นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

นวนิยาย เรื่องยาว ต่างๆ

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » อาทิตย์ 16 ก.พ. 2014 5:43 pm

เจ้าศรีหิรัญก้าวลงจากเรือนเพื่อตามหาทหารคนสนิทเนื่องจากอีกฝ่ายบอกว่าจะลงไปดูแลม้าแต่กลับหายไปนานเหลือเกิน เมื่อพระองค์จะสรงน้ำจึงต้องออกตามหาเนื่องจากสัมภาระอยู่บนหลังม้าทั้งหมด

“สิงห์คำ”องค์อุปราชแห่งอนันตกาลดำเนินไปพลางตรัสเรียกไปพลางด้วยเสียงอันดังก้องป่า หากทหารคู่ใจก็ยังคงเงียบ ไม่มีเสียงขานรับ

เจ้าศรีหิรัญจึงลัดเลาะไปตามลำห้วยด้วยหวังว่าสิงห์คำจะจูงม้าไปกินน้ำที่นั่น
เสียงน้ำดังสาดซ่าเป็นเหตุให้อุปราชหนุ่มหวนรำลึกถึงเมื่อครั้งยังเยาว์วัยที่เคยมาอาบน้ำยังลำห้วยแห่งนี้เป็นประจำทุกวัน

จริงสินะ เดินไปอีกหน่อยจะเจอน้ำตกเล็กๆอันมีแอ่งน้ำสีฟ้าครามอยู่ด้านล่างชะง่อนผาสูง แอ่งน้ำแห่งนั้นเป็นสถานที่โปรดของแม่ครูศรีไพรเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ คิดแล้วก็ชวนให้อาลัยแม่ครูผู้จากไป นางเป็นหญิงที่ปราดเปรียวทว่าใจดี คอยใส่ใจศิษย์ทุกคนเสมอ คงเพราะนางไม่มีลูกกระมังจึงมีใจรักและเอ็นดูลูกศิษย์วัยละอ่อนเป็นพิเศษ

บาทแกร่งเหยียบย่างไปบนผืนหญ้าเขียวชอุ่มพลางทอดพระเนตรมองดอกบัวดินสีชมพูที่ขึ้นอยู่กลางดงไมยราพริมห้วย ใกล้ๆกันนั้นมีดอกเอื้องดินสีม่วงออกดอกดารดาษอยู่ทั่วไป ดุจเดียวกับดอกฝ้ายคำกลีบสลับซับซ้อนซึ่งร่วงหล่นจากต้นลงสู่พื้นดินจนเหลืองอร่ามไปทั่วทั้งบริเวณ

สายน้ำใสไหลรี่ นานทีจะเห็นลูกมะเดื่อสีแดงสดล่องลอยมาตามลำน้ำ เจ้าศรีหิรัญจำได้ว่าครั้งยังเยาว์เคยเก็บลูกมะเดื่อข้างน้ำตกมาเล่นกับสิงห์คำ จนถึงวันนี้ไม้มะเดื่อต้นนั้นก็ยังอยู่ แล้วมะม่วงป่ารสหวานอมเปรี้ยวซึ่งขึ้นอยู่ข้างๆกันนั่นเล่า จะยังอยู่ไหมหนอ

คิดพลางรอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนเรียวโอษฐ์สีสด พร้อมกับที่โสตได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วมาแต่ไกล

เจ้าอุปราชศรีหิรัญหมุนองค์เหลียวซ้ายแลขวาหาต้นตอของเสียง เอ...จะเป็นสาวชาวป่าหรือผีไพรแกล้งยั่วกันนะ

แล้วสายพระเนตรคมกล้าก็หันไปปะร่างระหงที่กำลังแหวกว่ายน้ำเล่นอยู่กลางน้ำตกใส นางหนึ่งนั้นทรงจำได้ดีว่าคือเครือออน ส่วนอีกนางที่เห็นเพียงแผ่นหลังขาวผ่องนี่สิ นางคือใครกัน

หรือว่า...

เฮ้อ!ตัดความสงสัยไปเถิด ไม่ดีหรอก ทรงเป็นถึงขัตติยชาติจะมาสนใจใคร่รู้โดยไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้ไม่ได้ ใจหนึ่งคิด และทำให้ต้องหมุนองค์บ่ายหน้าไปสู่ทิศทางที่เพิ่งเดินจากมาอีกครั้ง

“เอื้องฟ้า ระวังงู!”

“กรี๊ด!” เสียงของหญิงสาวที่ชื่อเอื้องฟ้ากรีดร้องลั่นด้วยความอกสั่นขวัญหาย

เจ้าศรีหิรัญลืมพระองค์รีบหันหลังกลับพลางกระโจนพรวดลงสู่ลำน้ำด้วยความห่วงใยเพื่อนมนุษย์

เอาน่า ชีวิตคนสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด

ความเย็นของลำห้วยแทรกซึมเข้ามาในความรู้สึกขณะเจ้าอุปราชแห่งอนันตกาลแหวกว่ายเข้าไปหาหญิงสาวซึ่งกำลังหันหลังเกาะโขดหินอยู่ริมห้วย ชั่วเสี้ยววินาทีจึงเห็นงูเขียวตัวเล็กยาวถูกกระแสน้ำพัดผ่านคนทั้งคู่ไกลออกไป

“ว้าย นี่ท่านลงมาได้จะใด”เสียงเครือออนโวยวายดังแทรกเสียงน้ำขึ้นหลังจากที่หายตกใจแล้ว

เจ้าศรีหิรัญมิทรงตอบ แต่กลับใช้หัตถ์ใหญ่ลูบพักตร์คมสันของตนเลยขึ้นไปจนถึงเส้นเกศาที่เปียกลู่พระเศียรได้รูป ส่วนสายพระเนตรหรือก็จับจ้องร่างงามที่เห็นเพียงแผ่นหลังอยู่ในเวลานี้

เอื้องฟ้าหันขวับ ยังทันได้เห็นประกายคมกล้าบนดวงเนตรคมคู่นั้น ริมฝีปากบางสีระเรื่อของเธอเผยอออกด้วยอาการตกใจเล็กน้อย แต่กลับไม่มีเสียงใดหลุดลอดออกมาเลย ดุจเดียวกับอุปราชหนุ่มที่ถึงกับตกตะลึง ยามที่เห็นดวงหน้างามซึ่งมีหยดน้ำพราวพร่าง ฤทัยภายใต้ความฉกรรจ์สั่นไหวประหนึ่งใครมาโยกคลอนเขาพระสุเมรุอันยิ่งใหญ่ หากพระองค์ก็ทรงระงับมันลงได้อย่างรวดเร็ว

แล้วจู่ๆเอื้องฟ้าก็รีบหันหน้าสีระเรื่อของตนไปทางเครือออนพลางบอกเสียงต่ำ “ปิ๊กเรือนกันได้แล้วเครือออน”

หลังจากนั้นสองสาวจึงรีบกระวีกระวาดขึ้นจากน้ำไปโดยไม่รอ ทิ้งให้เจ้าศรีหิรัญมองตามร่างอรชรซึ่งนุ่งผ้าถุงฉ่ำน้ำไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย

เห็นสาวชาววังหน้าตาหมดจดมาก็มากมาย เหตุใดหัวใจจึงร้อนวูบวาบกระตุกไหวขึ้นมาได้ยามเห็นสาวชาวป่าที่มิได้ประทินสิ่งใดให้เย้ายวน

หรือจะเป็นเพราะเนื้อแท้ของความงามแห่งวัยสาวจึงทำให้เกิดความกระสันซ่านใจได้ถึงเพียงนี้ คิดพลางอุปราชหนุ่มก็ว่ายน้ำขึ้นสู่ฝั่งด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เอื้องฟ้า...นามนี้ค่อยๆฝังรากลึกในหทัยอย่างยากจะรื้อถอน
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » อาทิตย์ 16 ก.พ. 2014 5:46 pm

นวนิยายตราบสิ้นอสงไขย บทที่ ๑๕ ม่านรักแห่งรัตติกาล


1625670_533111920119416_1051814280_n.jpg
1625670_533111920119416_1051814280_n.jpg (124.64 KiB) เปิดดู 8474 ครั้ง




แสงแห่งความหม่นมัวฉาบฉายทั่วทุกอณูผืนแผ่นดิน ย่ำค่ำแล้ว คนในสำนักดาบของพ่อครูอินถาต่างก็แยกย้ายกันไปทำภารกิจส่วนตัว ยกเว้นแม่ญ่าแม่ญิงทั้งหลายที่ต้องตระเตรียมกับข้าวกับปลารองรับคนในเรือนและลูกศิษย์อีกร่วมสามสิบคนซึ่งอาศัยอยู่ในอาณาเขตของรั้วไม้ไผ่ขัดแตะหรือที่เรียกกันว่ารั้วตาแสงอันเป็นเครื่องกั้นเขตแดนระหว่างสำนักดาบและครอบครัวใหญ่ของพ่อครูอินถา ซึ่งประกอบด้วยเรือนหลังใหญ่และเรือนของเหล่าเครือญาติซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรือนของครอบครัวเครือออนที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้เขียวชอุ่มหนาตา

เสียงนกร้องเซ็งแซ่เหนือต้นชมพู่สงบลงเมื่อมีเสียงหมาเห่าขรมดังขึ้นมาแทนที่ พ่อครูอินถาซึ่งนั่งอยู่กับเจ้าศรีหิรัญชะโงกหน้ามองไปยังตีนบันได เห็นสิงห์คำกำลังหยิบกะลามะพร้าวตักน้ำจากตุ่มใบใหญ่ขึ้นมาล้างเท้าก่อนเดินดุ่มๆขึ้นบันไดมาด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ

“เจ้าไปไหนมาสิงห์คำ เฮาโตยหาก็บ่พบ”เจ้าศรีหิรัญเป็นผู้ถามหลังจากทหารคนสนิทนั่งลงบนพื้นเรือนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ม้ามันกินหญ้าแล้วเตลิดเข้าป่าไป ข้าเจ้าเลยถือโอกาสสำรวจป่าสักหน่อย หลังจากบ่ได้มาเสียเมิน”(เมิน:นาน) สิงห์คำตอบด้วยอาการปกติ เขาดำรงตำแหน่งทหารเอกคู่ใจของเจ้าศรีหิรัญมานานเสมือนเป็นพระสหายคนหนึ่งที่ทรงไว้วางพระทัยมากกว่าข้าราชการคนใดในเวียงแก้ว

สายพระเนตรคู่คมของผู้ฟังมีแววใคร่รู้เด่นชัด “สำรวจแล้วเป็นจะใดพ่องล่ะ”

“ผืนป่าแถบนี้ยังอุดมสมบูรณ์ดี ส่วนถ้ำที่อยู่เหนือน้ำตกขึ้นไปก็ยังงดงามเหมือนเมื่อครั้งที่ข้าเจ้าเคยโตยพระองค์ไปแอ่วมาแต่ก่อน”

“แต่เดี๋ยวนี้ในป่าบ่ได้ปลอดภัยเหมือนเก่า” พ่อครูอินถาเตือนเสียงเข้ม “ในระยะหลังมีโจรออกมาปล้นคนบ่อยนัก จักเดินทางไปไหนก็ต้องระวัง”

“เฮามีวิชาติดตัวจักกลัวสิ่งใดเล่าพ่อครู”สิงห์คำแย้งด้วยความมั่นใจในเชิงดาบของตน

พ่อครูจับจ้องศิษย์ของตนนิ่ง พลางถาม “เคยได้ยินคำโบราณก่อสิงห์คำ ที่เพิ่นว่า หมาหลวงบ่ก๊านหมาหลาย ถ้ามันมากันนักเฮาจักเสียเปรียบ”

หากเจ้าศรีหิรัญกลับฟังแล้วแย้มสรวล “อู้มาถึงตรงนี้ เฮาก็นึกขึ้นมาได้ ว่าบ่ได้มาเยี่ยมและเชิญพ่อครูเท่านั้น แต่เฮาจะมาขอทบทวนวิชาเชิงดาบเชิงมวยจากพ่อครูโตย”

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องใช้เวลา” พ่อครูอินถารับคำกลายๆ

เจ้าศรีหิรัญหลุบตาลงมองสิงห์คำแวบหนึ่งจึงตรัสต่อไปว่า “ในช่วงนี้ขอให้ทุกคนปกปิดฐานะของเฮาเอาไว้ก่อน เฮาจักเรียนวิชาร่วมกับคนอื่นๆอย่างพี่น้อง เฮาต้องการเรียนรู้นิสัยใจคอของคนอื่นๆให้ถี่ถ้วน เผื่อว่าจักได้ทหารเอกคู่ใจมาช่วยสิงห์คำอีกสักคน”

“ถ้าเจ้าอุปราชต้องการอย่างนั้นพ่อครูก็จะบ่ขัด”เจ้าของเรือนคล้อยตามพลางหันมองไปทางบันไดซึ่งเครือออน หมากแก้วและหมากคำกำลังช่วยกันยกขันโตกขึ้นมา พลางถามอย่างแปลกใจว่า “แล้วเอื้องฟ้าไปไหนเสียเล่าเครือออน จะใดจึงบ่มาช่วยสู”

สาวสวยวางขันโตกลงบนเสื่อกกก่อนเงยหน้าขึ้นตอบ “วันนี้เอื้องฟ้าจักไปกินข้าวแลงบ้านข้าเจ้า”

“อ้าว จะใดเล่า”

“ก็นางเห็นว่าพ่อลุงมีแขกน่ะเจ้า”เครือออนตอบไปพร้อมๆกับที่มือก็สาละวนกับการยกอาหารขึ้นวางลงบนขันโตกทีละอย่าง

พ่อครูอินถาได้ฟังจึงสั่ง “อย่างนั้นกินข้าวกินปลาแล้ว ให้สูกับเอื้องฟ้าปิ๊กขึ้นมาบนเรือนนี้ก่อน จะได้มาไหว้สา เอ่อ...”

เจ้าศรีหิรัญชิงตรัสต่ออย่างรวดเร็วว่า “เฮาสองคนเป็นทหารของเจ้าอุปราช”

พ่อครูอินถากระแอมกระไอเล็กน้อย ก่อนแนะนำตาม “นั่นล่ะ สูจะได้มาทำความรู้จักกันไว้ อีกไม่นานหมู่เฮาก็จักต้องเข้าไปอยู่ในเวียงแล้ว”

หมากคำซึ่งนั่งฟังอยู่นานถึงกับหูผึ่งโพล่งถาม “เวียงที่มีคนนักๆมีของกินนักๆกาเจ้าพ่อปู่ ข้าเจ้าชอบขนาด”

หมากแก้วรีบสะกิดเตือนน้อง “น้าเอื้องสอนไว้แล้วว่า ยามที่คนใหญ่อู้กันบ่ดีไปสอดนาหมากคำ”

ผู้เป็นปู่ได้ฟังจึงหัวเราะหึๆ “สูทั้งหลายเตรียมตัวเอาไว้ให้พร้อมเต๊อะ ราวๆเดือน 5 นี้เฮาก็ต้องไปกันแล้ว”

“แล้วเฮาจะไปอยู่กับไผล่ะเจ้าพ่อลุง”เครือออนสงสัย

“ตอนนี้สูยังบ่ต้องถาม รอเอื้องฟ้ามาก่อนพ่อลุงจะได้อู้จาให้ฟังกันเสียทีเดียว”พ่อครูอินถาสรุป

เครือออนและหลานทั้งสองจึงรีบลงจากเรือนไป เพื่อบอกเรื่องดังกล่าวให้แก่เอื้องฟ้าที่บัดนี้กำลังรออยู่บนเรือนอีกหลังหนึ่ง
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » อาทิตย์ 16 ก.พ. 2014 5:47 pm

“เจ้าทั้งหลายจงไหว้สาทหารเอกของเจ้าอุปราชศรีหิรัญเสีย” พ่อปู่อินถาเกริ่นหลังจากที่เอื้องฟ้า เครือออน หมากแก้ว และหมากคำขึ้นมานั่งอยู่กลางเติ๋นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เครือออนและละอ่อนทั้งหลายทำตามอย่างว่าง่าย ทว่าเอื้องฟ้านั้นกลับยกมือขึ้นพนมแบบแข็งๆเพราะในใจแอบนึกตำหนิคนตรงหน้าว่าเป็นถึงทหารเอกของเมืองอนันตกาลแต่กลับทำตัวจาบจ้วงแอบดูนางและเครือแก้วอาบน้ำที่น้ำตกโดยไม่ละอาย

“เฮาชื่อศรี ส่วนอีกคนชื่อสิงห์คำ”เจ้าศรีหิรัญแนะนำตัวด้วยสีพักตร์ระรื่น

เอื้องฟ้าทำหูทวนลม หันไปถามบิดาเสียงเรียบ “เห็นเครือออนบอกลูกว่า เฮาจะต้องเข้าไปอยู่ในเวียงแก้วกาเจ้า พ่อกึ๊ดจะใดถึงจะละบ้านละเรือนไปอย่างนั้นเล่า”

“เจ้าอุปราชเพิ่นจักขึ้นนั่งแว่นแก้วเสวยเมืองก็เลยมาเชิญพ่อให้เข้าไปเป็นครูดาบให้แก่หมู่ทหารในเวียงแก้ว”

“แต่พ่อก็บอกปัดได้นี่เจ้า เฮาอยู่ของเฮาดีอยู่แล้ว จะไปให้ลำบากได้จะใด”เอื้องฟ้าแย้งเสียงแข็งพลางตวัดหางตามองเจ้าศรีหิรัญอย่างขวางๆ นึกปรามาสในใจว่าผู้ชายรูปร่างกร้องแกร้งอย่างเขานี่หรือจักเป็นทหารผู้แกร่งกล้าได้

“เจ้าอุปราชบ่ได้ให้พ่อครูเข้าไปอยู่ถาวร เมื่อกำลังทหารในเวียงเข้มแข็งดีแล้ว เจ้าอุปราชก็ยินดีให้พ่อครูปิ๊กมาอยู่ที่นี่เหมือนเก่า”เจ้าศรีหิรัญตรัสเล่าเจตนารมณ์ของตน

ดวงตาคู่งามเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างประเมินท่าที ซึ่งเจ้าศรีหิรัญเองก็เข้าพระทัยดีกับความไม่เป็นมิตรที่นางมอบให้จึงแกล้งถามพ่อครูอินถาว่า “พ่อครูมีลูกแฝดชายหญิง จะใดจึงบ่เอาแฝดชายมาปะหน้าเฮาพ่องเล่า คนที่หน้าคล้ายๆกับเอื้องฟ้านี่น่ะ”

พ่อครูชราหันมองลูกสาวบุญธรรมของตนแวบหนึ่งก่อนตอบ “บ่แม่นดอก บ่าวหน้อยที่เจ้า เอ่อ ที่พ่อศรีว่านั่นคงจะเป็นเอื้องฟ้านี่ล่ะ ยามเข้าป่าเข้าดอยนางมักจะแต่งตัวเป็นผู้ชาย”

สิงห์คำกลั้นยิ้มดุจเดียวกับเจ้าศรีหิรัญที่แย้มสรวลขณะหันมองผู้สวมรอยบ่าวหน้อยมาทั้งวัน “มิน่าเล่า เฮานึกอยู่เชียวว่าจะใดผัวของเครือออนจึงอ้อนแอ้นนัก”

คราวนี้พ่อครูขมวดคิ้ว “ผัวรึ”

เอื้องฟ้าทำหน้าง้ำด้วยเกรงจะถูกตำหนิจึงขยับเข้าไปเกาะเข่าบิดาและแก้ตัว “ก็ข้าเจ้าบ่รู้ว่าเขาเป็นคนดีหรือคนร้ายนี่เจ้า เลยต้องแกล้งบอกว่าเป็นผัวเครือออน ครั้นเพิ่นรู้ว่าเป็นแม่ญิงทั้งคู่ก็เกรงจักเป็นอันตราย ข้าเจ้าบ่ได้มีเจตนาจะหลอกลวงผู้ใดดอกเจ้า”

ผู้เป็นบิดาได้ฟังก็หัวเราะ “เจ้าก็เลยสวมรอยเป็นผัวเมียกันเสียเลย ดีที่ฟ้าบ่ผ่าเอา”

เอื้องฟ้าค้อนขวับ “ฟ้าที่ไหนจะมาผ่ากันเจ้า”

เจ้าศรีหิรัญจึงพูดแทรกขึ้นว่า “บ่ดีไว้ใจฟ้าเน้อ ในเมื่อเจ้าทำเรื่องผิดผีผิดสางอย่างนั้น ผีป่าผีเขาเพิ่นย่อมรู้ย่อมเห็น”

ดวงตางามเหลือบแลไปมองดวงพักตร์คมสันนั้นอีกครั้ง แล้วจึงเชิดคางมนขึ้นเหน็บแนม “คนเฮาพอถึงยังจุดหมายแล้วก็บ่ต้องสำนึกดอกว่าไผเป็นคนช่วยเหลือตนเอง อย่างนี้เพิ่นเรียกว่ากินบนเรือนขี้รดบนหลังคา”

“เอื้องฟ้า”พ่อครูปรามธิดาบุญธรรมเสียงหนัก

ผู้ถูกปรามหันไปมองเครือออนพลางย่นจมูกอย่างขัดเคืองใจ ก่อนจะหันกลับมาบอกบิดา “ถ้าอย่างนั้นลูกเอาขันโตกไปเก็บก่อนดีกว่า เชิญพ่ออู้กันไปก่อนเต๊อะ”

ว่าแล้วหญิงสาวก็เก็บสำรับคับค้อนทุกอย่างลงบนขันโตก จากนั้นจึงยกลงจากเรือนไป กระนั้นขณะลงบันไดนางก็ยังได้ยินเสียงบิดาที่ออกตัวกับอุปราชหนุ่ม จึงหยุดเดินและแนบหูแอบฟัง “เอื้องฟ้าก็เป็นอย่างนี้ล่ะ พ่อครูขออภัยแทนนางโตย นางใช้ชีวิตอยู่กับพวกผู้ชายมานานจึงบ่ค่อยเหมือนแม่ญ่าแม่ญิงคนอื่นเขา”

ฝ่ายนั้นตอบกลั้วหัวเราะว่า “บ่เป็นหยังดอกพ่อครู เฮาว่านางประหลาดดี”

คิ้วเรียวโก่งงอนของหญิงสาวขมวดมุ่นขุ่นเคือง

ทหารเอกผู้นี้น่าชังนัก ช่างเที่ยวค่อนว่าผู้อื่นไปเสียทั่ว อยากจะรู้นักว่าคนที่เป็นทหารเอกขององค์อุปราชนั้นจะยิ่งใหญ่เกินกว่ามนุษย์คนอื่นอย่างไร

++++++++++++++++++++++++++++++++++

หรีดหริ่งเรไรซึ่งตะเบ็งเซ็งแซ่อยู่เงียบเสียงลงเมื่อร่างบอบบางของเอื้องฟ้าเดินเรื่อยเฉื่อยมาถึงลานฝึกดาบซึ่งยามนี้มีชายหนุ่มสองคนกำลังประดาบกันอยู่กลางข่วงใต้แสงจันทร์อันเจิดจ้า

เมื่อเห็นนางยืนดูอยู่ครู่ใหญ่สองหนุ่มจึงหยุดและหนึ่งในนั้นรีบเดินลิ่วเข้ามาหาหญิงสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ว่าใดเอื้องฟ้า จะใดว่ามาแอ่วเล่นถึงนี่ พ่อครูจะว่าเอาได้นะ ที่นี่มีแต่ผู้ชาย”

ดวงตากลมโตวาววับอย่างคนเอาแต่ใจเหลือบมองผู้พูดพลางเอ่ยตอบ “อ้ายจ๋อมแปงบ่ต้องห่วงดอก ยามนี้พ่อเพิ่นเมาอู้กับลูกศิษย์ผู้ยิ่งใหญ่ของเพิ่นอยู่”

จ๋อมแปงเลิกคิ้ว ทำหน้ายิ้ม “ลูกศิษย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพ่อครูนี่น่าจะโชคร้ายเสียละ”

คนแสนงอนเงยหน้าขึ้นถาม “จะใด”

จ๋อมแปงหัวเราะ “โชคร้ายที่น้องชังขี้หน้านะสิ ว่าแต่เพิ่นเป็นไผมาจากไหน จะใดน้องถึงเหน็บแนมว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่เล่า”

“ก็จะบ่ยิ่งใหญ่จะใดเล่า เพิ่นเป็นถึงทหารเอกขององค์อุปราช แถมบ่พอยังมาสั่งให้หมู่เฮาเข้าไปอยู่ในเวียง พ่ออินถาก็ยอม ปกติข้าเจ้าบ่เห็นพ่อยอมไผง่ายๆ”

จ๋อมแปงยิ้ม เขาเป็นลูกชายของขุนนางจึงรู้จักตำแหน่งทหารเอกของอุปราชดีกว่านาง “เอื้องฟ้าคงจักบ่รู้ว่าตำแหน่งอุปราชคือตำแหน่งของผู้ครองนครคนต่อไป และทหารเอกคือทหารคู่ใจของพระองค์”

“อย่างนั้นก็แปลว่าต่อไปเพิ่นจะได้เป็นขุนทหารของพญาเจ้าเมืองกาเจ้า”หญิงสาวย้อนถามหน้ามุ่ย

ผู้ตอบยังคงยิ้ม “แม่นละ”

เอื้องฟ้าฟังแล้วทำท่าคิด “แล้วจะใดอยู่ที่นี่พ่ออินถาบ่หันจะกราบกราน แล้วเพิ่นก็บ่ได้มีทีท่าจะให้เฮานบนอบสักเท่าใด”

“นั่นเพราะเพิ่นเป็นศิษย์ของพ่อครูจะใดเล่า เพิ่นเคารพครูบาอาจารย์จึงบ่แสดงอำนาจบาตรใหญ่ แล้วน้องไปโกรธเคืองอันใดเพิ่นล่ะ”

ความคิดของหญิงสาวแวบไปถึงเหตุการณ์ที่น้ำตกแล้วจึงนิ่งเสีย ด้วยเป็นเรื่องน่าละอายที่จะบอกกับคนอื่นรู้ว่าเขาผู้นั้นเห็นตนเองขณะกำลังอาบน้ำ ยิ่งคิดก็ยิ่งเคือง นี่คนบ้านั่นจะเห็นทรวดทรงองค์เอวของนางไปถึงไหนๆแล้วก็ไม่รู้

“เอ้า ดักจื้อกื้อเหมือนลื้อฟังธรรม จะใดบ่ตอบคำถามอ้ายเล่า”จ๋อมแปงสงสัย

เอื้องฟ้าสั่นหน้า “บ่มีหยังดอก น้องบ่พอใจที่เพิ่นจักให้เฮาเข้าไปอยู่ในเวียงน่ะ ขึ้นเรือนก่อนดีกว่า อ้ายจ๋อมแปงประดาบกันต่อไปเต๊อะ”

ว่าแล้วสาวเจ้าก็หมุนตัวเดินกลับไปทางเดิมโดยไม่ฟังคำทักท้วงของอีกฝ่าย ทิ้งให้จ๋อมแปงมองตามพลางอมยิ้ม “หากน้องได้ไปอยู่ในเวียงก็ดีสิ เพราะอีกบ่นานอ้ายก็จักเรียนวิชาจบ เฮาจะได้อยู่ใกล้กันตลอดไป”
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » อาทิตย์ 16 ก.พ. 2014 5:47 pm

“ว่าจะใดละอ่อนเอาแต่ใจ” เสียงทุ้มรื่นหูดังขึ้นบริเวณมุมมืดของกอไผ่

เอื้องฟ้าหันมองโดยไว จึงเห็นว่ามีร่างหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนแคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่บริเวณนั้นเป็นประจำ เดาได้ไม่ยาก รูปร่างเช่นนี้ น้ำเสียงเช่นนี้ จะเป็นใครไปได้เล่า นอกจาก...

เขาผู้เป็นทหารเอกแห่งองค์อุปราชผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นนั่นเอง

รู้ดังนั้นสาวเจ้าจึงรีบเดินจ้ำเท้าเดินด้วยไม่ต้องการเสวนาใดๆกับผู้ที่ตนเคืองใจอยู่ อีกทั้งยามนี้ไม่เหมาะที่หนุ่มสาวจักอยู่กันสองต่อสอง หากเป็นคนกันเองก็จะอนุโลมอยู่หรอก แต่นี่....

เฮ้อ! เมื่อไรเขาจักคืนเวียงสักทีนะ

“เอื้องฟ้า”เมื่อเห็นหญิงสาวไม่ตอบ เจ้าศรีหิรัญจึงตรัสเรียกซ้ำ

นางเป็นแม่ญิงที่ประหลาดนัก จริตกิริยาก็มิได้เนิบนาบดังสตรีทุกนางที่พระองค์ได้พบเจอ แม้แต่แม่ญิงนอกเวียงแก้วนางอื่นก็เถอะ เมื่อรู้ว่าพระองค์อ้างตัวว่าเป็นทหารของอุปราชศรีหิรัญ นางทั้งหลายก็ล้วนแต่ทอดไมตรีมาให้ แต่เอื้องฟ้ากลับทำเหมือนไม่อยากมองหน้าพระองค์แม้สักเพียงน้อย คิดพลางอุปราชหนุ่มก็ยกหัตถ์ขึ้นลูบพักตร์คมเข้มของตนเบาๆ

ฤๅจักเป็นเพราะพระองค์ไม่เป็นที่จับตาสาวชาวป่ากันนะ

ร่างระหงหยุดกึก หากนางก็ไม่ยอมหมุนกายกลับมาเผชิญหน้า ร้อนถึงเจ้าศรีหิรัญต้องก้าวออกไปดักนางเสียเอง “ดูท่าทางเจ้าบ่ชอบขี้หน้าเฮา”

“เฮาจะรักจะชังไผมันก็เรื่องของเฮา ถอยไป เฮาจะขึ้นเรือน ฤๅว่าในเวียงในวังเพิ่นบ่มีป๋าเวณีเรื่องผิดผีเหมือนชาวป่าล่ะ สูถึงได้กล้าลักดูเฮาอาบน้ำ แถมบ่พอ ยังมาดักรอแกล้งเฮาในที่มืดๆอย่างนี้”นางเชิดหน้าต่อว่า

เจ้าศรีหิรัญเลิกขนงขึ้นพลางกลั้นสรวล “ไผลักดูเจ้าอาบน้ำ เฮาไปแอ่วน้ำตกโดยบ่รู้ว่าเจ้าอาบน้ำอยู่ต่างหาก ผอมจ่องก่องอย่างเจ้านี่มีสิ่งใดให้ดูกันเอื้องฟ้า”

คนถูกวิจารณ์เม้มริมฝีปาก ยกแขนเรียวขึ้นผลักอกกำยำของอีกฝ่ายเต็มแรง แต่เขาก็ยังทรงตัวได้เป็นปกติ ไม่ยอมเซไปตามแรงของนางแม้แต่น้อย “อย่างนั้นเจ้าก็ถอยไป บ่ต้องมายุ่งกับเฮา”

ผู้ถูกกระทำยังคงแย้มสรวลอาบเรียวโอษฐ์ไม่เสื่อมคลาย ใจนึกเอ็นดูคนตัวเล็กตรงหน้ายิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ ด้วยแม่ญิงอย่างเอื้องฟ้านั้นพระองค์ไม่เคยได้พบพาน

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมหลบ เอื้องฟ้าก็เบี่ยงตัวไปอีกทางหนึ่งเพื่อเลี่ยงเสียเอง ทว่าเจ้าศรีหิรัญกลับไม่ทรงยอม ด้วยต้องการเย้าแหย่นางต่อ จึงขยับวรกายตาม

ความโกรธแล่นลิ่วเข้าสู่หัวใจของเอื้องฟ้าเป็นริ้วๆ นางจึงยกกำปั้นขึ้นทำท่าจะต่อย “กึ๊ดจักรังแกเฮากา กึ๊ดผิดเสียแล้วเจ้าทหารบ้ากาม”

เจ้าศรีหิรัญยกพระกรขึ้นตั้งรับแล้วจึงหมุนหัตถ์รวบแขนนางเอาไว้อย่างรวดเร็ว “เจ้านี่ใจร้อนแต๊ๆเอื้องฟ้า เฮาแค่จะขอสูมาเจ้า ที่เฮาโดดลงไปช่วยก็เพราะได้ยินเสียงร้องว่างู ก็เกรงว่ามันจักทำร้ายเจ้าเท่านั้นเอง”

เอื้องฟ้านิ่ง ใจหนึ่งอยากเชื่อแต่อีกใจก็โกรธ แล้วยังมาเสียเหลี่ยมที่เขารับมือนางได้อีก ฮึ นางไม่มีวันยอม คิดดังนั้นสาวน้อยจึงตะเบ็งเสียงดังลั่น “ปล่อยเฮา”

ยังไม่ทันที่ใครจะทำอะไร เสียงพ่อครูก็ดังมาจากบนเรือนเสียก่อน “เป็นอะหยังไปเอื้องฟ้า”

เสียงนั้นทำให้ทั้งคู่ชะงัก แล้วเอื้องฟ้าจึงสะบัดแขนออกจากหัตถ์แกร่งยามเจ้าตัวเผลอ ก่อนจะเดินแกมวิ่งขึ้นเรือนไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง


ดวงตาคู่สวยเปิดออก เจ้าตัวปรับสายตาอยู่ชั่วครู่จึงเงยหน้าขึ้นมองดวงพักตร์คมสันของเจ้าศรีหิรัญ พลางถาม “เอื้องฟ้าคือฉันใช่ไหมคะ”
“แม่นละ เอื้องฟ้าเป็นอดีตชาติของน้อง”

ดวงตาวาววามไหวระยับจดจ้องอีกฝ่ายแน่วแน่ “ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะได้พบกับเรื่องเหลือเชื่อแบบนี้”

“มนุษย์มักจะกึ๊ดว่าสิ่งที่บ่เคยเกิดขึ้นกับตนเองจะบ่มีอยู่ในโลก แต๊จริงแล้วยังมีอีกหลายเรื่องราวที่เฮาบ่เคยเผชิญแต่เกิดขึ้นกับคนอื่นมาก่อนแล้ว”

“ค่ะ ฉันยอมรับว่าเมื่อก่อนมักจะเชื่อแต่สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่หลังๆหลายเหตุการณ์ทำให้ฉันต้องเชื่อในศาสตร์ลี้ลับเพราะมีอะไรๆมหัศจรรย์เกิดขึ้นกับตัวเองหลายอย่าง”

“วิทยาศาสตร์คือสิ่งใดกัน”

เอื้องลดาหัวเราะขำคำถามซื่อๆของเขา แต่ก็ยอมอธิบาย “วิทยาศาสตร์เป็นวิชาแขนงหนึ่งที่คนในยุคของฉันต้องเรียนค่ะ เป็นเรื่องของการพิสูจน์ความจริง การค้นคว้า ทดลอง”

“สมัยนี้บ่มี แต่เอาเต๊อะ จะใดน้องก็เชื่อแล้วว่าสิ่งที่บ่เคยพบ มันมีอยู่แต๊”

“แต่ตอนนี้ฉันกำลังหนักใจเรื่องที่จะต้องเข้าไปช่วยงานในวังมากกว่าค่ะ”หญิงสาวสารภาพเสียงอ่อย

“บอกแล้วจะใดเล่า ว่ายามนั้นหมากแก้วหมากคำจะคอยช่วยน้องเอง บ่ต้องกลัวดอก”เจ้าศรีหิรัญยืนยันอีกครั้ง

“เฮ้อ!” คราวนี้หญิงสาวถอนใจออกมาดังๆ “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สองคนนั้นเป็นแค่เด็กไม่กี่ขวบ ฉันจะไว้ใจได้สักแค่ไหนก็ไม่รู้”

“น้องคงจักลืมไปว่า ละอ่อนทั้งสองตนนั้น ใช้ชีวิตผ่านวันเวลามาหลายร้อยปีแล้ว”

เอื้องลดาคิดตามก็เห็นจริง เธอจึงเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าศรีหิรัญอยู่เป็นครู่ ราวกับต้องการซึมซับความอบอุ่นใจและความเชื่อมั่นจากพระองค์ เพราะทรงเป็นหนึ่งเดียวในยามนี้ที่เธอจะปรึกษาและพึ่งพาได้ในทุกๆเรื่อง

ผูกสายสัมพันธ์ คืนวันก่อนเก่า ดึงรั้งสองเฮา ให้มาปะหน้า
เคยอู้ว่าฮัก ยังปักสัจจ๋า ผูกดวงวิญญาณ์ ปี้ไท้
ฝืนใจ๋จ๋ำลา เจ็บอกหมกไหม้ ยามต้องห่างไก๋ นาฏน้อง
คืนวันจั๊กพา เวียนมาเกี่ยวข้อง ขอฟ้าดินป้อง คล้องใจ๋สองเฮา
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » อาทิตย์ 16 ก.พ. 2014 5:50 pm

นวนิยายตราบสิ้นอสงไขย บทที่ ๑๖ ถนนสายความลับ




แก้วน้ำสีแดงสดในมือเรียวถูกวางกระแทกโต๊ะเสียงดังกึก

“ใจเย็นๆน่าลิลลี่”มาริสาจับข้อมือเพื่อนเอาไว้พลางเอ่ยเตือน

เมรินประสานสายตาผู้พูดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเบือนสายตามามองเอรินาซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาสีงาช้างด้วยแววตาเคืองขุ่น “เป็นเพราะยายรีนาคนเดียว”

ผู้ถูกพาดพิงละสายตาจากตัวอักษร เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนทั้งสองสลับกัน “รีนาขอโทษที่ทำให้กองถ่ายรวน แต่มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ ถ้าเลือกได้รีนาจะไม่ยอมให้เอื้องไปด้วยเลย ตอนนี้เป็นห่วงมาก ไปเยี่ยมเมื่อตอนเช้าก็ยังไม่ฟื้น โชคดีที่คุณพ่อคุณแม่เขามาจากกรุงเทพฯแล้ว ก็น่าจะเบาใจได้บ้างเพราะมีคนดูแลอยู่ตลอดเวลา”

“ห่วงเหรอ”มาริสาย้อนถาม “นี่เธอห่วงฝ่ายตรงข้ามเหรอรีนา แม่นั่นเป็นศัตรูหัวใจเพื่อนเรา ยังไม่พอ เที่ยวจุ้นจ้านตามเธอไปโบราณสถานมืดๆค่ำๆทำให้เราต้องเสียเวลาการถ่ายทำอีก”

ถ้อยคำดังกล่าวสะดุดใจสาวลูกครึ่งดัง กึก!

คนเราถึงจะไม่ชอบขี้หน้ากัน แต่มาถึงจุดนี้ก็ควรจะมีเมตตาต่อกันบ้างมิใช่หรือ“ตอนแรกรีนาคิดว่าที่เป็นฟืนเป็นไฟกันอยู่เนี่ย เพราะเป็นห่วงเอื้องเสียอีก”

เมรินกอดอก เอนหลังไปยืนพิงโต๊ะไม้สักซึ่งมีแจกันดอกไม้สีสวยวางตั้งอยู่พลางตอบเสียงแข็ง “ไม่ใช่ย่ะ ใครจะมีใจนางเอกขนาดนั้น ตอนนี้ลิลลี่กำลังหงุดหงิดพี่คณินต่างหาก ตอนแรกเราอุตส่าห์ดีใจที่ยายเอื้องลดาป่วยหนักเผื่อต้องเปลี่ยนนางเอกใหม่ จะได้ไม่มีใครมาคอยอ่อยพี่ดล แต่ที่ไหนได้ พี่คณินคิดจะรอแม่นี่ฟื้นลุกขึ้นมาถ่ายทำต่อ โดยให้พวกเราถ่ายฉากอื่นก่อน มันเป็นนางฟ้านางสวรรค์หรือยังไงถึงเปลี่ยนคนใหม่ไม่ได้น่ะ”

“เดี๋ยวถ้ามันฟื้นขึ้นมาแล้วกลายเป็นบ้าเป็นบอขึ้นมาสาจะหัวเราะเยาะเสียให้เข็ด”มาริสาเสริม

เอรินาถึงกับอึ้งที่ได้รับรู้เนื้อแท้ของเพื่อนทั้งสอง เธอจึงเลือกที่จะนิ่ง ไม่ปริปากเอ่ยความในใจใดๆออกมาอีก

“นี่ไม่ใช่แค่พี่คณินนะที่ให้ความสำคัญกับมันน่ะ พี่ดลก็ด้วย”ว่าแล้วเมรินก็กระแทกก้นลงบนเก้าอี้ด้วยความหงุดหงิดใจ

“สองสามวันนี้ไม่เห็นคุณดลเลยนะลิลลี่ งานยุ่งเหรอ”มาริสาแกล้งพูดแทงใจดำเพื่อนด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้

ได้ผล ถ้อยคำระคายหูของเธอทำเอาเมรินหน้าหงิก “ก็จะเห็นได้ยังไงล่ะ โน่น ไปเฝ้ายายนางเอกสมองบวมอยู่ที่โรงพยาบาลโน่นไง”

เอรินาลอบถอนใจเบาๆด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ ขณะที่หูยังได้ยินเสียงหัวเราะของมาริสาดังก้อง “ต๊าย ยายเอื้องลดาสมองบวมด้วยเหรอลิลลี่ แบบนี้เอ๋อรับประทานแน่”

เมรินค้อนขวับ “บ้า ฉันประชดย่ะ ถ้ามันเป็นเอ๋อได้จริงๆก็ดีสิ จะได้หมดคู่แข่ง แต่นี่มันแค่เป็นเจ้าหญิงนิทราไปเฉยๆท่าทางว่าสมองก็คงจะปกติดี”

“ใช่ สมองของเอื้องไม่มีอะไรผิดปกติเลย” เอรินาพยายามพูดถึงในแง่ดี “อีกไม่นานก็คงหายดี”

เมรินกระตุกมุมปาก “ฝันไปเถอะ ถ้าจะฟื้นก็คงฟื้นนานแล้วล่ะ เห็นมีหลายคนละที่นอนนิ่งแบบนี้แล้วตายไปเองน่ะ”

ก่อนที่การถกเถียงจะบานปลายมากกว่าที่เป็นอยู่เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เอรินาซึ่งเป็นเจ้าของบ้านพักจึงลุกจากโซฟาเดินไปเปิดประตู และพบว่าผู้ที่ยืนรออยู่ด้านนอกคือนัยภาคนั่นเอง

“วันนี้คุณมีคิวถ่ายละครไหมครับ” เขาเปิดฉากการสนทนาขึ้นก่อน

“ไม่มีค่ะ แต่ช่วงเย็นรีนามีคิวเดินแบบที่ห้าง...”เธอบอกชื่อห้างดังแล้วจึงย้อนถาม “คุณนัยมีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ทางตำรวจจะขอสอบปากคำเรื่องคนร้ายน่ะฮะ”

“อ๋อ งั้นวันนี้สายๆรีนาจะไปที่สถานีตำรวจเองค่ะ”

“ครับ งั้นเดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วโมงผมจะขับรถมารับนะครับ ให้ปากคำเสร็จแล้วขออนุญาตพาไปเลี้ยงข้าวเที่ยงด้วย” เขาอาสาเสียงนุ่ม

“ขอบคุณค่ะ”เธอเอ่ยขอบคุณสั้นๆทว่ามาจากความรู้สึกลึกๆในใจ ในยามชีวิตมีปัญหาดังเช่นเวลานี้นั่นแหละที่จะพิสูจน์ได้ว่าใครคือเพื่อนแท้

นัยภาคยิ้มกว้าง “ยินดีที่ได้รับใช้ครับ”

ประตูห้องพักปิดลงหลังชายหนุ่มเดินจากไปแล้ว และเมื่อเอรินาหันหลังกลับเข้ามาในห้องก็พบว่าเธอกำลังตกเป็นเป้าสายตาเพื่อนทั้งสองอยู่

“นี่อย่าบอกนะว่าเธอคั่วกะคุณนัยอยู่น่ะรีนา”เมรินมองด้วยสายตาดูแคลน“เธอไม่รู้เหรอรีนา ว่าอีตาคนเนี้ยเขาจนจะตาย ถึงจะเป็นญาติคุณดลก็เถอะแต่ก็เป็นญาติทางพ่อ ไม่มีเชื้อมีสายเหมือนฝ่ายแม่”

“แล้วนี่ไปสนิทสนมกันตอนไหนฮึ ช่วงมาที่นี่ใหม่ๆเธอเป็นคนเดียวที่ไม่รู้จักคุณนัยไม่ใช่เหรอ”เมริสาถามบ้าง

เอรินาเดินตรงมานั่งลงยังจุดเดิมก่อนจะยิ้มเย็นดูไม่ยินดียินร้าย “รีนาไม่ได้คั่วคุณนัย เราเพียงแค่ได้เจอกันโดยบังเอิญเท่านั้น แต่ถ้ามิตรภาพจะงอกเงยต่อไปยังไงมันก็เป็นเรื่องของอนาคตและเป็นไปตามธรรมชาติ”

เมรินหันไปสบตามาริสาพร้อมทั้งเบะปาก ฝ่ายหลังจึงแสร้งหัวเราะขึ้นมาเบาๆ “ถึงบ้านคุณนัยเขาจะเป็นครอบครัวที่ซอมซ่อแค่ไหน รีนาเขาก็ไม่เดือดร้อนหรอกน่าลิลลี่ เพราะที่บ้านของเขาไม่ต้องรักษาหน้าตาในวงสังคมอย่างเราสองคน”

แทนที่จะโกรธ สาวลูกครึ่งกลับยิ้มรับแต่โดยดี “ใช่ รีนาเป็นแค่ลูกสาวของสาวไทยที่ได้สามีเป็นชาวอังกฤษ ไม่ใช่ผู้ดีตระกูลดังมาจากต้นรัตนโกสินทร์เหมือนลิลลี่กับสา แต่สิ่งหนึ่งที่แม่สอนก่อนจะยอมให้รีนากลับมาทำงานที่ไทยก็คือ ในสังคมมีคนหลายประเภท เราจะต้องเปิดใจให้กว้างและรับทุกคนให้ได้ รีนาถึงทำใจได้ไงเมื่อมีเพื่อนที่ชอบดูถูกคนอื่น อ้อ แล้วแม่ก็จะคอยย้ำเสมอนะ ว่าคนที่รู้จักให้อภัยน่ะเป็นคนที่จิตใจสูง ซึ่งข้อนี้รีนาก็ทำตามมาตลอด”

เมรินและมาริสาหันมองหน้ากันทันควัน ชั่วอึดใจเมรินจึงลุกขึ้นยืนทำหน้าเคร่ง “หมายความว่าไงรีนา”

เอรินายิ้มมุมปาก “ไม่มีอะไร แค่เล่าให้ฟังน่ะ เดี๋ยวรีนาไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะ สักพักคุณนัยก็จะมารับแล้ว อ้อ จะทำอะไรก็ตามสบายนะ”และโดยไม่รอช้า ครู่เดียวสาวลูกครึ่งก็เดินลิ่วๆไปหยิบผ้าเช็ดตัวซึ่งวางอยู่บนชั้นวางมาถือไว้ ก่อนจะหมุนกายเดินเข้าห้องน้ำไปเพื่อเป็นการตัดบทการสนทนา
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » อาทิตย์ 16 ก.พ. 2014 5:51 pm

ร่างสูงในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนหยุดชะงักหลังเดินเข้าสู่ตัวบ้านแล้วพบว่าบิดาและมารดากำลังนั่งจิบกาแฟกันอยู่บริเวณตั่งนอกระเบียง

นทีดลจึงเปลี่ยนทิศทางการเดินไปยังจุดที่ท่านทั้งสองนั่งอยู่ เมื่อไปถึงจึงหย่อนกายนั่งลงฝั่งตรงข้าม

“หนูเอื้องเป็นไงบ้างลูก”มารดาเงยหน้าขึ้นถามก่อน เนื่องจากเจ้าสกุลรัตน์รู้เรื่องทั้งหมดจากปากของสามีก่อนหน้านี้แล้ว

นทีดลส่ายหน้าช้าๆ “ยังไม่ฟื้นเลยครับคุณแม่ แต่คุณหมอค่อนข้างมั่นใจว่าเธอจะหายเป็นปกติในอีกไม่ช้า”

“เราก็ทำได้แค่รอ”พ่อครูชัยพงษ์แนะ “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับบุญทำกรรมแต่ง เราต้องยอมรับมันให้ได้นะลูก”

“ครับพ่อ” น้ำเสียงของเขาอ่อนลง จนมารดาจับความรู้สึกได้ จึงถามต่อ “แล้วตอนนี้ใครเฝ้าหนูเอื้องอยู่ล่ะลูก หรือว่ามีแค่นางพยาบาล”

“คุณพ่อคุณแม่คุณเอื้องมาถึงแล้วครับ ตอนนี้ท่านเฝ้าอยู่กับคุณนัท”

เจ้าสกุลรัตน์พยักหน้า“บ่ายนี้แม่กับพ่อก็ว่าจะไปเยี่ยมอยู่เหมือนกัน จะได้คอยกำชับอาจารย์หมอว่าให้ดูแลหนูเอื้องเป็นพิเศษ”

“ครับ”นทีดลพยักหน้ารับรู้แล้วจึงเบนสายตาไปยังลานโล่งใต้ต้นลำไยซึ่งก็พบว่า ณ ที่นั้น หมากแก้วและหมากคำกำลังกวักมือเรียกเขาอยู่เหย็งๆ ชายหนุ่มจึงลุกพรวดขึ้นยืนพลางเอ่ยขอตัวกับบิดามารดารัวเร็ว ก่อนจะเดินลิ่วๆลงบันไดไป

“ตาดลนี่ยังไงนะ คุยกันยังไม่ทันรู้เรื่องเลย หนูเอื้องอยู่ห้องไหน ยังไงก็ไม่บอก” เจ้าสกุลรัตน์หันไปบ่นกับสามีกลั้วหัวเราะ

พ่อครูชัยพงษ์หัวเราะตามบ้าง ครู่ใหญ่จึงบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เจ้าอย่ากังวลไปเลย ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาเท่านั้นแหละ”

เจ้าสกุลรัตน์ได้ฟังจึงเลิกคิ้วทว่าปากยังอมยิ้ม “คุณนี่ชอบพูดอะไรเป็นปรัชญาแถมยังกำกวม ฉันไม่เข้าใจด้วยหรอกค่ะ”

มือใหญ่จึงเลื่อนมากุมมือภรรยาเอาไว้พลางพูดต่อ “ถึงคุณจะไม่เข้าใจคำพูด แต่คุณก็รับรู้สิ่งที่ใจผมสื่อได้เสมอไม่ใช่เหรอเจ้า”

ภรรยาชม้ายสายตาขึ้นมองสามีพลางกลั้นยิ้มและใช้มืออีกข้างที่เหลือตีเผียะลงบนมือเขาเบาๆ “คุณนี่ก็พูดอะไรไม่รู้ แก่แล้วนะ”

พ่อครูชัยพงษ์ยิ้มเมื่อเห็นพวงแก้มสีจัดของภรรยา

ตลอดสามสิบปีที่ผ่านมาเขามีเคล็ดลับการครองเรือนเพียงข้อเดียวก็คือ พยายามทำทุกวันให้เหมือนวันแรกของการแต่งงาน ซึ่งก็ใช้ได้ผลดีตลอดมา
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » อาทิตย์ 16 ก.พ. 2014 6:00 pm

“มีอะไรกับพี่เหรอหมากแก้ว หมากคำ”นทีดลถามเมื่อไปถึงจุดที่ดวงวิญญาณสองพี่น้องยืนรออยู่

“เฮาสองคนจะมาถามถึงน้าเอื้อง” หมากแก้วเป็นผู้ตอบ ขณะที่หมากคำขยับเข้ามายืนด้านหน้าพี่ชายแล้วถามย้ำ “น้าเอื้องเป็นจะใดพ่องเจ้า”

นทีดลถอนหายใจก่อนตอบ “คุณเอื้องยังไม่ฟื้นเลย”

“คืนนั้นพ่อปู่ห้ามบ่ให้เฮาสองตนเข้าไปช่วย”หมากคำฟ้อง

“แสดงว่าทั้งสองตนเห็นเหตุการณ์โดยตลอดใช่ไหม”นทีดลถามด้วยดวงตาฉายแวววาดหวัง “เกิดอะไรขึ้นตอนนั้น แล้วคนร้ายสองคนนั่นเป็นใคร”

“สองคนนั้นเป็นคนของร้าย ที่ถูกส่งมาดูลาดเลาในการขุดกู่เพื่อจะเอาพระพุทธรูปทองคำตามในตำนานไปขาย”หมากแก้วกอดอกเล่าด้วยท่าทางราวกับเป็นผู้หลักผู้ใหญ่

นทีดลจูงเด็กน้อยทั้งสองไปยังชุดนั่งเล่นซึ่งทำเลียนแบบไม้ไผ่สีเขียวสดและนั่งลงก่อนจึงค่อยถามต่อ “ไหนบอกพี่สิ ว่าพวกนั้นมันวางแผนยังไง”

“มันทำของบ่ดีให้สองคนนั้นเอามาฝัง แล้วคืนนั้นมันก็ดูลาดเลาว่ากลางคืนจะปลอดคนก่อ มันจะได้หาลู่ตางมาขุดหาของ เผอิญมาพบน้าเอื้องเสียก่อน มันก็เลยกึ๊ดบ่ดี”หมากแก้วเล่าต่อเสียงเครียด

“แต่ตอนน้าเอื้องหงายหลังล้มลงไป ข้าเจ้าเห็นลำแสงพุ่งออกมาจากกำแพงเมืองโตย” หมากคำเล่าบ้าง

“กำแพงหรือ” นทีดลทวนคำแล้วจึงย้อนความคิดไปถึงเหตุการณ์ที่วัดเจ็ดยอดและสุรเสียงซึ่งดังก้องหูในวันนั้น ซึ่งเขาจำได้ดีทุกคำ

“ประตูอยู่บนกำแพงนั่น ครั้นถึงเวลามันก็จักเปิด ทุกสิ่งได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว”

หมายถึงประตูอะไรกันนะ…

“จะเป็นไปได้ไหมที่คุณเอื้องสลบไปนานเพราะมีอะไรบางอย่างดลบันดาลให้เป็น”เขาเปรยออกมาเบาๆ

หมากแก้วนิ่ง ทอดสายตามองว่านปีใหม่สีแดงสดใสที่กำลังออกดอกอยู่ใต้ต้นหางนกยูง ส่วนหมากคำนั้นกระถดตัวเข้าไปนั่งพิงพนักเก้าอี้พลางย่นคิ้ว ทำท่าคิดพร้อมทั้งหันไปมองหน้าพี่ชายขณะถาม “อ้ายหมากแก้วว่าแสงนั่นคือแสงอะหยัง”

หมากแก้วสั่นหัวเบาๆ “อ้ายบ่รู้ดอก แต่น้าเอื้องเคยสลบไปอย่างนี้คราวหนึ่ง เมื่อครั้งที่เกิดมาเป็นเจ้าเอื้องนวล น้องยังจำได้ก่อ”

หมากคำกรอกตาขึ้นลง ทำท่าคิดก่อนตอบ “น้องจำได้ละ ที่พ่อพญาไปช่วยชีวิตเจ้าเอื้องนวลเอาไว้นั่นนะกาเจ้า”

“แม่นละ ตอนนั้นพ่อพญาก็บอกว่าแม่ญิงที่เฮาพบอยู่นั้นบ่ใช่เจ้าเอื้องนวล แต่เป็นคนที่มาจากอนาคต” หมากแก้วหันไปมองนทีดลพลางดีดนิ้วเปาะ พร้อมทั้งอธิบาย“เมื่อน้าเอื้องเกิดเป็นเจ้าเอื้องนวลก็เคยสลบไปตอนมีแสงพุ่งออกมาเหมือนกันเจ้า”

ชายหนุ่มทำหน้างง “เอาล่ะ พอจะมีใครอธิบายทุกอย่างให้พี่เข้าใจแบบชัดๆได้ไหม พี่กำลังงงว่าตัวละครชื่อแปลกๆพวกนี้มาจากไหนกัน”

สองพี่น้องสบตากัน อีกทั้งต่างคนต่างก็ชี้ไปยัง สุดท้ายจึงส่ายหน้าขึ้นพร้อมๆกัน “เฮารู้แต่ว่าเคยพบน้าเอื้อง 3 ช่วง คนละชื่อ คนละหน้าตา แต่พ่อปู่กับพ่อพญาบอกว่านั่นคือน้าเอื้อง เพียงแต่เพิ่นจำเฮาบ่ได้ เพราะกินน้ำลืมภพชาติไป ส่วนเรื่องอื่นๆข้าเจ้าบ่รู้เจ้า”หมากคำตอบเสียงอ่อย

นทีดลฝืนยิ้ม “ไม่เป็นไร เดี๋ยวทุกอย่างก็คงจะคลี่คลายเองแหละ”

“เฮาจะเป็นคนเล่าให้พ่อพญาฟัง” น้ำเสียงแหบแห้งซึ่งดังอยู่เบื้องหลังทำให้ทั้งสามหันกลับไปมองพร้อมๆกัน

“เฮาคือพ่อครูอินถา ครูดาบของพ่อพญาในชาติที่แล้ว”พ่อปู่แนะนำตนเอง

นทีดลกะพริบตาถี่ๆ มองร่างของชายชราในเครื่องแต่งกายสีขาวทั้งชุดด้วยความรู้สึกอึ้งๆ การที่เขาสามารถมองเห็นหมากแก้วและหมากคำมานาน ทำให้ชายหนุ่มเริ่มจะชินกับการพบเจอวิญญาณในสถานะต่างๆ และรู้ดีว่าวิญญาณคือพลังงานอย่างหนึ่ง แต่การที่พ่อครูอินถามาปรากฏกายในครั้งนี้สร้างความประหลาดใจให้กับเขาพอสมควร

ยามนี้คงจะถึงเวลาของทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนที่บิดาของเขาบอกจริงๆแหละ

ที่สำคัญดวงวิญญาณเหล่านี้น่าจะมีความสัมพันธ์กับเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จึงได้หวนคืนมาพบเจอและอำนวยช่วยเหลือกันได้ในเวลานี้

“แล้วพ่อพญานี่คือใครครับ อยู่ที่ไหน” ชายหนุ่มยังคงสงสัย

พ่อปู่ลูบเคราตนเองพลางตอบ “พ่อพญาคือเจ้าเมืองอนันตกาลผู้ทรงพระนามว่า เจ้าศรีหิรัญซึ่งก็คือตัวของท่านในชาติที่แล้ว”

ดวงตาเรียวคมของนทีดลเบิกค้าง ขณะเขาจิ้มนิ้วชี้ไปที่แผงอกของตนเอง “ผมเนี่ยนะครับ คือพ่อพญา”

พ่อปู่อินถาพยักหน้า “แม่นละ ท่านเป็นพญาเจ้าเมืองของเมืองที่หมู่เฮาทั้งหลายอาศัยอยู่”

“แสดงว่าเมืองเก่านั่น ก่อนนี้ชื่อเมืองอนันตกาลใช่ไหมครับ”

“ใช่ เมืองอนันตกาลอันเคยรุ่งเรือง ยิ่งใหญ่ เมืองที่มีแม่น้ำโป่งเย็นไหลผ่าน มีพ่อค้าแม่ค้าจากต่างบ้านต่างเมืองมีเรือสำเภามาค้าขายที่นี่มากมาย จนถือว่าเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าก็ว่าได้”

“พ่อปู่หมายถึงธารน้ำสายเล็กๆที่ไหลผ่านหลังคุ้มนี่น่ะหรือครับ”ชายหนุ่มถามอย่างทึ่งๆขณะที่เด็กน้อยทั้งสองนั่งฟังนิ่ง ดวงตาเหม่อลอยไปเบื้องหน้า ราวกับกำลังหวนรำลึกถึงอดีตที่ไม่มีวันหวนคืน

“นั่นล่ะ สมัยก่อนเป็นแม่น้ำกว้างใหญ่ที่มีต้นน้ำคือโป่งน้ำร้อนและน้ำพุเจ็ดสีซึ่งไหลมาจากทิศพายัพ จึงมีชื่อว่าแม่น้ำโป่งเย็นจะใดเล่า”

“แล้ว เอ่อ เรามีความสัมพันธ์ต่อกันยังไงครับ คือ ผมคิดว่าเราคงเคยผูกพันกันมาก่อน พ่อปู่กับหมากแก้วและหมากคำจึงปรากฏกายให้ผมเห็นได้น่ะ”

แววตาหม่นฝ้าระยับไหวขณะที่พ่อปู่อินถาไขความนัย “เฮาเคยทำบุญทำกรรมร่วมกันมา แต่ผู้ที่ผูกพันกับท่านแต๊ๆคือเอื้องฟ้าต่างหากเล่าพ่อพญา”

“เอื้องฟ้า”เขาเอ่ยนามนั้นเสียงเบา

“แม่นละ เอื้องฟ้าเป็นลูกบุญธรรมของเฮาแลเป็นน้าของหมากแก้วและหมากคำ”พ่อปู่อินถาหลุบตามองหลานทั้งสองแวบหนึ่งจึงค่อยเอ่ยต่อ “เอาละ ถึงเวลาแล้วที่พ่อพญาควรจะได้รับรู้ความเป็นไปในอดีต เฮาจักเล่าให้ฟัง”

แสงแดดเบาบางเหือดหายเมื่อเมฆสีดำลอยมาบดบังรัศมีสีทองอันส่งประกายกล้าอยู่เมื่อครู่ ลมพัดกิ่งไม้ไหวโยกบางเบาฟังคล้ายเสียงสะล้อซอซึงดังแว่วมาจากที่แห่งใดแห่งหนึ่ง

ยามนั้นพ่อปู่อินถาหลับตาลงพร้อมทั้งบริกรรมคาถา ร่วม 10 นาทีจึงเป่าพรวดลงมาบนศีรษะชายหนุ่ม

กระไอหมอกจางๆซึ่งลอยล่องมาจากที่แสนไกลค่อยๆรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่จนบดบังร่างสูงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มิดชิด เพื่ออำพรางสายตาจากผู้คนทั่วไป ขณะที่มโนนึกของนทีดลเริ่มมองเห็นภาพแห่งอดีตกาลไกลโพ้นย้อนไปเมื่อพันปีที่แล้วได้อย่างแจ่มชัด
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » พุธ 19 ก.พ. 2014 9:37 pm

บทที่ ๑๗

ปีไส้ จุลศักราช ๓๑๙ พุทธศักราช ๑๕๐๐


อัครสถานอันวิจิตรตระการตาซึ่งตั้งอยู่ถัดจากเรือนหมู่หลังใหญ่นั้นเต็มไปด้วยผู้คนแต่งกายอย่างงดงามที่กำลังก้มหน้าหมอบกราบอย่างพร้อมเพรียงกัน

สูงสุดเหนือบัลลังก์ขาสิงห์คือสตรีกลางคนผู้มีดวงพักตร์งามจับใจซึ่งประทับเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางคนทั้งหลายที่นั่งอยู่ต่ำลงไป

สะล้อซอซึงเบาเสียงลงทีละน้อย จนเงียบสนิท ครู่ใหญ่จึงมีเสียงฆ้องกลองดังประสานกันขึ้นแทน ท่วงทำนองอันแช่มช้าเสนาะโสตบรรเลงไปพร้อมๆกับที่หญิงสาวในชุดช่างฟ้อนจำนวน 9 นางต่างออกมาร่ายรำอยู่บริเวณลานหินศิลาแลงด้านนอกศาลาใหญ่ อันเป็นสถานที่สำหรับต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองประจำเวียงแก้วอนันตกาล

“นับตั้งแต่วันถวายเพลิงพระศพของเจ้าลุงศรีบุญ หลานกับน้องสร้อยสุรีย์ก็บ่ได้มาเยือนเมืองอนันตกาลอีกเลย”บุรุษผู้มีดวงเนตรรูปเหยี่ยวรับกับพระพักตร์เรียวยาวมีพระทาฐิกะปกคลุมตรัสเล่า

แม่เจ้ามาลีรัตน์บ่ายพักตร์งามกลับมามองเจ้าแสงสุวรรณผู้มีศักดิ์เป็นหลานพลางแย้มสรวลเมื่อนึกถึงอดีต คืนวันเลยล่วงมาแสนนาน ความโศกเศร้าล้วนจางหาย หลงเหลือเพียงเงาความทรงจำรำไรให้หวนระลึกถึง “ยามนั้นหลานทั้งสองยังเป็นละอ่อนอยู่ ยังจำได้อยู่กา”

เจ้าศรีสุวรรณยกมุมโอษฐ์ขึ้นยิ้มแล้วจึงปรายดวงเนตรไปมองพระภคินีซึ่งบัดนี้กำลังสนพระทัยการฟ้อนรำถวายการต้อนรับอยู่ “ถึงหลานจะยังวัยละอ่อน แต่ก็จำงานถวายเพลิงพระศพอันยิ่งใหญ่และงานพระราชพิธีมุรธาภิเษกของเจ้าป้าได้ดีเจ้า”

“หลานก็จำได้เช่นกันเจ้า ยามนั้นเจ้าป้าช่างงามนัก บ่มีไผเทียบเทียมได้”เจ้าสร้อยสุรีย์หันกลับมาตรัสชม

“รวมไปถึงทรงเป็นเจ้านางองค์เดียวในดินแดนแถบนี้ที่ขึ้นเสวยเมืองโตย”เจ้าศรีสุวรรณเสริม

“เมื่อเจ้าลุงของหลานสิ้นพระชนม์ไป ศรีหิรัญยังเล็กนัก ป้าจึงต้องช่วยเป็นเสาหลักให้บ้านเมืองแทนเสียก่อน ยามนี้เป็นเพลาอันควรแล้วที่ศรีหิรัญจักขึ้นมาปกครองบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป โดยมีหลานสร้อยสุรีย์อยู่เป็นแม่เมืองศรีอนันตกาล”

ผู้ถูกตรัสถึงก้มลงยิ้มพราย หากชั่วครู่จึงเงยพักตร์ขึ้นมาทำท่าสะเทิ้นอาย “เจ้าป้าละก็ ตั้งแต่ใหญ่มาข้าเจ้ายังบ่ได้พบหน้าเจ้าพี่ศรีหิรัญเลยเจ้า จะทรงโปรดน้องฤๅไม่ก็บ่รู้”

“หลานงดงามอย่างนี้ ขี้คร้านพอได้พบหน้ากัน ศรีหิรัญจักเร่งให้จัดพิธีอภิเษกเสียก็บ่ว่า”

“เอ แล้วเจ้าอุปราชศรีหิรัญไปไหนกันเจ้า เพิ่นบ่รู้กาว่าหลานทั้งสองมาเยือน” เจ้าแสงสุวรรณตรัสถามแทนองค์ภคินี

“ยามนี้ศรีหิรัญเข้าป่าไปร่ำเรียนวิชาดาบยังอุจฉุบรรพตตั้งแต่เมื่อวันเดือนดับแล้ว ครั้นใกล้ถึงวันขึ้นเสวยเมืองก็จักปิ๊กมา หวังว่าหลานทั้งสองคงจะอยู่ร่วมงานพิธีเสียก่อนค่อยปิ๊กคืนเมืองนะ”

“เจ้า เจ้าป้า” เจ้าแสงสุรีย์กระมิดกระเมี้ยนตอบทั้งที่ในพระทัยเริ่มขุ่นข้องด้วยแต่เดิมวางแผนไว้ว่าจักใช้เวลาก่อนพระราชพิธีทำความสนิทสนมคุ้นเคยกับว่าที่พระคู่หมั้นก็กลับตาลปัตรเสียนี่

ฝ่ายเจ้าแม่มาลีรัตน์นั้นมิได้รู้ความใดจึงทรงยิ้มรับด้วยความยินดีพลางชี้ให้เจ้าหลานทั้งสองพระองค์ชมการแสดงด้วยดวงพักตร์อันสดใส
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » พุธ 19 ก.พ. 2014 9:38 pm

“เครือออนบ่น่าจะมาเมื่อยไข้ยามนี้เลย”เอื้องฟ้าซึ่งอยู่ในเครื่องแต่งกายแบบชายบ่นอุบหลังกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้าสีขาวไข่มุกบริเวณข่วงหน้าเรือน

แม้แสงสีทองเจิดจ้าจะมีเมฆสีขาวบดบังอยู่กลุ่มใหญ่แต่ลำแสงอันทรงพลังก็ยังส่องลอดลงมาให้เบื้องล่างปรากฏเงาของบุรุษร่างกำยำผู้หนึ่งที่กำลังชักม้าเข้ามาใกล้นางพลางโต้ “ถ้าเครือออนบ่ป่วยไข้ เจ้าก็คงบ่จำเป็นต้องเข้าป่าไปหาสมุนไพรในวันนี้ดอกเอื้องฟ้า”

สาวชาวป่าหันกลับมามองตาเขียว “เฮาบ่ได้ขี้คร้านไปหาสมุนไพร เฮาเพียงแต่บ่ชอบใจที่พ่อให้สูออกมาโตยต่างหาก”

เจ้าศรีหิรัญทำไม่รู้ไม่ชี้ “แต๊กานี่ จะใดจึงเป็นอย่างนั้นเล่าเอื้องฟ้า”

ผู้ถูกถามเบะปาก “สูก็รู้อยู่แก่ใจ แสร้งมาทำเป็นถาม เปิงคนเฒ่าคนแก่เพิ่นสอนไว้ละ...”

“สอนว่าจะใด”

คนพูดดักทางจึงหัวเราะคิกคัก “บ่เคยได้ยินกา ที่เพิ่นว่า ล็วกบ้านนอก บ่เท่าวอกในเมืองน่ะ”

เจ้าศรีหิรัญได้ฟังก็แกล้งทำเฉยเสีย คนอย่างเอื้องฟ้านั้น หากทำโมโหโกรธาใส่ นางก็จะยิ่งได้ใจที่กวนโทสะผู้อื่นได้สำเร็จ แต่ถ้าอีกฝ่ายทำเป็นทองไม่รู้ร้อน นางก็จะล่าถอยไปเอง ดังเช่นในขณะนี้ที่สาวเจ้าทำหน้าง้ำชักม้านำหน้าไปก่อน พระองค์จึงหันพักตร์ไปบอกทหารคนสนิท “ไปได้แล้วสิงห์คำ”

ม้าทรงเจ้าศรีหิรัญวิ่งตามม้าของเอื้องฟ้าไปติดๆ จวบจนเวลาตะวันเกือบตรงหัวทั้งสามก็ไปถึงยังจุดหมาย เอื้องฟ้าจึงหยุดม้าเป็นคนแรกและกระโดดลงมากอดอกยืนรอแล้วเกทับ
“เป็นผู้ชายแต๊ๆจะใดขี่ม้าสู้แม่ญิงอย่างเฮาบ่ได้”

“เฮาต้องคอยระวังภัย อยู่ในป่าในเขาไว้ใจอะหยังนักบ่ได้”

“ถ้าเฮารู้จักป่า ป่าก็จะเป็นมิตรกับเฮา”เอื้องฟ้าเดินผ่านหน้าคนฟังโดยไม่มองหน้า

สิงห์คำซึ่งเพิ่งลงจากหลังม้าเป็นคนสุดท้ายจึงเข้ามาไกล่เกลี่ย “หมื่นศรีอู้ก็ถูก เอื้องฟ้าอู้ก็บ่ผิด แต่พ่อครูเพิ่นเตือนไว้ว่าในป่ามีพวกโจร อันตรายนัก เฮาก็ต้องฟังเอาไว้พ่อง”

สาวหนึ่งเดียวในกลุ่มหัวเราะ “แม่น เฮาอาจจะโชคร้ายพบปะโจรก็ได้ในเมื่อเฮามีตัวอัปมงคลมาโตย เพิ่นว่าคนบางคนมันเป็นตัวขึด”

“เอื้องฟ้า นี่สู...”สิงห์คำรีบท้วงอย่างเหลืออด ทว่าผู้เป็นเจ้าเหนือคนทั้งปวงกลับหันมาปรามเขาเบาๆ “บ่เป็นหยังดอกสิงห์คำ ปล่อยนางเต๊อะ”

นายทหารหนุ่มจึงก้มลงมองดินพลางส่ายหน้าอย่างระอาใจ
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » พุธ 19 ก.พ. 2014 9:38 pm

ตะวันเริ่มคล้อยไปทางทิศตะวันตก

เอื้องฟ้าหยัดกายลุกขึ้นยืน ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับที่เจ้าศรีหิรัญซึ่งถือสมุนไพรพะรุงพะรังดำเนินเข้ามาหาพร้อมทหารคู่ใจ

“บ่ดีเดินไปทางก้อนหินนั้น มันมีว่านสาวหลงขึ้นอยู่ เพิ่นว่าถ้าไปเหยียบโดนมันแล้วจะหลงป่า” หญิงสาวบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับหน้าเสียเมื่อเห็นหนึ่งในสองหนุ่มเหยียบลงบนต้นไม้ต้องห้าม

“อ้าว เฮ้ย! แย่แล้ว สูไปเหยียบมันทำไมหมื่นศรี”

แรกทีเดียวเจ้าศรีหิรัญได้สดับก็เกิดความสงสัย ชั่วครู่จึงแย้มสรวล “จริงอย่างที่เจ้าว่างั้นรึ มันจะเป็นไปได้จะใด”

เอื้องฟ้าไม่พูดพล่ามทำเพลง ก้าวลิ่วๆเข้าไปดึงหัตถ์แกร่งของคนชอบเถียงโดยแรง ปากก็พร่ำบ่น “ยังจะมาเถียงอีก ระวังเต๊อะ ถ้าหลงป่าเฮาจะบ่ช่วยเลย”

ว่าแล้วหญิงสาวก็ปล่อยมือที่เกาะแขนอีกฝ่ายออก กอดอก และเงยหน้ามุ่ยๆของตนขึ้นมองเจ้าศรีหิรัญก่อนจะโวยวายต่อ “ถ้าพาเฮาหลงไปโตย สูโดนดีแน่”

แทนที่เจ้าอุปราชจะโต้เถียงหรือแก้ตัว พระองค์กลับยกดรรชนีขึ้นแตะริมโอษฐ์ “เบาก่อน เฮาหันอะหยังแวบๆหลังกอไผ่ทางโน้น”

ว่าพลางก็ฉุดแขนเรียวเฉลาของเอื้องฟ้าลากหลุนๆเข้าไปยังควงไม้ฉำฉาใหญ่ โดยมีสิงห์คำคอยระวังหลังให้ นายทหารหนุ่มรู้ดีว่า เจ้าอุปราชของตนนั้นมีความระแวดระวังอยู่เสมอ ตรงข้ามกับเอื้องฟ้าที่ไม่ค่อยเชื่อถือสัญชาตญาณของหนุ่มชาวเมืองนัก นางจึงขืนตัวออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา เจ้าศรีหิรัญจึงดันร่างบางเข้าไปในโพรงไม้แคบๆนั้นอย่างทุลักทุเล

“บ่หันจะมีไผเลย สูกึ๊ดไปคนเดียวละ” เอื้องฟ้าโวย “ถ้าแต๊แล้วจะใดอ้ายสิงห์คำถึงบ่เข้ามาอยู่โตยเฮา”

“สิงห์คำต้องระวังอยู่ข้างนอก”

คำตอบของเจ้าศรีหิรัญทำให้หญิงสาวขมวดคิ้ว “สูอู้เหมือนอ้ายสิงห์คำต้องคอยระวังภัยให้เฮาอย่างนั้นละ”

“ก็ใช่น่ะสิ”

“แล้ว...”เมื่อสาวเจ้าจะถามต่อ หัตถ์ใหญ่ก็ยกขึ้นมาปิดปากนาง “นั่น มันออกมากันละ”

เอื้องฟ้าหันมองตามแล้วก็ต้องตกตะลึง เมื่อเห็นว่ามีชายในชุดสีดำวิ่งกรูกันเข้าไปรุมล้อมสิงห์คำอยู่ในเวลานี้

เจ้าศรีหิรัญปล่อยหญิงสาวให้เป็นอิสระพร้อมกระชับดาบในหัตถ์มั่น ก่อนจะโน้มลงไปกระซิบบอกนางเบาๆ “ห้ามออกไปนะเอื้องฟ้า”

หญิงสาวไม่ตอบรับ สายตาจดจ้องภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยใจระทึก

พริบตา อุปราชหนุ่มก็ทรงกระโจนออกนอกโพรงไม้ สองหัตถ์กวัดแกว่งดาบฝ่าวงล้อมเข้าไปสมทบทหารเอกของตน

ชายหนุ่มต่างศักดิ์ทั้งสองต่างช่วยกันต่อสู้ยิบตา จนโจรป่าถูกฆ่าตายไปหลายคน

ทว่าโดยไม่คาดคิด เมื่อเสียงเป่าปากดังขึ้นสองครั้งกลับมีโจรป่าโผล่ออกมาเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง

สิงห์คำเห็นท่าไม่ดีจึงหันไปหาองค์อุปราชพลางทูล “เจ้าอุปราชพาเอื้องฟ้าหนีไปก่อนเต๊อะ ข้าเจ้าจะกันพวกโจรเอาไว้ให้”

“บ่ได้ดอกสิงห์คำ มันเสี่ยงเกินไป”

“ไปเต๊อะ พระองค์จะต้องฝ่าวงล้อมออกไปให้ได้แล้วดักรออยู่กลางทาง มันมีกันนัก ถ้าเฮาเป็นเป้ามันอยู่กลางวงอย่างนี้เห็นจะบ่รอดแน่ ลำพังเฮาคงจะบ่เป็นหยัง ห่วงก็แต่เอื้องฟ้า...”

ประโยคท้ายของสิงห์คำสะดุดฤทัยเจ้าอุปราชดังกึก!

“อย่างนั้นเจ้ารักษาตัวให้ดีนะสิงห์คำ”

ทหารหนุ่มพยักหน้า พระองค์จึงกระโจนเข้าใส่โจรคนที่อยู่ใกล้ต้นก้ามปูก่อน แล้วประดาบกันจนสามารถฟันลงบนไหล่ขวาของมันเป็นแผลฉกรรจ์ จากนั้นจึงปรี่เข้าไปฉุดแขนหญิงสาวออกมาจากโพรงไม้

โจรหลายคนเห็นดังนั้นก็พุ่งตัวเข้าหาสองหนุ่มสาวทันที

เอื้องฟ้าไม่รอช้าใช้มือขวาดึงมีดอุ่มออกมาจากชายพก พลางสะบัดแขนออกจาการเกาะกุมของเจ้าศรีหิรัญ แล้วพุ่งร่างเข้าใส่โจรป่าผู้หนึ่งซึ่งกำลังย่างสามขุมมาหา ฝ่ายอุปราชหนุ่มก็ต้องหันไปรับมือหัวหน้าโจรร่างใหญ่ที่ง้างดาบเข้ามาหาเช่นเดียวกัน

เสียงโลหะกระทบกันดังก้องป่าอยู่นาน เจ้าศรีหิรัญจึงอาศัยจังหวะที่เจ้าหัวหน้าโจรเสียหลักจากแรงถีบของพระองค์ ฟันฉับลงบนต้นแขนซ้ายของมันเต็มแรง แล้วจึงหมุนองค์ไปทางเอื้องฟ้าหมายจะช่วย แต่กลับพบว่าสาวเจ้ากำลังกระโดดลอยตัวขึ้นสูง ก่อนจะตวัดมีดอุ่มใส่คู่ต่อสู้อย่างฉับไวจนอีกฝ่ายร่วงผล็อยลงไปกองกับพื้น

“เอื้องฟ้ามาทางนี้”ตรัสพลางรีบคว้าแขนเรียวพานางลัดเลาะไปตามดงไม้รกชัฏทึบทะมึน

เอื้องฟ้าวิ่งตามไปได้ระยะหนึ่งจึงถามเสียงหอบ “จะใดสูถึงบ่รอสิงห์คำก่อน”

“สิงห์คำช่วยเหลือตนเองได้ เดี๋ยวก็จักโตยมา”ทรงยืนยันมั่นเหมาะ

แม้เอื้องฟ้าจะยังค้างคาใจทว่านางก็เลือกที่จะไม่ถาม ปล่อยให้เจ้าอุปราชลากแขนถูลู่ถูกังเข้าไปในพงหญ้าสูงท่วมหัวภายใต้ควงไม้ใหญ่นานาพันธุ์แต่โดยดี

“เฮาจะกันหลบอยู่ที่นี่รอสิงห์คำ”

เจ้าศรีหิรัญดึงร่างบางให้นั่งลงก่อนยื่นพักตร์เข้าไปถามนางใกล้ๆ ใกล้เสียจนปลายจมูกแทบจะชนกัน “บาดเจ็บที่ไหนบ้างเอื้องฟ้า”

สาวชาวป่าขยับออกห่างพลางก้มหน้าปิดบังความร้อนผ่าวบริเวณพวงแก้ม แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองดวงพักตร์คมสันนั้นอีกครั้ง นางกลับต้องเบิกตากว้าง “หางคิ้วของสูแตกนี่”

เจ้าศรีหิรัญยกหัตถ์ขึ้นเช็ดโลหิตเหนียวๆที่ไหลเปรอะพักตร์คล้ายไม่ใส่ใจนัก “ช่างมันเต๊อะ เดี๋ยวมันก็หาย”

หากเอื้องฟ้าไม่เออออตาม นางกระตุกผ้าพันเอวของตนเองออก จากนั้นจึงใช้มีดอุ่มคมกริบในมือกรีดตามรอยยาวก่อนจะนำมันขึ้นมาผูกห้ามเลือดให้คนเจ็บ

“เฮานึกว่าสูจะชังเฮา”เจ้าศรีหิรัญตรัสขึ้นมาลอยๆ

เอื้องฟ้าเหลือบตาขึ้นมองผู้พูดอย่างขวางๆ “เฮาก็ยังชังสูอยู่ แต่เฮาบ่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ ร่วมเป็นร่วมตายกันมาจักปล่อยสูไว้ได้จะใด”

“ก็ยังดี”เจ้าศรีหิรัญแย้มสรวล ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีกลับถือวิสาสะใช้ลำแขนอันเต็มไปด้วยมัดกล้ามโอบร่างของนางเข้าหาตัว

เอื้องฟ้าแข็งขืน พลางยกกำปั้นขึ้นทุบเจ้าอุปราชดัง อึ๊ก!

ก็...เรื่องอะไรมาทำให้นางใจสั่นกลางป่ากลางดงเช่นนี้กันเล่า

“เสียงคนเดินมา”ทรงขยายความ

ได้ยินดังนั้นเอื้องฟ้าจึงยอมนิ่ง สายตาจดจ้องดูความเคลื่อนไหวรอบตัวอย่างจดจ่อ ความเป็นความตายกำลังอยู่ใกล้แค่เอื้อม นางและเขาจักรักษาชีวิตเอาไว้ได้หรือไม่...

“ค้นหามันให้พบ มันฟันหัวหน้าเฮาเกือบตาย กูเห็นมันวิ่งมาทางนี้ จะใดมันก็ไปไหนบ่รอดแน่ เพราะถัดจากนี่ไปก็เป็นหน้าผา”เสียงแข็งๆเหี้ยมเกรียมดังลอยมาตามลมแว่วๆ

“กูนึกออกแล้ว มีวิธีหนึ่งที่จักทำให้มันโผล่ออกมาโดยที่เฮาบ่ต้องเปลืองแรง”ว่าแล้วเจ้าคนเสียงเหี้ยมก็หัวเราะลั่น

เอื้องฟ้าและเจ้าศรีหิรัญหันมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย ชั่วครู่ฝ่ายหลังจึงพยักหน้าเป็นเชิงให้รอดูสถานการณ์ไปก่อน พร้อมทั้งกระชับวงแขนของตนแน่นเข้า โดยมิได้รู้เลยว่าผู้ที่อยู่แนบชิดกำลังแก้มแดงเรื่อไปทั้งแถบ

หัวใจของสาวน้อยเต้นตุบตับ แยกไม่ออกว่าเป็นเพราะหวาดกลัวภัยที่กำลังคืบคลานมาหรือเพราะวงแขนแกร่งอบอุ่นเต็มไปด้วยเลือดหนุ่มของเขากันแน่


นานเหลือเกินสำหรับการรอดูท่าทีของฝ่ายตรงข้าม เมื่อเห็นว่าพวกโจรป่าเงียบไปแล้ว เอื้องฟ้าจึงดันร่างออกจากอ้อมแขนของผู้ที่ตนเข้าใจว่าคือหมื่นศรีไปนั่งหน้าบึ้งอยู่ห่างๆ เจ้าศรีหิรัญรู้ถึงความคิดนางดีจึงทำไม่รู้ไม่ชี้หันไปบอกนิ่งๆ “ถึงมันจะเงียบไปแล้ว แต่เฮาก็ยังเชื่อใจแต๊บ่ได้ดอกเอื้องฟ้า โจรพวกนี้เหลี่ยมจัดนัก”

“เหลี่ยมจัด เหมือนสูน่ะสิ ในเวียงบ่มีแม่ญิงกา ถึงมาทำมือไวในป่าในเขาอย่างนี้ ระวังเต๊อะผีป่าอารักษ์จะหักคอเอา”

ขนงเข้มเลิกขึ้นข้างหนึ่งขณะเจ้าอุปราชตอบคำ “มือไวอะหยังกัน เฮาห่วงเจ้านะเอื้องฟ้า แต่จะว่าไปก็ถูกของเจ้าที่ว่าในเวียงบ่มีแม่ญิงที่เฮาเปิงใจ”

คราวนี้คิ้วเรียวโก่งของนางขยับเข้าหากันบ้าง แต่แล้วก็ทำเฉยเสีย ไม่โต้ตอบเพราะเกรงจะเข้าเนื้อเถือหนังตนเองไปมากกว่านี้

“อ้าว แล้วเจ้าจะบ่ถามเฮากาว่าเฮาเปิงใจแม่ญิงจะใด แบบไหน”

ดวงตาเขียวปั๊ดจ้องกลับ คางมนเชิดขึ้นขณะตอบ “บ่ถาม บ่ใช่เรื่องที่เฮาจะไปสู่รู้”

เจ้าศรีหิรัญอมยิ้มน้อยๆมุมโอษฐ์ ขยับองค์นั่งพิงต้นสักทองใหญ่ซึ่งยืนต้นเสียดสล้างคู่กับต้นตองตึง แววเนตรนั้นจ้องมองคู่สนทนาตรงๆ

พระองค์ไม่เคยเห็นแม่ญิงคนใดที่มีลักษณะเหมือนเอื้องฟ้าเลยสักคน นางเป็นสาวป่าที่ไม่เคยต้องเครื่องประทินผิว มิหนำซ้ำยังไม่ยี่หระยามตากแดดตากลม แต่ผิวของนางก็ยังเหลืองผุดผ่องดังทองทา นี่ถ้าจับไปแต่งองค์ทรงเครื่องดังสาวชาวเมืองสักหน่อยคงจะงามจับตาไม่น้อย แต่ชั่วแวบภาพที่นางกระโจนเข้าไปจัดการคู่ต่อสู่เมื่อครู่ก็เข้ามาดับฝันขององค์อุปราชไปเสียสิ้น พร้อมๆกับเสียงขุ่นคลักที่ดังมาจากผู้ถูกมอง “ดูหน้าเฮาจะใด บ่เคยเห็นคนรึ”

“คนน่ะเคย แต่บ่เคยหันแม่ญิงที่เหมือนผู้ชายอย่างเจ้า”

เอื้องฟ้าก้มลงมองร่างกายตน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแหวใส่ “เหมือนผู้ชายจะใด เฮาแค่เอาชุดผู้ชายมาใส่ออกเดินป่าเท่านั้น”

“บ่ใช่การแต่งกายของเจ้า เฮาหมายถึงความห้าวหาญและฝีมือเชิงดาบของเจ้าต่างหาก”

คนถูกชมยิ้มพราย “ก็พ่อเฮาเป็นครูดาบ เฮาก็ต้องมีฝีมือพ่องละ”

“ก็ถูกของเจ้า ว่าแต่ กลิ่นควันมาจากไหน” เจ้าศรีหิรัญเปรยพลางลุกขึ้นยืน หันมองไปรอบทิศ แล้วกลับเบิกเนตรค้างก่อนจะก้มลงบอกนาง“เอื้องฟ้า ไฟไหม้ป่า!”
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » พุธ 26 ก.พ. 2014 9:58 pm

บทที่ ๑๘

1964818_1470544423161941_198929660_n.jpg
1964818_1470544423161941_198929660_n.jpg (17.04 KiB) เปิดดู 11870 ครั้ง


เอื้องฟ้าทำหน้าตื่นอารามตกใจลุกพรวดขึ้นยืน รู้ดีว่าเขาไม่พูดเล่นแน่

แล้วมันก็จริง...

เหนือท้องฟ้าบริเวณนั้นเต็มไปด้วยหมอกควันสีขาว อีกทั้งถัดไปยังมีเปลวเพลิงลุกโชติช่วงเต้นเร่ากลางแสงแดดรอบทิศ

“ไฟล้อมเฮาไว้หมดแล้ว ทำอย่างไรดีหมื่นศรี”นางถามพลางดึงหัตถ์แข็งแกร่งของอีกฝ่ายออกมาเขย่า ในใจร้อนรน กังวลไปสารพัด

เจ้าศรีหิรัญทำหน้าขรึม กวาดดวงเนตรมองรอบตัวอยู่ครู่ใหญ่จึงเงยพักตร์ขึ้นจ้องควงไม้ใหญ่ซึ่งมีเถาวัลย์ห้อยย้อยก่อนจะตอบคำ “เฮาต้องเร่งมือเอาเถาวัลย์เหล่านี้มาต่อกันแล้วผูกโคนต้นไม้ไว้เพื่อโหนลงจากหน้าผา”

เอื้องฟ้าทำตาลุกหลังฟังจบ “โหนลงจากหน้าผาเนี่ยนะ”

“ถ้าเฮารีรออยู่ก็มีแต่ตายกับตาย แต่ถ้าลองเสี่ยงย่อมมีทางรอด”

นางคิดตาม หลังจากนั้นจึงทำหน้าเจื่อน “หน้าผาบ่ใช่ต้นไม้ แล้วก็บ่มีที่เกาะเลย”

เจ้าอุปราชได้ฟังจึงขยับไปใกล้นางแล้วดึงมือเรียวเฉลานั้นมากุมไว้ ปลุกปลอบ “บ่ต้องกลัวดอก ดอยนี้เป็นดอยก้อมบ่สูงเต้าใด เฮาจะลงไปก่อน แล้วคอยดูแลเจ้า”

“บ่สูงจริงรึ แล้วจะใดตอนเดินขึ้นมาถึงไกลมาก อีกอย่างเฮากลัวเถาวัลย์มันจะขาดด้วย” นางเถียง

คนฟังส่ายหน้า จากนั้นจึงตัดบทด้วยการผละไปทำตามที่บอกอย่างคล่องแคล่ว

เอื้องฟ้ามองการกระทำของเขาอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนตะโกนออกไปว่า “มา เฮาจะช่วย”

เพียงอึดใจทั้งสองก็ตัดเถาวัลย์ได้ตามที่ต้องการและนำมันมากองรวมกันไว้บนผืนหญ้า

จากนั้นจึงนำมันมาผูกต่อกันแล้วพันรอบต้นไม้สักขนาดใหญ่ต้นหนึ่งก่อนจะมัดแน่น

“สูต้องช่วยดูเฮาแต๊นะหมื่นศรี” เอื้องฟ้าย้ำ

ผู้ฟังยิ้ม “อ้ายสัญญาว่าจะดูแลน้องเท่าชีวิต ไปได้แล้ว ไฟลามเข้ามาใกล้เฮาสองคนเต็มทีละ”

นางขมวดคิ้วพร้อมถอนใจเฮือก “เฮาจะพยายามเชื่อสู”

ก่อนก้าวเดินเจ้าศรีหิรัญขยับองค์เข้าไปใกล้นางพลางดึงมือน้อยมากุมไว้และจ้องดวงตาดำขลับนิ่ง “ถ้าอยู่ เฮาก็จะอยู่โตยกัน ถ้าตาย เฮาก็จะตายโตยกัน เอื้องฟ้า ไปเต๊อะ ขอให้เชื่อใจอ้าย”

ควันสีขาวลอยคลุ้งเข้ามาโขมงขณะที่สาวน้อยพยักหน้า

ทว่าระหว่างที่ทั้งสองเดินแกมวิ่งไปยังเชิงผานั้น เจ้าศรีหิรัญก็ได้ยินเสียงคล้ายต้นไม้หักโค่นจึงหันไปมอง พบว่าต้นตองตึงใหญ่มีไฟลุกท่วมกำลังล้มครืนมาทางนี้

“เอื้องฟ้า ระวัง!”

แขนแกร่งตวัดดึงร่างบางของนางให้พ้นจากเพลิงนรก แล้วร่างสองร่างกลิ้งหลุนๆลงไปกองกับพื้นโดยที่องค์อุปราชใช้ร่างของตนรองรับร่างอีกฝ่ายไว้

วินาทีนั้นเอื้องฟ้าสัมผัสได้ถึงลมหายใจผะแผ่ว เสียงหัวใจของพระองค์เต้นตึกตัก หากยังทรงห่วงใย ไถ่ถาม “เจ็บที่ไหนก่อเอื้องฟ้า”

นางสั่นหน้าพร้อมทั้งยันกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็วขณะสองตาเบิกกว้าง “เร็วๆรีบลุกขึ้น ไฟลามมาแล้ว”

เมื่อเจ้าศรีหิรัญลุกขึ้นได้ก็คว้าข้อมือเอื้องฟ้าวิ่งสุดฝีเท้าไปยังเชิงผา ก่อนหันไปสั่งนางเสียงดุหลังถึงจุดหมายปลายทาง “ฟังให้ดีนะเอื้องฟ้า บ่ว่าจะอย่างใด น้องจะต้องโตยลงมาให้ได้ ก่อนที่ไฟจะไหม้เถาวัลย์”

หญิงสาวพยักหน้าพลางดันวรกายสูงใหญ่ให้เคลื่อนตัวลงจากหน้าผาก่อน

เจ้าศรีหิรัญใช้สองหัตถ์โหนเชือกเถาวัลย์ไว้แล้วใช้พระบาทยันหินผาลงไปอย่างระมัดระวัง หากใจยังคงห่วงผู้ที่กำลังจะตามลงมา “กำเถาวัลย์ไว้ให้แน่น หย่อนตัวลงมาแล้วเอาตีนยันก้อนหินไว้ ค่อยๆก้าวลงมา”

เอื้องฟ้าไม่ตอบคำ จิตใจนางจดจ่ออยู่กับการปีนป่ายลงจากผา ร่างบางค่อยๆหย่อนกายลงมาตามเถาวัลย์ช้าๆ ขณะที่สองหูก็ได้ยินเสียงไฟไหม้แตกดังเปรี๊ยะๆและเสียงต้นไม้ล้มโครมครามเป็นระยะๆ

“ข้างล่างนี่หินมันลื่น น้องเอาปลายตีนจิกหน้าผาไว้เน้อเอื้องฟ้า”สุรเสียงทุ้มนั้นแสดงถึงความใส่ใจสม่ำเสมอ จนคนฟังเกิดความอุ่นใจและรู้สึกปลอดภัยได้อย่างประหลาด

จวบจนได้ยินเสียงต้นไม้ล้มดังถี่ขึ้น และโดยไม่คาดคิด พลันนั้นเถาวัลย์ของทั้งคู่ก็แกว่งไปมาก่อนจะขาดผึง ทำให้ร่างสองร่างลอยละลิ่วลงสู่พื้นเบื้องล่างอย่างไม่ปรานีปราศรัย

“กรี๊ด!”เอื้องฟ้าหลับตากรีดร้อง รู้สึกได้ว่าตนเองกำลังลอยละลิ่วลงไปด้วยความรวดเร็ว

ฝุบ!

เสียงที่ดังขึ้นเมื่อร่างกายกระแทกพื้นด้านล่างกลับมิใช่เสียงโครมและไม่รุนแรงดังที่คิดเอาไว้แต่แรก เหมือนร่างค่อยๆทะลุผ่านกิ่งไม้ใบหนาทึบลงไปทีละชั้นจนมาค้างเติ่ง ณ ที่แห่งหนึ่ง

นางตกลงมาบนซอกระหว่างกิ่งของต้นไม้ใหญ่ ที่มีใบรูปกลมคล้ายใบบัวขนาดไล่เลี่ยกับกระด้งเรียงรายลดหลั่นกันไปเป็นชั้นๆ สาวน้อยกะพริบตาปริบ ขยับตัวแต่เพียงเล็กน้อยเพื่อสำรวจร่างกาย ทุกอย่างยังคงปกติดีจะมีก็เพียงอาการจุกเสียดเล็กน้อย ทว่าเมื่อนั่งนิ่งสักพักอาการดังกล่าวก็หายไป

‘แล้วหมื่นศรีเล่า เขาอยู่ที่ไหน’

เมื่อนึกขึ้นได้นางก็สอดส่ายสายตามองหาเขาพลางตะโกนเรียก “หมื่นศรี สูยังอยู่ก่อ”

เสียงใบไม้เสียดสีกันดังขึ้นก่อนที่จะมีเสียงตอบกลับมา “เฮาอยู่นี่เอื้องฟ้า”

เมื่อมองตามเสียงนั้น หญิงสาวจึงพบว่าร่างสูงของเพื่อนยากห้อยต่องแต่งอยู่ใต้กิ่งไม้ต่ำจากจุดที่นางคุกเข่ามองหาเขาอยู่

เวลานี้สองมือของเขาเกาะกิ่งไม้เอาไว้แน่น พลางขยับเข้าใกล้ลำต้นใหญ่ขรุขระนั้นให้มากที่สุดเพื่อจะได้ใช้เท้าดันตัวให้ขึ้นมาบนกิ่งไม้ให้ได้

ชั่วอึดใจอุปราชหนุ่มก็ทำได้สำเร็จ จากนั้นจึงทรงไต่กิ่งไม้เข้ามายังควงไม้ใกล้ๆเอื้องฟ้าแล้วทอดพระเนตรรอบองค์อย่างทึ่งๆ

“ป่านี่ท่าทางจะบ่ค่อยมีคนเข้ามาเท่าใดนัก ดูเอาเต๊อะมีแต่ต้นไม้ใหญ่ที่มีแต่ตะไคร่น้ำขึ้นเต็มไปหมดเลย”

เอื้องฟ้าใช้สองมือเกี่ยวกิ่งไม้เหนือหัวเอาไว้ พลางหยัดกายลุกขึ้นและขยับตามผู้ที่ยื่นหัตถ์ออกมาให้เป็นหลักยึดเกาะ

นางยื่นมือออกไปจับหัตถ์แกร่งอย่างว่าง่ายพลางออกความคิดเห็นบ้าง “เฮาว่าต้นไม้นี่ก็ดูประหลาด ป่าแถวบ้านบ่เห็นมี”

“นี่มันดอยคนละม่อนกับบ้านน้องนี่ ฝั่งนี้เป็นทิศตะวันตกของอุฉุบรรพต จะว่าไปแถบนี้ก็มีดอยสลับซับซ้อนหลายม่อนนัก แต่ตอนนี้เฮาลงจากต้นไม้กันก่อนดีกว่านะ”ทรงหันไปตรัสบอกเอื้องฟ้าและสังเกตได้ว่านางกำลังสนใจอะไรบางอย่างอยู่จึงทอดพระเนตรตาม

ดอกเอื้องสีขาวผ่องช่อหนึ่งซึ่งประดับอยู่บนคาคบไม้สูงขึ้นไปนั่นเองที่นางกำลังมองตาละห้อย

“รออยู่นี่ก่อนเน้อเอื้องฟ้า”ตรัสพลางเคลื่อนองค์ปีนป่ายกิ่งไม้ขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว เมื่อถึงยังจุดหมายจึงเด็ดเอื้องแซะช่องามลงมามอบให้หญิงสาว

เอื้องฟ้ามองตาปริบๆมิได้เอ่ยคำใด อีกทั้งไม่ยอมยื่นมือออกไปรับ

เจ้าศรีหิรัญเห็นท่าทีของนางก็ยิ้มพราย จ้องดวงตาคู่สวยนิ่ง “จะเอาทัดหูให้น้องก็ท่าจะบ่เปิง เพราะน้องแต่งเป็นผู้ชายแลโพกหัวเอาไว้อย่างนี้ เอาเป็นว่ารับไว้ก่อนเต๊อะ เผื่อน้องตะแหลง{ตะแหลง:แปลงกาย}เป็นแม่ญิงเมื่อใดอ้ายจะได้เอาไปทัดหูให้”

พวงแก้มคนฟังร้อนผ่าว

เป็นบ้าอะไรกันเล่าเอื้องฟ้า แค่คำพูดธรรมดาสามัญแท้ๆไยจึงพานให้เกิดความเขินอายขึ้นได้เล่า

“ลงจากต้นไม้ก่อนเต๊อะ อย่ามัวแต่พร่ำ” นางตัดบทแก้เขิน

ขนงเข้มขององค์อุปราชขยับขึ้นสูง “รับดอกไม้ก่อนกะ”

“เฮา...เอ่อ...เฮา” นางติดอ่างขึ้นมาเสียดื้อๆ

เรียวโอษฐ์สีสดขยับมุมขึ้นยิ้ม ก่อนจะนำดอกเอื้องแซะช่องามเหน็บแซมลงไปบนผ้าโพกหัวสีทึมของคนตัวเล็กกว่า “อย่างนี้ค่อยเป็นแม่ญิงขึ้นมาหน่อย แต่จะให้ดีลองยืนนิ่งๆสิ”

เอื้องฟ้านิ่วหน้าแต่ก็ยินยอมทำตามโดยไม่ว่ากระไร เจ้าศรีหิรัญขยับมุมโอษฐ์ขึ้นยิ้มน้อยๆแล้วใช้พระอังคุฐแตะลงบนพวงแก้มของหญิงสาวพลางบอก “เขม่าติดแก้ม”

เอื้องฟ้าแสร้งทำหน้างอกลบเกลื่อนความในใจ นางทำเป็นไม่ใส่ใจการกระทำอันอ่อนโยนนั้น ค่อยๆไต่ลงจากต้นไม้ใหญ่ซึ่งมีแต่ตาตะปุ่มตะป่ำสู่พื้นอันเต็มไปด้วยผืนหญ้าเขียวขจีอย่างว่องไว

“แล้วจะไปทางใดต่อ”นางถามหลังนั่งแหมะลงบนรากไม้ซึ่งโผล่พ้นพื้นดินขึ้นมา

เจ้าศรีหิรัญนั่งลงตรงข้ามพลางหันมองรอบกายก่อนจะตอบ “อ้ายบ่แน่ใจ แต่เฮาคงต้องเดินอ้อมดอยปิ๊กไปทางตะวันออกให้ได้ก่อน”

“แน่ใจแล้วรึ เฮาบ่มั่นใจเลย ยิ่งเหยียบว่านสาวหลงมาโตย จำได้ก่อ”

“ว่านสาวหลงที่ว่าทำให้หลงป่านั่นกา”

เอื้องฟ้าพยักหน้าหงึกหงัก “แม่นละ เพราะเหยียบมันนั่นล่ะ ถึงได้พาเฮาหลงมาถึงนี่”

“เฮาหนีไฟป่ากันมาก็ต้องหลงพ่องเป็นธรรมดา มันบ่ใช่เส้นทางปกติของเฮานี่”เจ้าอุปราชพยายามอธิบาย

แต่ท่าทางเอื้องฟ้าจะสนใจประโยคแรกอันขัดหูมากกว่า จึงท้วง “เฮาได้ยินสูเรียกเฮาว่าน้องมาหลายหนละ รู้ไว้โตยว่าเฮาบ่เปิงใจ”

ท่าทีของหญิงสาวดูปั้นปึ่งขณะพูด

‘ก็มันจริงนี่นา หมื่นศรีพยายามยกตนเป็นพี่เพื่อต้องการจะข่มนางเป็นแน่ แล้วจะให้คนอย่างเอื้องฟ้ายอมได้อย่างไร’

“ก็น้องอายุน้อยกว่าอ้ายนี่ จะให้เรียกว่าจะใดเล่า”

ใบหน้างามเชิดขึ้นพร้อมปรายตามองเขา “จะใดก็ได้ แต่สูบ่ใช่อ้ายเฮา บ่ใช่ญาติกัน”

เจ้าศรีหิรัญยิ้มกริ่ม ในใจนึกขำแต่ก็พยายามหาเหตุผลมาหักล้างความคิดนางให้จงได้
“ถึงจะบ่ใช่ญาติแต่เฮาก็เป็นศิษย์พ่อครูเหมือนกัน อ้ายมาก่อนก็ต้องเป็นอ้าย บ่เชื่อลองถามพ่อครูดูเอาเต๊อะ เฮามาพนันกันก็ได้ ถ้าพ่อครูตอบว่า...”

ถึงตอนนี้หญิงสาวกลับลุกขึ้นยืน โบกมือโบกไม้ให้วุ่น “บ่ต้องมาพนงพนันกับเฮา สูจะเรียกว่าใดก็ตามใจเต๊อะ ช่างสู ปะ ไปได้ละ เฮาอยากปิ๊กบ้าน”

เจ้าศรีหิรัญลุกขึ้นตามแล้วจึงกระโดดขึ้นไปยืนบนก้อนหินใหญ่ซึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางพงหญ้า เพื่อสำรวจสถานที่รอบตัวก่อนหันกลับมาเผชิญหน้าหญิงสาวรุ่นน้องอีกครั้ง

“เฮาเดินอ้อมไปทางขวาดีกว่า ทางซ้ายดูท่าจะเป็นป่าลึก”

เอื้องฟ้าพยักหน้าแกนๆ “จะเอาจะใดก็เอา เฮาอยากปิ๊กบ้านเต็มแก่ละ นี่ก็ตะวันจะตกดินแล้ว”

องค์อุปราชกระโดดลงมาจากก้อนหินพลางกอดอก ถอนหายใจ “แต่อ้ายว่า เฮาคงจะปิ๊กเรือนบ่ทันแล้วล่ะ เดินป่าเมื่อคืนบ่ดี สัตว์ป่ามีมากนัก อันตราย”

เอื้องฟ้าได้ฟังก็ทำมุมปากคว่ำอย่างขัดใจ “เฮาเป็นแม่ญิงจะให้มาค้างอ้างแรมกับสูได้จะใด เดี๋ยวผิดผีขึ้นมาจะยุ่งกันใหญ่”

“ผิดผี” เจ้าศรีหิรัญทวนคำยิ้มๆ “ที่จะต้องเสียผีแล้วก็แต่งงานกันได้น่ะรึ ก็ดีนี่ อ้ายยังบ่มีเมีย ได้น้องไปก็ดีจะได้จบๆไปเสีย แม่อ้ายก็ร่ำๆอยากได้ลูกสะใภ้เต็มแก่”

“เฮาบ่ชอบอู้เล่นอย่างนี้ ถ้าอยากได้เมียสูไปเซาะเอาตางหน้าเต๊อะ”สาวเจ้าสะบัดหน้าตอบ ใจหนึ่งก็หวิวๆไปกับคำพูดของเขา ทว่าอีกใจก็เคืองนักที่อีกฝ่ายมาเกี้ยวพาราสีกลางป่ากลางดงเอาดื้อๆ

“ขี้เกียจหา”

คำตอบง่ายๆของเขาทำให้หญิงสาวค้อนขวับ

เจ้าศรีหิรัญอมยิ้ม พลันเสียงหนึ่งก็ทำให้พระองค์ต้องนิ่งฟัง จากนั้นจึงคว้าข้อมือหญิงสาวลากหลุนๆให้ไปหลบอยู่ด้วยกันหลังก้อนหิน

“ชวู่ น้องบ่ดีโวยวาย มีเสียงม้าวิ่งมาทางนี้”

เอื้องฟ้าทำตาม ครู่ใหญ่จึงปรากฏว่ามีชายกลุ่มหนึ่งกำลังขี่ม้าผ่านมาจริงๆ

พวกเขาแต่งกายเหมือนโจรป่าที่ตามราวีทั้งสองบนดอยสูง ทว่าบัดนี้พวกมันได้ปลดผ้าคลุมหน้าออกหมดแล้ว

“มันคงจะตายไปในกองไฟแล้วหัวหน้า”ชายร่างท้วมบนหลังม้าสีนิลเป็นคนพูดขึ้นก่อน

หากชายร่างใหญ่ซึ่งเป็นหัวหน้ากลับแย้งว่า “บ่แน่ มันอาจจะกระโดดลงหน้าผาหนีไฟก็ได้”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจะเหลือรึ”อีกคนย้อนถาม

หัวหน้าโจรหัวเราะเหี้ยมเกรียม “ถ้ารอดไปได้ก็คงเป็นพญาอินทร์ตะแหลงมาแล้วล่ะ เหวลึกขนาดนั้น เป็นเฮาก็คงบ่รอด แต่ก็น่าเสียดาย ไอ้หน้าขาวนั่นมันมีฝีมือ เฮาบ่ได้ต่อสู้กับคนที่ฝีมือสูสีกันอย่างนี้มาเมินแล้ว”

“อ้าว แล้วจะใดหัวหน้าถึงสั่งให้เผามันล่ะ เฮานึกว่าหัวหน้าแค้นที่ถูกมันฟันเสียอีก”ชายร่างท้วมกล่าวต่อ

หัวหน้าโจรนึกเคืองแต่ก็ข่มความรู้สึกตนเอาไว้ ตอบมาเสียงเรียบ “จริงอยู่ เฮาแค้นที่มันทำให้เฮาต้องเจ็บตัว แต่เหตุผลที่พยายามฆ่ามันเพราะกลัวว่ามันจักมารู้ที่อยู่ของหมู่เฮาต่างหาก ดูท่าทางแล้วมันบ่ใช่คนธรรมดา เฮาต้องตัดไฟแต่ต้นลม”

“หมายความว่าจะใด”ชายร่างสันทัดถามต่อ

หัวหน้าโจรหันไปมองลูกน้องด้วยสายตาหมิ่นแคลน “ง่าว มึงนี่บ่สังเกตอะหยังเลยไอ้ใจ มึงหันการแต่งตัวของมันก่อ ตอนแรกที่เฮากึ๊ดจะปล้นมันก็เพราะหันว่ามันแต่งตัวดี น่าจะมีเงินมีทอง แต่พอประดาบกันแล้ว เฮาว่ามันคงจะเป็นทหารที่ทางการส่งมาสอดแนมมากกว่า”

“สุดท้ายก็ชวด” ชายร่างท้วมเปรยกลั้วหัวเราะ

หัวหน้าโจรหันขวับ มองอีกฝ่ายหมิ่นๆ “ก็ดีกว่าปล่อยให้มันปิ๊กไปบอกนายของมัน แล้วพาทหารมาจับหมู่เฮาไปตัดหัวล่ะน่า หรือสูต้องการให้เป็นอย่างนั้น สูอยากให้เฮาตาย จะได้มาเป็นหัวหน้าแทนอยู่แล้วนี่”

จบคำ หัวหน้าโจรจึงตวัดเชือกบนหลังม้าพาควบตะบึงนำหน้าไปก่อน ส่วนพวกโจรลูกน้องคุยกันอีกสองสามคำจึงควบม้าฝุ่นตลบตามไป

หลังพวกมันไปกันหมดแล้ว เจ้าศรีหิรัญจึงเปรยขึ้นมาเบาๆ “ท่าทางว่าซ่องโจ๋รจะอยู่บ่ไกลจากที่นี่”

“จะใด สูจะไปโตยดูกา”

องค์อุปราชสั่นหัว “โตยไปจะใด มันมีม้า เฮาเดินตีนเปล่า แค่รู้ว่ามันอยู่แถวนี้ก็พอละ เดี๋ยวค่อยจัดการทีหลังก็ได้ ตอนนี้ให้มันชะล่าใจไปก่อน”

“ถ้าอย่างนั้นก็พาเฮาปิ๊กเรือนได้ละ ก่อนที่พ่อจะเป็นห่วงเฮามากกว่านี้”

“อ้ายบอกน้องแล้ว ว่าเฮาต้องค้างคืนที่นี่”

“แต่เฮา...”

โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ อุปราชหนุ่มก็คว้ามือเรียวหมับ จับจูงพาเดินไปข้างหน้าลิ่วๆ “ใหญ่ละ บ่ดีเอาแต่ใจ ระยะทางมันไกล แล้วตอนนี้ม้าเฮาก็บ่มี อย่างใดก็บ่ทัน สู้น้องนอนพักเอาแรงสักคืน วันพูก{วันพูก:พรุ่งนี้}เฮาออกแต่เช้ามืดจะดีกว่า”

“เฮากลัวว่าพ่อกับคนอื่นๆจะเป็นห่วง”นางแย้ง

“บ่ดีกึ๊ดนัก ทุกคนย่อมรู้ว่านี่เป็นเหตุสุดวิสัย”เจ้าศรีหิรัญสรุปพลางกระชับอุ้งหัตถ์กุมมือเรียวแน่นขึ้น

ความอุ่นใจแล่นผ่านสัมผัสนั้นเข้าสู่หัวใจของเอื้องฟ้าอย่างช้าๆ ดุจเดียวกับความรู้สึกบางอย่างที่โอบคลุมหัวใจของนางโดยไม่รู้ตัว
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » พุธ 26 ก.พ. 2014 9:59 pm

“เฮาบ่รู้ว่าเจ้าอุปราชพาเอื้องฟ้าหนีไปทางใด ตอนหลังที่เฮาหลบหนีมาได้ก็เกิดไฟป่า เฮาเข้าไปบ่ได้ก็เลยวกมาตั้งหลักที่เรือน กึ๊ดว่าเดี๋ยวเจ้าอุปราชก็คงจะปิ๊กมา”สิงห์คำบอกเล่าเหตุการณ์ให้ผู้ที่นั่งอยู่บนแคร่ไม้ฟังอย่างย่อๆ

“ครูเชื่อว่าองค์อุปราชจะดูแลเอื้องฟ้าได้”พ่อครูอินถาพยายามมองในแง่ดี

สิงห์คำได้ฟังก็ระบายลมหายใจออกมาเบาๆพลางพยักหน้า “เฮาก็เชื่ออย่างนั้น เจ้าอุปราชมีพระปรีชาสามารถสูงส่ง ย่อมเอาตัวรอดและดูแลนางได้อยู่แล้ว”

“แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่พ่อครูเป็นห่วง”

“ผู้ที่นั่งต่ำกว่าเงยหน้าขึ้นถาม “อะหยังกาพ่อครู”

“ถ้าคืนนี้ทั้งสองบ่ปิ๊กมามันคงจะบ่งาม” พ่อครูชราตอบเสียงเครียด

“แต่บ่มีไผต้องการให้เป็นอย่างนั้น มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงบ่ได้นี่นา”

ฟังแล้วพ่อครูอินถาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เมื่อมันเป็นวาระที่จะเกิดเรื่องอย่างนี้ ก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามบุญตามกรรมละ”

“ขอให้พ่อครูเชื่อในพระเกียรติยศของเจ้าอุปราชเต๊อะ”

“เฮาเชื่อ เอาล่ะ สูไปอาบน้ำอาบท่าก่อนเต๊อะสิงห์คำ”

สิงห์คำไหว้ลาพ่อครูของตน จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปทางหลังเรือน พลางนึกตรองถึงท่าทีอุปราชของตน

เขาสังเกตมานานแล้ว ถึงความนัยจากสายพระเนตรคม ยามเมื่อทอดมองสาวชาวป่านั้นช่างอ่อนโยนและอบอุ่นเกินกว่าที่ทรงมองผู้ใด

ค่ำคืนนี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งมิตรภาพใหม่ของชายหนุ่มสูงศักดิ์และสาวชาวป่าก็เป็นได้
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง นวนิยาย

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน

cron