พระราชประวัติ ปฐมกษัตรีย์แห่งนครหริภุญชัย (๒)
- untitled-7.jpg (24.89 KiB) เปิดดู 34885 ครั้ง
ดินแดนล้านนา มีผู้คนตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยกันเป็นเวลานานมาแล้ว หลักฐานทางโบราณคดีพบร่องรอยการมีผู้คนอาศัยมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เพราะได้ขุดพบเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากหินในเขตจังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย นาย ชิน อยู่ดี ผู้เชี่ยวชาญวิชาก่อนประวัติศาสตร์ระบุว่าเป็นสมัยหินใหม่ แต่เรื่องราวในยุคหินใหม่ยังไม่มีการศึกษากัน
ส่วนจังหวัดลำพูนเดิม มีชื่อว่า หริภุญชัย หรือ หริภุญไชย "หริ" แปลว่า สมอ "ภุญชัย" แปลว่า ฉัน เป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดในล้านนา จากการค้นคว้าทางด้านโบราณคดีในภาคเหนือ ตามโครงการโบราณคดีประเทศไทยของกรมศิลปากรนั้น มีการขุดพบหลักฐานหลายอย่าง เช่น โครงกระดูกมนุษย์ ภาชนะดินเผาลายเชือกทาบ ภาชนะดินเผาลายเชือกทาบผสมลายเขียนสีแดงที่ส่วนคอและขอบปาก กำไลสำริด กำไลหิน กำไลแก้ว ลูกปัดแก้ว ขวานหินขัด เครื่องมือเหล็กและเตาเผา ที่บ้านวังไฮ อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน บ้านสันป่าคา และบ้านยางทองใต้ จังหวัดเชียงใหม
ทูลเชิญพระนางจามเทวีมาครองเมืองหริภุญชัย
เมือง หริภุญชัย สร้างขึ้นเมื่อราว พ.ศ. ๑๒๐๔ โดยวาสุเทพ ฤาษี (สุเทวฤาษี) เป็นผู้สร้างเพราะเห็นว่ามีชัยภูมิดี เป็นที่ที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประทับ และได้รวบรวมชาวบ้านผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในละแวกนั้น ให้อยู่รวมกันและปรึกษากับสุกกทันตฤาษีผู้เป็นสหาย ให้หาผู้ที่เหมาะสมมาครองเมือง ในที่สุด จึงตกลงขอพระนางจามเทวี พระธิดาของพระยาจักกวัติแห่งกรุงละโว้ (ลพบุรี) และเป็นพระมเหสีของเจ้าเมืองรามบูรณ์ (หรือรามราช อยู่ใกล้เมืองละโว้) มาครองเมืองหริภุญชัย ซึ่งขณะนั้น พระนางจามเทวีทรงมีพระครรภ์ได้ ๓ เดือน ระหว่างการเดินทาง พระนางจามเทวีทรงสร้างพระอาราม ณ บริเวณบ้านระมักและสร้างวัดกู่ระมักขึ้นเป็นแห่งแรก
พระนางจามเทวี พร้อมด้วยบริวารได้เดินทางมาหริภุญชัย ใช้เวลานาน ๗ เดือน พระนางทรงนำเอาพระแก้วขาว (เสตังคมณี) ซึ่งสร้างขึ้นที่เมืองละโว้ประมาณ พ.ศ. ๗๐๐ มาด้วย (ปัจจุบันพระแก้วขาวองค์นี้ประดิษฐานอยู่ที่วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่) วาสุเทพฤาษี และสุกกทันตฤาษี พร้อมด้วยชาวเมืองได้อัญเชิญพระนางจามเทวีนั่งบนกองทองคำ (กองหญ้าแพรก) แล้วทำพิธีราชาภิเษกเมื่อ พ.ศ. ๑๒๐๖
ประสูติพระโอรส
หลัง จากพระนางจามเทวีครองเมืองได้ ๗ วัน ก็ประสูติพระโอรสฝาแฝด ๒ พระองค์ ในวันเพ็ญเดือน ๓ พระโอรสองค์พี่มีพระนามว่า "มหันตยศ" องค์น้องพระนามว่า "อนันตยศ" หรือ "อินทวระ" พระนางจามเทวีได้นำขนบธรรมเนียมประเพณีอารยธรรมต่างๆ ของละโว้เข้ามาเผยแพร่ และได้ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ให้ชาวเมืองดำรงตนยึดมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม ด้วยอำนาจบุญบารมีของพระนาง จึงได้ช้างเผือกดั่งสีเงินยวง (ใสบริสุทธิ์) งาทั้งสองข้างมีสีเขียวเรียกว่า "ผู้ก่ำงาเขียว" (ช้างพลายผู้มีผิวกายเปล่งปลั่งและมีงาสีเขียว ซึ่งภาษาเหนือเรียกว่า ปู๊ก่ำงาเขียว ) จากเชิงเขาอ่างสลุง (อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่) มาเป็นช้างพระที่นั่งคู่บารมี
ต่อมาขุนวิลังคราช เจ้าเมืองลัวะ ยกทัพมาตีเมืองหริภุญชัย เพื่อชิงพระนางจามเทวีไปเป็นมเหสี เจ้ามหันตยศ และเจ้าอนันตยศ ได้ทรงช้างบารมีของพระนางนำไพร่พลออกสู้รบ ขุนวิลังคราชเห็นรัศมีสีแดงลุกโพลงอยู่ปลายงาช้างเผือก ก็ตกใจกลัวตายหนีไป เมื่อช้างเผือกคู่บารมีได้ล้มลง (ตายลง) พระนางจึงนำซากช้างฝังไว้พร้อมซากม้าพระที่นั่งของพระโอรส ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า "กู่ช้าง กู่ม้า"
พระนางจามเทวีเสด็จสวรรคต
เมื่อ พระราชโอรสทั้ง ๒ พระองค์ เจริญวัยขึ้น พระนางจามเทวี จึงสละราชสมบัติให้เจ้ามหันตยศครองเมืองหริภุญชัย และสร้างเมืองเขลางค์นคร (ลำปาง) ให้เจ้าอนันตยศไปครอง ส่วนพระนางก็บำเพ็ญศีลเจริญภาวนาปวารณาอยู่ในร่มพระพุทธศาสนาตลอดมา จนมีพระชนมายุได้ ๙๒ พรรษา จึงเสด็จสวรรคต พระเจ้ามหันตยศ ทรงจัดการพระบรมศพพระมารดาด้วยการสร้างพระเมรุในป่าไม้ยางแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับอารามวัดมาลุวาราม (วัดสันป่ายางหลวงที่พระนางจามเทวีทรงสร้างไว้) แล้วถวายพระเพลิง และสร้างสุวรรณจังโกฏิเจดีย์ บรรจุพระอัฐิหุ้มด้วยแผ่นทองคำ พร้อมทั้งเครื่องประดับของพระราชมารดา ตลอดจนสร้างวัดขึ้นและขนานนามว่า "วัดจามเทวี" ต่อมายอดพระเจดีย์หักพังลงมา ชาวบ้านจึงเรียกว่า "วัดกู่กุด"
วัด กู่กุด ซึ่งเป็นวัดคู่บารมีของพระนางจามเทวี ได้สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ ๑๓ เมืองหริภุญชัยมีพระนางจามเทวีเป็นกษัตริย์องค์แรกปกครองสืบๆ กันมาจนถึง ๔๙ พระองค์ มีพระยายีบาเป็นองค์สุดท้าย รวมอายุเมือง ๖๑๘ ปี พระยายีบาก็ได้เสียเมืองให้แก่พญามังรายเมื่อจุลศักราช ๖๔๓ (พุทธศักราช ๑๘๒๔) ปีมะโรง เดือน ๖ ขึ้น ๔ ค่ำ
รายนามกษัตริย์ ครองเมืองหริภุญชัย
๑ . พระนางจามเทวี เป็นปฐมกษัตริย์
๒ . พระมหันตยศ พระโอรสองค์ที่ ๑ ครองเมืองลำพูน
พระอนันตยศ พระโอรสองค์ที่ ๒ ครองเมืองลำปาง
๓ . พระยากูมัญญาราช
๔ . พระยาสุทันตะ
๕ . พระยาสุวรรณมัญชุ
๖ . พระยาสังสาระ
๗ . พระยาปทุมราช
๘ . พระยากุลเทวะ
๙ . พระยาธรรมมิกราช
๑๐ . พระยามิลักขะมหาราช
๑๑ . พระยาโนการาช
๑๒ . พระยาพาลราช
๑๓ . พระยากุตตะราช
๑๔ . พระยาเสละราช
๑๕ . พระยาอุตตราช
๑๖ . พระยาโยจะราช
๑๗ . พระพรหมทัตราช
๑๘ . พระยามุกขะราช
๑๙ . พระยาตระ
๒๐ . พระยาโยวราช
๒๑ . พระยากมะละราช
๒๒ . พระยาจุเลระ
๒๓ . พระยาพินไตย
๒๔ . พระยาสุเทวราช
๒๕ . พระยาเตโว
๒๖ . พระยาไชยะละราช
๒๗ . พระยาเสละ
๒๘ . พระยาตาญะราช
๒๙ . พระยาสักกีราช
๓๐ . พระยานันทะสะ
๓๑ . พระยาอินทวระ
๓๒ . พระยารักนะคะราช
๓๓ . พระยาอิทตยราช
๓๔ . พระยาสัพพสิทธิ์
๓๕ . พระยาเชษฐะราช
๓๖ . พระยาจักกะยะราช
๓๗ . พระยาถวิลยะราช
สมัยของพระนางจามเทวี ได้ทะนุบำรุงบ้านเมืองทั้งด้านการปกครองและการศาสนาดังนี้
ด้านการปกครอง
พระนางจามเทวีวางระเบียบการปกครองเป็นแบบ เวียง วัง คลัง นา ดังนี้
๑ . แต่งตั้งพระพี่เลี้ยง พระนาง เกษวดี เป็นผู้รักษาพระนคร และเป็นแม่กองบูรณะพระนคร
๒ . แต่งตั้งพระพี่เลี้ยง พระนางปทุมวดี เป็นผู้รักษากิจการต่างๆ ภายในพระราชวัง
๓ . แต่งตั้งพระยาโชติกราชเศรษฐี เป็นขุนคลัง
๔ . แต่งตั้งนักองค์อินทร์ เป็นพระยาโพสพ รักษาที่ดิน ไร่นาเกษตร
ด้านการศาสนา
พระ นางจามเทวี ทรงสร้างพระอาราม ๔ ทิศ ขึ้น ประจำจตุรทิศของพระนคร เพื่อเป็นพุทธปราการปกป้องคุ้มครองพระนครให้เจริญรุ่งเรืองปราศจากภัยพิบัติ ต่างๆ ดังนี้
๑ . วัดอาพัทธราม (วัดพระคงฤาษี) เป็นพุทธปราการประจำทิศเหนือ
๒ . วัดอรัญญิกรัมนการาม (วัดดอนแก้ว) เป็นพุทธปราการประจำทิศตะวันออก
๓ . วัดมหาสัตตาราม (วัดประตูลี้) เป็นพุทธปราการประจำทิศใต้
๔ . วัดมหาวนาราม (วัดมหาวัน) เป็นพุทธปราการประจำทิศตะวันตก
ส่วน กำแพงเมืองหริภุญชัยที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นกำแพงเมืองที่สร้างขึ้นในสมัยพระเมืองแก้ว พระองค์ทรงเห็นว่า ตัวเมืองลำพูนนั้นกว้างขวางมาก เวลามีข้าศึกศัตรูมาติดเมือง ยากจะป้องกันไว้ได้ จึงให้รื้อกำแพงเมืองเก่าออก แล้วก่อกำแพงขุดคูเมืองใหม่ให้แคบกว่าเดิม หลังจากนั้น มีกษัตริย์ปกครองเมืองหริภุญชัยอีกหลายพระองค์รวมทั้งสิ้น ๔๗ พระองค์
ที่มา :
๑ . ชินกาลมาลีปกรณ์ ฉบับหอสมุดแห่งชาติ
๒ . สังคีติยวงศ์
๓ . จามเทวีวงศ์
๔.
http://www.monlamphun.ob.tc