงตัดสินใจหยิบไฟฉายออกจากกระเป๋าเดินทาง ใจอยากจะขอร้องให้มาริสาและเมรินไปเป็นเพื่อนอยู่หรอก แต่สองคนนั้นออกไปเดินห้างตั้งแต่หัวค่ำแล้วป่านนี้ก้ยังไม่กลับมา ‘เฮ้อ!อย่าไปกลัวความมืดเลยเอรีน่า เธอก็แค่รีบเดินจ้ำๆไปที่โบราณสถานแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือกลับมาเท่านั้นเอง’


เมื่อไม่มีวิธีอื่นใดที่ดีกว่านั้น สาวลูกครึ่งจึงเปิดประตูห้องพักเดินลิ่วๆลงไปด้านล่าง ก้าวไปตามทางเดินซึ่งเวลานี้มองเห็นเป็นสีเหลืองอมส้มตามสีของแสงจากโคมไฟสนาม


“นั่นรีน่าหรือเปล่า” เสียงร้องถามดังขึ้นขณะที่เธอเดินมาถึงบ้านพักหลังหนึ่ง
เอรีน่าหันขวับไปตามเสียงเรียกและพบว่าผู้ที่นั่งอยู่บนระเบียงบ้านพักคือเอื้องลดา


“นั่นเธอจะไปไหนมืดค่ำ”นางเอกสาวลุกจากเก้าอี้เดินมาเกาะราวระเบียงพร้อมทั้งชะโงกหน้าถาม


ด้วยความที่ไม่ใช่คนเจ้าทิฐิสาวลูกครึ่งจึงตอบไปตามจริง “รีน่าลืมโทรศัพท์ไว้ที่กู่เก่าน่ะ ว่าจะกลับไปเอา”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 23 ก.ค. 2013 7:02 pm

เอื้องลดาอ้าปากค้าง เป็นครู่จึงแสดงความเห็น “แต่มันมืดค่ำแล้วนะ ถึงคืนนี้จะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงก็เถอะ ยังไงการเดินในที่มืดๆแบบนั้นก็ยังน่ากลัวอยู่ดี”


อีกฝ่ายยักไหล่ “ทำไงได้ล่ะ รีน่าต้องใช้มันติดต่องาน แล้วพรุ่งนี้ก็มีเดินแบบด้วย ถ้าไม่รีบกลับไปเอาก็คงติดต่องานลำบาก รีน่าไม่อยากเสียชื่อเพราะผิดคำพูด มันดูไม่น่าเชื่อถือ”


คนฟังพยักหน้าแล้วจึงเสนอตัว “งั้นเดี๋ยวเอื้องไปเป็นเพื่อนเอง”


เอรีน่าขมวดคิ้ว ย้อนถาม “จริงเหรอ”


เอื้องลดาหัวเราะ “จริงสิ จะปล่อยให้รีน่าไปคนเดียวได้ยังไง ยังไงเราก็เพื่อนร่วมวงการเดียวกัน”


ว่าแล้วนางเอกสาวก็ก้าวลงบันไดมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งยังแปลกใจไม่หายที่ได้เห็นน้ำใจของคนที่ไม่เคยสนิทสนมกันมาก่อนดังเช่นเธอผู้นี้ ผู้ที่กำลังเดินมาหยุดอยู่ข้างกาย


“ไปสิ จะได้รีบไปรีบกลับ เอ หรือจะโทร.ไปขอให้คุณดลส่งคนไปเป็นเพื่อนเราดีล่ะ”เอื้องลดาแนะ


“อย่าเลย รีน่าเกรงใจเขา เมื่อครู่คุณนัยก็เพิ่งมาส่งรีน่าที่นี่ จริงๆเอื้องไม่ต้องไปด้วยก็ได้นะ รีน่าไปคนเดียวได้”


ทว่าเอื้องลดากลับสั่นหน้า “ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ”


หญิงสาวทั้งสองเดินมาจนถึงประตูเล็กซึ่งล็อกกลอนเอาไว้จากด้านใน เอื้องลดาจึงเป็นผู้เปิดมันแล้วก้าวออกไปก่อน
ประตูปิดลง จึงเป็นการบดบังรัศมีของแสงไฟนีอ

อนตามไปด้วย โชคดีที่คืนนี้แสงจันทร์กระจ่างฟ้า การเดินไปตามทางอันมืดสลัวจึงไม่ลำบากมากนัก ทว่าสองสาวก็พยายามก้าวเร็วๆด้วยความระมัดระวัง


“ริมแม่น้ำแบบนี้อากาศเย็นสบายดีจังนะ”เอรีน่าชวนคุย


“ใช่จ้ะ บรรยากาศกลางคืนนี่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ ไม่ว่าเป็นประสาทหู ตา จมูก ต่างก็ได้รับสัมผัสเท่าเทียมกัน หูได้ยินเสียงน้ำไหล เสียงนกและแมลงกลางคืน ตามองเห็นภาพใต้แสงจันทร์สีเงิน จมูกได้กลิ่นดอกเอื้องคำหอมกรุ่นลอยมาตามลม”เอื้องลดาต่ออย่างเคลิ้มๆ


นางแบบสาวพยักหน้า “แต่ความมืดก็น่ากลัวนะเอื้อง”


“น่ากลัวและน่าค้นหาไปพร้อมๆกัน”เอื้องลดาตอบเสียงเรียบ สายตาทอดมองไปยังทางโค้งเบื้องหน้าซึ่งมีกอไผ่กอใหญ่เป็นสัญลักษณ์ แล้วความร้อนผ่าวบริเวณโคนนิ้วก้อยก็เกิดขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวก้มหน้าลงมองแหวนในมือซึ่งบัดนี้เปล่งประกายวูบวาบเด่นชัด เธอจึงรีบซุกมือเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงเนื่องจากเกรงว่าเอรีน่าจะถามในสิ่งที่เธอเองก็ตอบไม่ได้
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 23 ก.ค. 2013 7:02 pm

“อ้ายหมากแก้วขะใจ๋ไปห้ามน้าเอื้องบ่หื้อเข้าเขตเมือง”เสียงเล็กๆของหมากคำรัวเร็ว เครือสั่นด้วยความห่วงใยผู้เป็นน้าในอดีตชาติของตน


“หากว่าเฮาไปปรากฏตั๋วต่อหน้าน้าเอื้องเพลานี้ น้าเอื้องก็อาจจะตกใจ๋และตี้สำคัญแม่ญิงตี้มาโตยหั้นก็คงหวาดผวาเป๋นแน่”หมากแก้วค้าน
หมากคำเดินจ้ำอ้าวไปยืนด้านหน้าพี่ชายแล้วยกแขนขึ้นกอดอกพร้อมทั้งทำหน้าตาเคร่งเครียด “แล้วจะยะจะได น้องกลั๋วน้าเอื้องจักเป๋นอันตรายจากคนฮ้ายตี้อยู่ในเมืองเก่า”


หมากแก้วเกาหัวแกรก “หรือว่าเฮาจักไปขัดขวางโดยตี้บ่อหื้อไผหันตั๋ว”


“น้องว่าเฮาไปจัดก๋ารหลอกคนฮ้ายสองคนนั้นหื้อหนีไปดีกว่าเจ้า”หมากคำวางแผน


ผู้เป็นพี่ชายพยักหน้าพลางคว้าข้อมือเล็กๆของน้องสาวทันใด“อั้นก็ไปจัดก๋ารได้ละ”


“บ่ต้องยะจะไดทั้งนั้นล่ะ หมากแก้ว หมากคำ”เสียงของพ่อปู่ดังขึ้น สองพี่น้องจึงชะงัก


หมากคำทำหน้าละห้อยเดินเข้าไปหาผู้เป็นปู่และแหงนหน้าคอตั้งบ่า “มีคนฮ้ายจะเข้ามาลักสมบัติในเขตเมืองเฮาเจ้า น้าเอื้องก็ก๋ำลังจะเข้าไปตี้หั้น หมากคำกลั๋วว่ามันจะทำร้ายน้าเอื้องเจ้า”


“หากเป๋นอย่างนั้นก็แปล๋ว่าคนเหล่านั้นมีเวรก๋รรมต่อกั๋น อย่างใดก็หนีเวรก๋รรมบ่พ้นดอก”


“น้าเอื้องเป๋นคนดี จะไดต้องมีเวรก๋รรมโตยเล่าพ่อปู่”หมากแก้วถามบ้าง
พ่อปู่อินตาวางมือลงบนศีรษะจ้อยพลางอธิบายใจอย่างใจเย็น “เวรก๋รรมเป๋นเสมือนเงาของเฮากู้คน คนเฮาเกิดมาหลายภพหลายชาติ สร้างก๋รรมสร้างเวรเอาไว้ ทั้งที่เฮาฮู้ตั๋วและบ่ฮู้ตั๋ว แต่ก๋รรมนั้นก็จะต้องโตยมาตันสักวันหนึ่ง”


“แต่น้าเอื้องทำความดีเอาไว้นัก จะไดผลบุญบ่จ้วยเล่า”หมากคำถามเสียงขึ้นจมูก


พ่อปู่อินตาจึงจูงมือเล็กๆนั้นให้เดินตามไปอย่างช้าๆ “บุญก็คือบุญ ก๋รรมก็คือก๋รรม บุญก็จักเสริมสร้างบารมีหื้อเฮาไปตางหน้า ส่วนก๋รรมนั้นเฮาก็ต้องชดใช้ บุญก๋รรมอยู่คนละส่วน บ่เกี่ยวข้องกั๋น ดังนั้นเมื่อสิ่งใดจะเกิด เฮาก็บ่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง ปล่อยหื้อมันเป๋นไปต๋ามชะต๋าชีวิตของน้าเจ้าเต๊อะ เวลานี้เจ้าสองต๋นปิ๊กคุ้มได้ละ”


“เจ้า”เสียงเล็กๆสองเสียงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ทว่าหมากแก้วและหมากคำก็ยังไม่วายมองตามร่างระหงของเอื้องลดาไปด้วยความเป็นห่วง
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 23 ก.ค. 2013 7:03 pm

เงาตะคุ่มสองเงากำลังหันรีหันขวางอยู่ข้างๆกู่โบราณคล้ายกับกำลังมองหาอะไรสักอย่าง ชั่วครู่ชายผู้มีรูปร่างสูงใหญ่จึงบ่นพึมพำ “เสี่ยจะรีบให้เรามาขุดทำไมวะไอ้ชาติ วันสงกรานต์อยู่แท้ๆแทนที่จะให้เราได้พัก”

“เสี่ยบอกว่าพ่อหมอก๋องคำมาทำพิธีข่มเทวาอารักษ์ของที่นี่แล้วก็ต้องรีบขุดก่อนที่เขาจะทำพิธีส่งเคราะห์กันในวันที่ 16 มิเช่นนั้นจักทำให้เคราะห์ร้ายต่างๆตกมาอยู่กับพวกเรา”ชายร่างสันทัดนามว่าสุชาติหันไปตอบ


“แล้วเสี่ยจะแน่ใจได้ยังไงว่าที่นี่มีสมบัติอยู่จริงๆ”ชายร่างใหญ่ยังคงสงสัย


“ข้าเคยได้ยินมาว่ากรุพระที่นี่เคยแตกถึงสองกรุ คนสมัยก่อนเขาได้พระเก่าๆแล้วก็ของเก่าไปเยอะแยะ ของบางอย่างมีค่ามากด้วย ส่วนเราถ้าได้ของดีก็อาจจะไม่ส่งให้เสี่ยทั้งหมดก็ได้นี่ เพราะสิ่งที่เสี่ยต้องการคือพระพุทธรูปทองคำนั่นอย่างเดียว อย่างอื่นก็แค่ผลพลอยได้”อาคมตอบอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง


สุชาติหัวเราะหึๆแล้วจึงชะงัก “เฮ้ย!ใครถือไฟฉายมานั่นวะ”
“หลบไปข้างหลังกู่ก่อน เร็ว ไอ้ชาติ”ว่าแล้วอาคมก็วิ่งนำไปด้วยความเร่งรีบ


แสงไฟฉายผนวกกับแสงจันทร์ส่องให้ชายกลางคนซึ่งหลบอยู่หลังกู่โบราณมองเห็นหญิงสาวร่างระหงที่เดินเคียงคู่กันมาได้อย่างชัดเจน




“ผู้หญิงนี่หว่าไอ้คม ท่าทางจะสวยด้วย ดูขาสิ ทั้งขาว ทั้งเรียว ถ้ากูได้เป็นเมียนะ กูจะไม่ลืมพระคุณเลย เสียดายที่เห็นหน้าไม่ชัด”




ทว่าอาคมกลับค้านขึ้นอย่างขลาดๆ “ผีหรือเปล่าวะไอ้ชาติ ในเมืองเก่าแบบนี้มึงอย่าไว้ใจ ไม่ใช่พอเดินเข้าไปใกล้จริงๆมันอาจจะปลิ้นตา ล้วงไส้ให้ดูก็ได้นะเว้ย”


“ผีอะไรจะแต่งตัวแบบนี้วะ ผีก็ต้องใส่ชุดไทยสิ”


อาคมซัดมือผัวะลงกลางหลังเพื่อน “ผียุคนี้ไงวะ ไอ้นี่โง่ไปได้ ผีมันก็คงทันสมัยเป็นเหมือนกันแหละ”


“แล้วถ้ามันไม่ใช้ผีล่ะวะไอ้คม”สุชาติย้อนถาม


อาคมยกมือขึ้นลูบปาก “ถ้าไม่ใช่ผีก็จัดการเลยสิวะ จะปล่อยไว้ทำซากอะไร”


สุชาติยิ้มกริ่มแล้วจึงยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากตนเองก่อนปรามเพื่อน “งั้นเงียบฟังก่อน ว่านังสองคนนั่นมันพูดอะไรกัน



------------------------------------------------------------------------------------------------------




เมื่อแสงไฟฉายกราดไปบนพื้นหญ้าด้านหน้ากู่โบราณไม่ถึงนาที เอริน่าก็อุทานขึ้นเสียงดังลั่น “เจอแล้วเอื้อง”







“ไหน อ้อ อยู่นั่นเอง”เอื้องลดามองตามนิ้วชี้ของนางแบบสาวพลางยิ้มด้วยความยินดี







เอริน่าย่อตัวลงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถือไว้ ก่อนจะลุกขึ้นบอกกลั้วหัวเราะ “ดีใจที่สุดเลย ไม่งั้นคงติดต่อกับผู้จัดงานพรุ่งนี้ไม่ได้แน่ๆ”







“ดีใจด้วยนะรีน่า ปะ รีบกลับกันเถอะ”







“จ้ะ”เอรีน่าก้าวเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย พลันสายตาของเธอก็มองเห็นแสงสว่างวาบขึ้นที่กำแพงเมืองทางทิศใต้ติดประตูทางเข้าโบราณสถาน หญิงสาวจึงอุทานขึ้น “อุ๊ย!นั่นแสงอะไรกันเอื้อง”







นางเอกสาวมองตาม “ไม่รู้เหมือนกัน เอ๊ะ! เสียงอะไร”







เสียงสวบสาบที่ดังมาจากด้านหลัง เป็นเหตุให้เอื้องลารีบหันขวับกลับไปดู แล้วจึงพบว่ามีชายสองคนกำลังพุ่งตัวเข้ามาหาพวกเธอ เอื้องลดาจึงผลักเพื่อนให้หลบพลางร้องบอก “รีน่าระวัง มีคนร้าย”







เอรีน่าร้องกรี๊ดพลันวิ่งไปข้างหน้าจนสุดฝีเท้า







ทว่าเจ้าวายร้ายไวกว่า มันวิ่งตามมาทันและกระโดดเข้าล็อกคอเธอจากทางด้านหลัง เอรีน่าร้องลั่น คว้าแขนล่ำขึ้นมากัดสุดแรงจนมันดิ้นพล่านและปล่อยแขนออกจากตัวเธอ เมื่อหลุดพ้นจากพันธนาการแล้วนางแบบสาวจึงหลับหูหลับตาวิ่นหนีไปให้เร็วที่สุด







“เก่งนักนะอีคนสวย”อาคมตะโกนลั่น ความโกรธพุ่งวาบเข้าสู่หัวใจ พร้อมกับความเจ็บแสบบริเวณแขนขวาที่ทำให้มันเร่งฝีเท้าไล่ตามร่างสะคราญอย่างมาดหมาย







แต่เมื่อพ้นโค้งทางเข้าโบราณสถานมาแล้ว ทุกอย่างพลันนิ่งสนิท ดวงตาเรียวยิบหยีของมันมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆของอีกฝ่าย จึงตะโกนขู่ “ออกมาเสียดีๆนังคนสวย ไม่งั้นเพื่อนของมึงโดนรุมโทรมแน่”







น้ำเสียงแหบๆอันดังก้องหูทำให้จิตใจของนางแบบสาวไหววูบ







เอื้องลดาตามมาเพราะความห่วงใยเธอและด้วยมิตรภาพที่หาได้ยากนักจากเพื่อนใหม่ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกันด้วยซ้ำ แล้วเธอจะปล่อยให้เพื่อนถูกทำร้ายเพียงลำพังได้อย่างไร







คิดดังนั้นร่างระหงก็ผุดลุกขึ้น แต่แล้วโทรศัพท์ในมือที่เธอกำไว้จนเหงื่อชื้นก็ทำให้หญิงสาวฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เธอจะต้องตั้งสติและหาวิธีการที่ดีที่สุด เนื่องจากการตัดสินใจในวันนี้ทำได้ครั้งเดียวและเป็นเรื่องที่เสี่ยงถึงชีวิต







เอาล่ะ เธอจะต้องออกไปช่วยเอื้องลดา แต่จะต้องแจ้งข่าวนี้กับนทีดลเสียก่อน







มือเรียวสั่นของหญิงสาวจึงยัดโทรศัพท์เอาไว้ในเสื้อเพื่อป้องกันแสงจากโทรศัพท์จะทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนหลบอยู่ที่ใด จากนั้นจึงกดส่งข้อความถึงชายหนุ่มเจ้าของรีสอร์ตด้วยใจที่มุ่งหวังและภาวนาว่าเขาจะต้องได้รับสารจากเธอทันท่วงที







เสร็จเรียบร้อยแล้วนางแบบสาวก็ลุกขึ้นยืนแล้วยัดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง







เธอชะโงกหน้าออกไปมองหาเจ้าวายร้ายจนมั่นใจว่ามันไม่อยู่แล้วจึงวิ่งกลับไปยังจุดเกิดเหตุ โดยหลบอยู่หลังกำแพงเมืองที่มีความสูงระดับเอวเพื่อดูลาดเลา







เวลานี้เอื้องลดาเองก็เงียบไป มีเพียงเจ้าสองคนนั่นเดินขวักไขว่ตามหาตัวเธออยู่







อา...เอื้องลดาขอให้เธอปลอดภัยด้วยเถอะ







แต่แล้วโชคกลับเข้าข้างพวกมันเสียนี่ เมื่ออีกราว 5 นาทีเจ้าสุชาติก็หัวเราะดังลั่น “นั่นไง น้องสาวคนสวยอยู่นั่น ไอ้คมมึงเห็นไหม สงสัยน้องเขากลัวเจ็บหลังว่ะมึง ถึงได้เลือกสถานที่เองแบบนั้น”







ว่าแล้วเสียงหัวเราะแหบพร่า หื่นกระหายของมันก็ดังขึ้นพร้อมกัน





เอื้องลดาตัวสั่นเทาอยู่พงหญ้า ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายแกล้งพูดโดยใช้จิตวิทยาหรือมองเห็นว่าเธออยู่ตรงนี้จริงๆ แต่ก็ยังพยายามรวบรวมสติให้นิ่ง คอยเป็นผู้ตั้งรับและประวิงเวลาเอาไว้ให้นานที่สุด







ตาของเธอมองตรงไปยังร่างของมันทั้งคู่ แม้จิตใจกำลังระส่ำ มือไม้เย็นเฉียบ แต่นางเอกสาวก็ตั้งใจว่าจะต่อสู้จนสุดชีวิต ไม่มีวันที่เธอจะยอมตกเป็นทาสอารมณ์ของคนจิตใจหยาบช้าคู่นี้เป็นอันขาด

--------------------------------------------------------------------------------------------------



ร่างสูงเต็มไปด้วยมัดกล้ามซึ่งบัดนี้มีหยดน้ำเกาะพราวอยู่ตามลำตัวชะงักงันหลังเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำแล้วได้ยินเสียงเตือนจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียง เขาจึงรีบก้าวลิ่วๆไปหยิบมันขึ้นมากดดู







แล้วชายหนุ่มก็ต้องพบกับความตกตะลึงหลังกวาดตามองตัวอักษรที่ปรากฏบนจอจนครบทุกตัวแล้ว







‘เรากำลังหนีคนร้ายอยู่ในโบราณสถาน ช่วยด้วย’







โดยไม่ต้องคิด นทีดลรีบดึงผ้าเช็ดตัวที่พันตัวออกแล้วสวมเสื้อผ้าวิ่งลงจากบ้านไปขึ้นรถแล้วขับอ้อมออกไปทางประตูรีสอร์ตเพื่อให้ถึงด้านหน้าโบราณสถานโดยเร็วที่สุด







ทั้งนี้เขาก็ไม่ลืมที่จะกดโทรศัพท์หานัยภาค “นัย รีบลงมายืนรอพี่ที่หน้าบ้านพัก คุณรีน่ากำลังตกอยู่ในอันตราย อย่าลืมเอาปืนมาด้วยนะ”







เมื่อปลายสายรับคำ ชายหนุ่มจึงวางโทรศัพท์ลงบนเบาะรถข้างๆแล้วเหยียบคันเร่งให้ถึงยังจุดหมายพลางภาวนาให้หญิงสาวรอดพ้นจากภยันตราย “พยายามเอาตัวรอดรอผมกับนัยนะครับคุณรีน่า”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พุธ 08 ม.ค. 2014 10:50 pm

[size=150]มีการปรับตัวละครบางตัว และรายละเอียดบางอย่างตั้งแต่บทนี้ไปนะคะ (จริงๆแก้ตั้งแต่เริ่มต้น แต่ขออนุญาตไม่โพสต์ใหม่เพราะมันเยอะมาก)[/size]

บทที่ ๑๐


แสงสีแดงเหนือขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเลื่อนลับเหลี่ยมเขาไปนานแล้ว ภายในพิงครัตน์รีสอร์ตจึงมีแสงสีนวลจากโคมไฟสนามเข้ามาแทนที่ สายลมเย็นพัดมาไหวๆ เงากิ่งไม้จึงไหวพะเยิบพะยาบตามแรงลม ครู่ใหญ่จึงมีเงาสะท้อนร่างมนุษย์ทาบทับบนทางเดินปูด้วยอิฐถึงสองเงาเคียงกัน ร่างนั้นเคลื่อนไปยังบ้านพักหลังหนึ่งซึ่งปลูกสร้างอยู่ริมฝายน้ำเล็กๆและมีไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งลดหลั่นไปตามชั้นของโขดหินอย่างสวยงามลงตัว
“ผมส่งแค่นี้นะฮะ”นัยภาคบอกหลังจากเดินตามหญิงสาวมาจนถึงที่พักของเธอ

เอรินาหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มพร้อมทั้งคลี่ยิ้มโชว์ฟันขาวเรียงเรียบ “ขอบคุณมากนะคะคุณนัยที่ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนรีนา”

เขายิ้มตอบ ใบหน้าขาวดูงคมสันดูอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด “ไม่เป็นไรครับ เอาไว้ว่างๆผมจะพาคุณรีนาไปขับรถชมวิวเมืองเชียงใหม่บ้าง”

“สัญญาแล้วนะคะ จะมาบิดพลิ้วทีหลังไม่ได้นะคุณนัย”

คนถูกรวบรัดหัวเราะชอบใจ เขาคงยินดีมาก ถ้าเธอจะรวบรัดเช่นนี้บ่อยๆ “ครับ ถ้าผิดสัญญาผมยินดีให้ปรับ สำหรับคืนนี้ฝันดีนะครับ”

“ค่ะ ขอให้คุณนัยฝันดีเหมือนกันนะคะ” เธอยกมือขวาขึ้นโบกไปมาแล้วจึงค่อยหมุนตัวเดินขึ้นบันไดเที่ยๆเข้าไปในบ้านพักซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยความสว่างไสวจากดวงไฟที่เธอเพิ่งกดเปิดสวิตซ์

ร่างบางเอนลงบนที่นอนซึ่งยังปูผ้าคลุมเตียงเอาไว้ก่อนจะกดรีโมตเปิดโทรทัศน์ดูละครช่วงเย็นซึ่งกำลังประคารมกันอย่างถึงพริกถึงขิง นางแบบสาวส่ายหน้าด้วยความเบื่อหน่าย เธอชอบละครคลาสสิกมากกว่าแนวแรงๆจึงกดรีโมตปิดเพื่อให้ภายในห้องอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง เงียบเสียจนได้ยินเสียงพูดคุยกันของคนที่เดินอยู่บนถนนด้านล่างซึ่งเธอจำได้ว่าเสียงหนึ่งนั้นเป็นเสียงของนทีดล

ความอยากรู้ทำให้นางแบบสาวลุกขึ้นจากที่นอน แง้มหน้าต่างไม้ออกดูจึงพบว่านทีดลและนาถนรีกำลังเดินไปส่งเอื้องลดาที่บ้านพักซึ่งอยู่ถัดจากบ้านพักของเธอไปอีกสามหลัง

ด้วยความห่วงเพื่อนเอรินาจึงล้วงหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงเพื่อโทร.ไปเล่าให้เมรินฟัง ทว่าทุกอย่างกลับว่างเปล่า เธอจึงหันรีหันขวางเดินไปดูยังจุดที่คิดว่าน่าจะวางโทรศัพท์มือถือราคาแพงของตนเอาไว้ สำหรับนางแบบสาวแล้วโทรศัพท์เป็นสิ่งที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต ใช้เล่นอินเทอร์เน็ต เล่มเกมเครียดคลาย เป็นที่เซฟข้อมูลนัดหมาย และที่สำคัญเป็นสื่อกลางสำหรับติดต่องาน

แล้วเธอจะลืมทิ้งไว้ได้อย่างไร ในเมื่อตอนที่ไปเดินเล่นเธอยังถือมันติดมือไปด้วยเลยนี่นา

ฉุกคิดมาถึงจุดนี้คิ้วเรียวได้รูปก็ขมวดมุ่น ‘ตายแล้ว เธอลืมโทรศัพท์เอาไว้บนพื้นตอนที่จุดธูปไหว้กู่เก่าในโบราณสถาน หากปล่อยทิ้งแล้วไว้เกิดฝนตกเล่า หรือถ้าพรุ่งนี้เช้ามีใครมาพบมันก่อนเธอเล่า จะทำอย่างไรดี’

คิดดังนั้นนางแบบสาวจึงตัดสินใจหยิบไฟฉายออกจากกระเป๋าเดินทาง ใจอยากจะขอร้องให้มาริสาหรือเมรินไปเป็นเพื่อนอยู่หรอก แต่สองคนนั้นออกไปเดินห้างตั้งแต่หัวค่ำแล้วป่านนี้ก็ยังไม่กลับมา ‘เฮ้อ!อย่าไปกลัวความมืดเลยเอรินา เธอก็แค่รีบเดินจ้ำๆไปที่โบราณสถานแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือกลับมาเท่านั้นเอง’

เมื่อไม่มีวิธีอื่นใดที่ดีกว่านั้น สาวลูกครึ่งจึงเปิดประตูห้องพักเดินลิ่วๆลงไปด้านล่าง ก้าวไปตามทางเดินซึ่งเวลานี้มองเห็นเป็นสีเหลืองอมส้มตามสีของแสงจากโคมไฟสนาม

“นั่นคุณรีนาหรือเปล่า” เสียงร้องถามดังขึ้นขณะที่เธอเดินมาถึงบ้านพักหลังหนึ่ง

เอรินาหันขวับไปตามเสียงเรียกและพบว่าผู้ที่นั่งอยู่บนระเบียงบ้านพักคือเอื้องลดา

“จะไปไหนมืดค่ำคะ”เอื้องลดาลุกจากเก้าอี้เดินมาเกาะราวระเบียงพร้อมทั้งชะโงกหน้าถาม

ด้วยความที่ไม่ใช่คนเจ้าทิฐิสาวลูกครึ่งจึงตอบไปตามจริง “รีนาลืมโทรศัพท์ไว้ที่กู่เก่าน่ะ ว่าจะกลับไปเอา”

เอื้องลดาอ้าปากค้าง เป็นครู่จึงแสดงความเห็น “แต่มันมืดค่ำแล้วนะ ถึงคืนนี้จะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงก็เถอะ ยังไงการเดินในที่มืดๆแบบนั้นก็ยังน่ากลัวอยู่ดี”

อีกฝ่ายยักไหล่ “ทำไงได้ล่ะ รีนาต้องใช้มันติดต่องาน แล้วพรุ่งนี้ก็มีเดินแบบด้วย ถ้าไม่รีบกลับไปเอาก็คงติดต่องานลำบาก รีนาไม่อยากเสียชื่อเพราะผิดคำพูด มันดูไม่ดี”

คนฟังพยักหน้าแล้วจึงเสนอตัว “งั้นเดี๋ยวเอื้องไปเป็นเพื่อนเอง”

เอรินาขมวดคิ้ว ย้อนถาม “จริงเหรอ”

เอื้องลดาหัวเราะ “จริงสิ จะปล่อยให้คุณไปคนเดียวได้ยังไง ยังไงเราก็เพื่อนร่วมวงการเดียวกัน”

ว่าแล้วดาราสาวก็ก้าวลงบันไดมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งยังแปลกใจไม่หายที่ได้เห็นน้ำใจของคนที่ไม่เคยสนิทสนมกันมาก่อนดังเช่นเธอผู้นี้ ผู้ที่กำลังเดินมาหยุดอยู่ข้างกาย

“ไปสิ จะได้รีบไปรีบกลับ เอ หรือจะโทร.ไปขอให้คุณดลส่งคนไปเป็นเพื่อนเราดีล่ะ”เอื้องลดาแนะ

“อย่าเลย รีนาเกรงใจเขา เมื่อครู่คุณนัยก็เพิ่งมาส่งรีนาที่นี่ จริงๆคุณเอื้องไม่ต้องไปด้วยก็ได้นะ รีนาไปคนเดียวได้”

ทว่าเอื้องลดากลับสั่นหน้า “ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ”

หญิงสาวทั้งสองเดินมาจนถึงประตูเล็กซึ่งล็อกกลอนเอาไว้จากด้านใน เอื้องลดาจึงเป็นผู้เปิดมันแล้วก้าวออกไปก่อน

ประตูปิดลง จึงเป็นการบดบังรัศมีของแสงไฟนีออนตามไปด้วย โชคดีที่คืนนี้แสงจันทร์กระจ่างฟ้า การเดินไปตามทางอันมืดสลัวจึงไม่ลำบากมากนัก ทว่าสองสาวก็พยายามก้าวเร็วๆด้วยความระมัดระวัง

“ริมแม่น้ำแบบนี้อากาศเย็นสบายดีจังนะ”เอรินาชวนคุย

“ใช่จ้ะ บรรยากาศกลางคืนนี่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ ไม่ว่าเป็นประสาทหู ตา จมูก ต่างก็ได้รับสัมผัสเท่าเทียมกัน หูได้ยินเสียงน้ำไหล เสียงนกและแมลงกลางคืน ตามองเห็นภาพใต้แสงจันทร์สีเงิน จมูกได้กลิ่นดอกเอื้องคำหอมกรุ่นลอยมาตามลม”เอื้องลดาต่ออย่างเคลิ้มๆ

นางแบบสาวพยักหน้า “แต่ความมืดก็น่ากลัวนะคุณเอื้อง”

“น่ากลัวและน่าค้นหาไปพร้อมๆกันแหละ”เอื้องลดาตอบตามทัศนคติ ปล่อยสายตาทอดมองไปยังทางโค้งเบื้องหน้าซึ่งมีกอไผ่กอใหญ่เป็นสัญลักษณ์ แล้วความร้อนผ่าวบริเวณโคนนิ้วก้อยก็เกิดขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวก้มหน้าลงมองแหวนในมือซึ่งบัดนี้เปล่งประกายวูบวาบสว่างไสว เธอจึงรีบซุกมือลงในกระเป๋ากางเกงเนื่องจากเกรงว่าเอรินาจะถามในสิ่งที่เธอเองก็ตอบไม่ได้
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พุธ 08 ม.ค. 2014 10:52 pm

มีการปรับตัวละครบางตัว และรายละเอียดบางอย่างตั้งแต่บทนี้ไปนะคะ (จริงๆแก้ตั้งแต่เริ่มต้น แต่ขออนุญาตไม่โพสต์ใหม่เพราะมันเยอะมาก)

บทที่ ๑๐


แสงสีแดงเหนือขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเลื่อนลับเหลี่ยมเขาไปนานแล้ว ภายในพิงครัตน์รีสอร์ตจึงมีแสงสีนวลจากโคมไฟสนามเข้ามาแทนที่ สายลมเย็นพัดมาไหวๆ เงากิ่งไม้จึงไหวพะเยิบพะยาบตามแรงลม ครู่ใหญ่จึงมีเงาสะท้อนร่างมนุษย์ทาบทับบนทางเดินปูด้วยอิฐถึงสองเงาเคียงกัน ร่างนั้นเคลื่อนไปยังบ้านพักหลังหนึ่งซึ่งปลูกสร้างอยู่ริมฝายน้ำเล็กๆและมีไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งลดหลั่นไปตามชั้นของโขดหินอย่างสวยงามลงตัว
“ผมส่งแค่นี้นะฮะ”นัยภาคบอกหลังจากเดินตามหญิงสาวมาจนถึงที่พักของเธอ

เอรินาหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มพร้อมทั้งคลี่ยิ้มโชว์ฟันขาวเรียงเรียบ “ขอบคุณมากนะคะคุณนัยที่ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนรีนา”

เขายิ้มตอบ ใบหน้าขาวดูงคมสันดูอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด “ไม่เป็นไรครับ เอาไว้ว่างๆผมจะพาคุณรีนาไปขับรถชมวิวเมืองเชียงใหม่บ้าง”

“สัญญาแล้วนะคะ จะมาบิดพลิ้วทีหลังไม่ได้นะคุณนัย”

คนถูกรวบรัดหัวเราะชอบใจ เขาคงยินดีมาก ถ้าเธอจะรวบรัดเช่นนี้บ่อยๆ “ครับ ถ้าผิดสัญญาผมยินดีให้ปรับ สำหรับคืนนี้ฝันดีนะครับ”

“ค่ะ ขอให้คุณนัยฝันดีเหมือนกันนะคะ” เธอยกมือขวาขึ้นโบกไปมาแล้วจึงค่อยหมุนตัวเดินขึ้นบันไดเที่ยๆเข้าไปในบ้านพักซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยความสว่างไสวจากดวงไฟที่เธอเพิ่งกดเปิดสวิตซ์

ร่างบางเอนลงบนที่นอนซึ่งยังปูผ้าคลุมเตียงเอาไว้ก่อนจะกดรีโมตเปิดโทรทัศน์ดูละครช่วงเย็นซึ่งกำลังประคารมกันอย่างถึงพริกถึงขิง นางแบบสาวส่ายหน้าด้วยความเบื่อหน่าย เธอชอบละครคลาสสิกมากกว่าแนวแรงๆจึงกดรีโมตปิดเพื่อให้ภายในห้องอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง เงียบเสียจนได้ยินเสียงพูดคุยกันของคนที่เดินอยู่บนถนนด้านล่างซึ่งเธอจำได้ว่าเสียงหนึ่งนั้นเป็นเสียงของนทีดล

ความอยากรู้ทำให้นางแบบสาวลุกขึ้นจากที่นอน แง้มหน้าต่างไม้ออกดูจึงพบว่านทีดลและนาถนรีกำลังเดินไปส่งเอื้องลดาที่บ้านพักซึ่งอยู่ถัดจากบ้านพักของเธอไปอีกสามหลัง

ด้วยความห่วงเพื่อนเอรินาจึงล้วงหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงเพื่อโทร.ไปเล่าให้เมรินฟัง ทว่าทุกอย่างกลับว่างเปล่า เธอจึงหันรีหันขวางเดินไปดูยังจุดที่คิดว่าน่าจะวางโทรศัพท์มือถือราคาแพงของตนเอาไว้ สำหรับนางแบบสาวแล้วโทรศัพท์เป็นสิ่งที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต ใช้เล่นอินเทอร์เน็ต เล่มเกมเครียดคลาย เป็นที่เซฟข้อมูลนัดหมาย และที่สำคัญเป็นสื่อกลางสำหรับติดต่องาน

แล้วเธอจะลืมทิ้งไว้ได้อย่างไร ในเมื่อตอนที่ไปเดินเล่นเธอยังถือมันติดมือไปด้วยเลยนี่นา

ฉุกคิดมาถึงจุดนี้คิ้วเรียวได้รูปก็ขมวดมุ่น ‘ตายแล้ว เธอลืมโทรศัพท์เอาไว้บนพื้นตอนที่จุดธูปไหว้กู่เก่าในโบราณสถาน หากปล่อยทิ้งแล้วไว้เกิดฝนตกเล่า หรือถ้าพรุ่งนี้เช้ามีใครมาพบมันก่อนเธอเล่า จะทำอย่างไรดี’

คิดดังนั้นนางแบบสาวจึงตัดสินใจหยิบไฟฉายออกจากกระเป๋าเดินทาง ใจอยากจะขอร้องให้มาริสาหรือเมรินไปเป็นเพื่อนอยู่หรอก แต่สองคนนั้นออกไปเดินห้างตั้งแต่หัวค่ำแล้วป่านนี้ก็ยังไม่กลับมา ‘เฮ้อ!อย่าไปกลัวความมืดเลยเอรินา เธอก็แค่รีบเดินจ้ำๆไปที่โบราณสถานแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือกลับมาเท่านั้นเอง’

เมื่อไม่มีวิธีอื่นใดที่ดีกว่านั้น สาวลูกครึ่งจึงเปิดประตูห้องพักเดินลิ่วๆลงไปด้านล่าง ก้าวไปตามทางเดินซึ่งเวลานี้มองเห็นเป็นสีเหลืองอมส้มตามสีของแสงจากโคมไฟสนาม

“นั่นคุณรีนาหรือเปล่า” เสียงร้องถามดังขึ้นขณะที่เธอเดินมาถึงบ้านพักหลังหนึ่ง

เอรินาหันขวับไปตามเสียงเรียกและพบว่าผู้ที่นั่งอยู่บนระเบียงบ้านพักคือเอื้องลดา

“จะไปไหนมืดค่ำคะ”เอื้องลดาลุกจากเก้าอี้เดินมาเกาะราวระเบียงพร้อมทั้งชะโงกหน้าถาม

ด้วยความที่ไม่ใช่คนเจ้าทิฐิสาวลูกครึ่งจึงตอบไปตามจริง “รีนาลืมโทรศัพท์ไว้ที่กู่เก่าน่ะ ว่าจะกลับไปเอา”

เอื้องลดาอ้าปากค้าง เป็นครู่จึงแสดงความเห็น “แต่มันมืดค่ำแล้วนะ ถึงคืนนี้จะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงก็เถอะ ยังไงการเดินในที่มืดๆแบบนั้นก็ยังน่ากลัวอยู่ดี”

อีกฝ่ายยักไหล่ “ทำไงได้ล่ะ รีนาต้องใช้มันติดต่องาน แล้วพรุ่งนี้ก็มีเดินแบบด้วย ถ้าไม่รีบกลับไปเอาก็คงติดต่องานลำบาก รีนาไม่อยากเสียชื่อเพราะผิดคำพูด มันดูไม่ดี”

คนฟังพยักหน้าแล้วจึงเสนอตัว “งั้นเดี๋ยวเอื้องไปเป็นเพื่อนเอง”

เอรินาขมวดคิ้ว ย้อนถาม “จริงเหรอ”

เอื้องลดาหัวเราะ “จริงสิ จะปล่อยให้คุณไปคนเดียวได้ยังไง ยังไงเราก็เพื่อนร่วมวงการเดียวกัน”

ว่าแล้วดาราสาวก็ก้าวลงบันไดมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งยังแปลกใจไม่หายที่ได้เห็นน้ำใจของคนที่ไม่เคยสนิทสนมกันมาก่อนดังเช่นเธอผู้นี้ ผู้ที่กำลังเดินมาหยุดอยู่ข้างกาย

“ไปสิ จะได้รีบไปรีบกลับ เอ หรือจะโทร.ไปขอให้คุณดลส่งคนไปเป็นเพื่อนเราดีล่ะ”เอื้องลดาแนะ

“อย่าเลย รีนาเกรงใจเขา เมื่อครู่คุณนัยก็เพิ่งมาส่งรีนาที่นี่ จริงๆคุณเอื้องไม่ต้องไปด้วยก็ได้นะ รีนาไปคนเดียวได้”

ทว่าเอื้องลดากลับสั่นหน้า “ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ”

หญิงสาวทั้งสองเดินมาจนถึงประตูเล็กซึ่งล็อกกลอนเอาไว้จากด้านใน เอื้องลดาจึงเป็นผู้เปิดมันแล้วก้าวออกไปก่อน

ประตูปิดลง จึงเป็นการบดบังรัศมีของแสงไฟนีออนตามไปด้วย โชคดีที่คืนนี้แสงจันทร์กระจ่างฟ้า การเดินไปตามทางอันมืดสลัวจึงไม่ลำบากมากนัก ทว่าสองสาวก็พยายามก้าวเร็วๆด้วยความระมัดระวัง

“ริมแม่น้ำแบบนี้อากาศเย็นสบายดีจังนะ”เอรินาชวนคุย

“ใช่จ้ะ บรรยากาศกลางคืนนี่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ ไม่ว่าเป็นประสาทหู ตา จมูก ต่างก็ได้รับสัมผัสเท่าเทียมกัน หูได้ยินเสียงน้ำไหล เสียงนกและแมลงกลางคืน ตามองเห็นภาพใต้แสงจันทร์สีเงิน จมูกได้กลิ่นดอกเอื้องคำหอมกรุ่นลอยมาตามลม”เอื้องลดาต่ออย่างเคลิ้มๆ

นางแบบสาวพยักหน้า “แต่ความมืดก็น่ากลัวนะคุณเอื้อง”

“น่ากลัวและน่าค้นหาไปพร้อมๆกันแหละ”เอื้องลดาตอบตามทัศนคติ ปล่อยสายตาทอดมองไปยังทางโค้งเบื้องหน้าซึ่งมีกอไผ่กอใหญ่เป็นสัญลักษณ์ แล้วความร้อนผ่าวบริเวณโคนนิ้วก้อยก็เกิดขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวก้มหน้าลงมองแหวนในมือซึ่งบัดนี้เปล่งประกายวูบวาบสว่างไสว เธอจึงรีบซุกมือลงในกระเป๋ากางเกงเนื่องจากเกรงว่าเอรินาจะถามในสิ่งที่เธอเองก็ตอบไม่ได้
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พุธ 08 ม.ค. 2014 10:53 pm

“อ้ายหมากแก้วรีบไปห้ามน้าเอื้องบ่ให้เข้าเขตเมือง”เสียงเล็กๆของหมากคำรัวเร็ว เครือสั่นด้วยความห่วงใยผู้เป็นน้าในอดีตชาติของตน

“หากว่าเฮาไปปรากฏตัวต่อหน้าน้าเอื้องยามนี้ น้าเอื้องก็อาจจะตกใจและที่สำคัญแม่ญิงที่มาโตยก็คงหวาดผวาเป็นแน่”หมากแก้วค้าน

หมากคำเดินจ้ำอ้าวไปยืนด้านหน้าพี่ชายแล้วยกแขนขึ้นกอดอกพร้อมทั้งทำหน้าตาเคร่งเครียด “แล้วจักทำอย่างไร น้องกลัวน้าเอื้องจักเป็นอันตรายจากคนร้ายที่มาด้อมๆมองๆอยู่”

หมากแก้วเกาหัวแกรก “หรือว่าเฮาจักไปขัดขวางโดยที่บ่ให้ไผเห็นตัว”

“น้องว่าเฮาไปจัดการหลอกคนร้ายสองคนนั้นให้หนีไปดีกว่าเจ้า”หมากคำวางแผน

ผู้เป็นพี่ชายพยักหน้าพลางคว้าข้อมือเล็กๆของน้องสาวทันใด“อย่างนั้นก็ไปจัดการได้ละ”

“หยุดเลย หมากแก้ว หมากคำ”เสียงของพ่อปู่ดังขึ้น สองพี่น้องจึงชะงัก

หมากคำทำหน้าละห้อยเดินเข้าไปหาผู้เป็นปู่และแหงนหน้าคอตั้งบ่า “มีคนร้ายจักเข้ามาลักสมบัติในเขตเมืองเฮาเจ้า น้าเอื้องก็กำลังมา หมากคำกลัวว่ามันจักทำร้ายน้าเอื้องเจ้า”

“หากเป็นอย่างนั้นก็แปลว่าคนเหล่านั้นมีเวรกรรมต่อกัน อย่างใดก็หนีเวรกรรมบ่พ้นดอก”

“น้าเอื้องเป็นคนดี จะใดต้องมีเวรกรรมโตยเล่าพ่อปู่”หมากแก้วถามบ้าง

พ่อปู่อินถาวางมือลงบนศีรษะจ้อยพลางอธิบายใจอย่างใจเย็น “เวรกรรมเป็นเสมือนเงาของเฮาทุกคน คนเฮาเกิดมาหลายภพหลายชาติ สร้างกรรมสร้างเวรเอาไว้ ทั้งที่เฮารู้ตัวและบ่รู้ตัว แต่กรรมนั้นก็จะต้องโตยมาทันสักวันหนึ่ง”

“แต่น้าเอื้องทำความดีเอาไว้นัก จะใดผลบุญบ่ช่วยเล่า”หมากคำถามเสียงขึ้นจมูก

พ่อปู่อินถาจึงจูงมือเล็กๆนั้นให้เดินตามไปอย่างช้าๆ “บุญก็คือบุญ กรรมก็คือกรรม บุญก็จักเสริมสร้างบารมีให้เฮาไปตางหน้า ส่วนกรรมนั้นเฮาก็ต้องชดใช้ บุญกรรมอยู่คนละส่วน บ่เกี่ยวข้องกัน ดังนั้นเมื่อสิ่งใดจะเกิด เฮาก็บ่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง ปล่อยให้มันเป็นไปตามชะตาชีวิตของน้าเจ้าเต๊อะ เวลานี้เจ้าสองตนปิ๊กคุ้มได้ละ”

“เจ้า”เสียงเล็กๆสองเสียงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ทว่าหมากแก้วและหมากคำก็ยังไม่วายมองตามร่างระหงของเอื้องลดาไปด้วยความเป็นห่วง


เงาตะคุ่มสองเงากำลังหันรีหันขวางอยู่ข้างๆกู่โบราณคล้ายกับกำลังมองหาอะไรสักอย่าง ชั่วครู่ชายผู้มีรูปร่างท้วมเตี้ยจึงบ่นพึมพำ “เสี่ยจะรีบให้เรามาดูทำไมวะไอ้ชาติ วันสงกรานต์อยู่แท้ๆแทนที่จะให้เราได้พัก”

“เสี่ยบอกว่าพ่อหมอก๋องคำมาทำพิธีข่มเทวาอารักษ์ของที่นี่แล้วก็ต้องรีบขุดก่อนที่เขาจะทำพิธีส่งเคราะห์กันในวันที่ 16 มิเช่นนั้นจักทำให้เคราะห์ร้ายต่างๆตกมาอยู่กับพวกเรา”ชายร่างผอมเกร็งนามว่าสุชาติหันไปตอบ

“แล้วเสี่ยจะแน่ใจได้ยังไงว่าที่นี่มีสมบัติอยู่จริงๆ”ชายร่างใหญ่ยังคงสงสัย

“ข้าเคยได้ยินมาว่ากรุพระที่นี่เคยแตกถึงสองกรุ คนสมัยก่อนเขาได้พระเก่าๆแล้วก็ของเก่าไปเยอะแยะ ของบางอย่างมีค่ามากด้วย ส่วนเราถ้าได้ของดีก็อาจจะไม่ส่งให้เสี่ยทั้งหมดก็ได้นี่ เพราะสิ่งที่เสี่ยต้องการคือพระพุทธรูปทองคำนั่นอย่างเดียว อย่างอื่นก็แค่ผลพลอยได้”อาคมตอบอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
สุชาติหัวเราะหึๆแล้วจึงชะงัก “เฮ้ย!ใครถือไฟฉายมานั่นวะ”

“หลบไปข้างหลังกู่ก่อน เร็ว ไอ้ชาติ”ว่าแล้วอาคมก็วิ่งนำไปด้วยความเร่งรีบ

แสงไฟฉายผนวกกับแสงจันทร์ส่องให้ชายกลางคนซึ่งหลบอยู่หลังกู่โบราณมองเห็นหญิงสาวสองคนเดินเคียงคู่กันมาได้อย่างชัดเจน

“ผู้หญิงนี่หว่าไอ้คม ท่าทางจะสวยด้วย ดูหุ่นสิ เชียะเชียว ถ้ากูได้เป็นเมียนะ จะไม่ลืมพระคุณเลย เสียดายที่เห็นหน้าไม่ชัด”

อาคมฟังแล้วทำหน้าเคร่ง ค้านขึ้นอย่างขลาดๆ “ผีหรือเปล่าวะไอ้ชาติ ในเมืองเก่าแบบนี้มึงอย่าไว้ใจ ไม่ใช่พอเดินเข้าไปใกล้จริงๆมันอาจจะปลิ้นตา ล้วงไส้ให้ดูก็ได้นะเว้ย”

“ผีอะไรจะแต่งตัวแบบนี้วะ ผีก็ต้องใส่ชุดไทยสิ”

อาคมซัดมือผัวะลงกลางหลังเพื่อน “ผียุคนี้ไงวะ ไอ้นี่โง่ไปได้ ผีมันก็คงทันสมัยเป็นเหมือนกันแหละ”

“แล้วถ้ามันไม่ใช้ผีล่ะวะไอ้คม”สุชาติย้อนถาม

อาคมยกมือขึ้นลูบปาก “ถ้าไม่ใช่ผีก็จัดการเลยสิวะ จะปล่อยไว้ทำซากอะไร”

สุชาติยิ้มกริ่มแล้วจึงยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากตนเองก่อนปรามเพื่อน “งั้นเงียบฟังก่อน ว่านังสองคนนั่นมันพูดอะไรกัน ถ้าเกิดมันมีผู้ชายตามมาเราจะซวยเอา”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง นวนิยาย

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน

cron