เกร็ดล้านนาและภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเหนือ โดย น้ำฟ้า

เรื่องราวของอาณาจักรล้านนา

Re: เกร็ดล้านนาและภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเหนือ โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » พุธ 16 ธ.ค. 2015 6:34 am

พระบรมราชานุสาวรีย์และศาลเจ้าพ่อขุนตาน เป็นที่สิงสถิตของดวงวิญญาณพญาเบิก เจ้าผู้ครองนครลำปาง (เมืองเขลางค์นคร) อนุสาวรีย์สร้างจากหินอ่อนประดิษฐานอยู่เหนืออุโมงค์รถไฟขุนตานด้านทิศตะวันตก และศาลเจ้าพ่อขุนตานประดิษฐานอยู่บริเวณด้านหน้าอุโมงค์รถไฟขุนตาน เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนและนักท่องเที่ยวโดยทั่วไป
42.jpg
42.jpg (149.42 KiB) เปิดดู 14118 ครั้ง


ประวัติเจ้าพ่อขุนตาน

ในปี พ.ศ. ๑๘๐๕ (จ.ศ. ๖๒๔) พญามังรายได้สร้างเมืองเชียงรายขึ้น และทรงเห็นว่าล้านนาแยกกันเป็นหลายวงศ์ ควรรวมกันเป็นแผ่นดินเดียวกันเสีย ดำริแล้วจึงยกทัพไปตีเมืองมอบไร เชียงคำ เชียงร้าง ฝาง เชียงของและเชิง ต่อมาจะตีเมืองลำพูน (หริภูญชัย) เพราะเป็นเมืองที่มั่งคั่ง แต่ขุนนางชื่อขุนฟ้า ค้านว่าเป็นการยากเพราะกำลังข้าศึกกำแหงนัก ควรใช้อุบายยุยงให้แตกแยกกันเสียก่อน ครั้นแล้วพญามังรายจึงทำอุบายเนรเทศขุนฟ้าออกจากเมืองฐานกบฏ ขุนฟ้าจึงได้ไปรับราชการอยู่กับพญายีบาเจ้าเมืองลำพูน นานถึง ๗ ปี และได้ทำอุบายต่างๆ ให้พญายีบากดขี่ราษฎร จนชาวเมืองเกลียดชังพญายีบา ครั้นแล้วพญามังรายก็ยกทัพไปตี เมืองลำพูนได้ โดยง่ายเมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๔ (จ.ศ. ๖๔๓)
DSC07367.JPG
DSC07367.JPG (92.1 KiB) เปิดดู 14118 ครั้ง

พญายีบาหนีมาอยู่กับพญาเบิกเจ้าเมืองลำปาง(เขลางค์) ผู้เป็นโอรส เวลาล่วงไป ๑๔ ปี พญาเบิก ทรงช้างชื่อปานแสนพล ยกทัพไปหมายจะตีเมืองลำพูนคืนให้พระบิดา พญามังรายให้เจ้าขุนสงครามทรงช้างชื่อแก้วไชยมงคลออกรับศึก ทั้งสองได้ทำยุทธหัตถีกัน ที่บ้านขัวมุงขุนช้างใกล้เมืองกุมกาม พญาเบิกถูกหอกแทงบาดเจ็บ และตีฝ่าวงล้อมออกมาได้ จึงมาตั้งรับอยู่ที่ตำบลแม่ตาล เขตเมืองลำปาง ได้สู้รบกันเป็นสามารถ ผล ที่สุดทัพลำปางแพ้ยับเยิน เจ้าขุนสงครามจับกุมตัวพญาเบิกแม่ทัพได้ และปลงพระชนม์เสียที่นี่ ดวงวิญญาณอันกล้าหาญเปี่ยมไปด้วยกตัญญูเวทิคุณนี้ จึงได้รับพระราชทานนามว่า "เจ้าพ่อขุนตาน" ซึ่งสถิตอยู่ศาลอันศักดิ์สิทธิ์ แห่งนี้

ศาลเจ้าพ่อขุนตานสร้างขึ้นเป็นที่สักการะแด่ดวงวิญญาณ การสร้างวีรกรรม และความกตัญญูกตเวทิตาของพญาเบิก โอรสพญายีบา แต่เดิมสร้างเป็นศาลเล็กๆ ต่อมามีการสร้างรูปหล่อเจ้าพ่อขุนตานและศาลขึ้นควบคู่กับศาลเดิม เพื่อให้ประชากรสักการบูชา กราบไหว้

ที่มา : จากพงศาวดารโยนก ฉบับหอสมุดแห่งชาติ

#มีการปรับแก้พระนามให้ถูกต้องตามพระนามจริงของกษัตริย์ล้านนา
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: เกร็ดล้านนาและภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเหนือ โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » เสาร์ 19 ธ.ค. 2015 7:32 am

ตำนานรักล้านนา เอื้องผึ้ง-จันผา

DSC_4873.jpg
DSC_4873.jpg (97.02 KiB) เปิดดู 14110 ครั้ง


ตำนานที่ ๑

เจ้าเอื้องผึ้งซึ่งเป็นคู่รักกับเจ้าจันทน์ผา จำใจต้องแต่งงานกับเจ้าจ๋วง เจ้าเอื้องผึ้งเสียใจที่ไม่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรักจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดจากหน้าผา เจ้าจันทน์ผาตามมาพบว่าเจ้าเอื้องผึ้งได้กระโดดหน้าผาไปแล้วจึงกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตายตามคนรักตกไปอยู่ใกล้กัน และเจ้าจ๋วงได้เห็นหญิงที่ตนรักกระโดดหน้าผาไปจึงรู้สึกเสียใจและตัดสินใจกระโดดหน้าผาตามลงไปด้วยแต่กระเด็นห่างออกไป ด้วยความรักแท้ระหว่างเจ้าเอื้องผึ้งและเจ้าจันท์ผา ในชาติต่อมาเจ้าเอื้องผึ้งจึงเกิดเป็นดอกกล้วยไม้เกาะอยู่ใต้ต้นจันทน์ผา และเจ้าจ๋วงก็เกิดเป็นต้นสน ณ จุดที่ตกไปนั้นเอง ( “จ๋วง” เป็นภาษาเหนือแปลว่าต้นสน “เอื้องผึ้ง” แปลว่ากล้วยไม้) หน้าผาแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า “ผาชู้” นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา....


ตำนานที่ ๒

สาวเอื้องผึ้งและหนุ่มจันผานั้นเป็นคู่รักกัน ทั้งสองสัญญากันว่าจะรักกันตลอดไป ไม่มีวันพรากจากกัน ถ้าหากแม้นคนหนึ่งตายไป อีกคนหนึ่งก็ไม่ขออยู่ต่อ และแล้วโศกนาฏกรรมก็มาถึงโดยที่ไม่มีใครคาดคิด


จันผาพาเอื้องผึ้งไปเที่ยวที่ดอย(ภูเขา) ชายหนุ่มเหลือบไปเห็นดอกไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งงอกอยู่ที่ต้นไม้ริมผา มีสีเหลืองอ่อน-เข้มแซมกันไป กลิ่นของมันหอมอ่อนๆ เขาคิดว่าคนรักของตนคงจะชอบ จึงปีนไปเก็บดอกไม้ชนิดนั้นอย่างระมัดระวัง แม้เอื้องผึ้งจะห้ามแต่จันผาก็ยังพยายามจะไปเด็ดดอกไม้มาให้ได้ และแล้วในที่สุดสิ่งที่เอื้องผึ้งกลัวก็เป็นความจริง จันผาพลาดตกลงไปในเหว เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลที่ยากแก่การเยียวยา ชายหนุ่มคอหักตายสนิท เอื้องผึ้งร่ำไห้ประหนึ่งหัวใจแตกสลาย เธอไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อไปจึงวิ่งเอาหัวชนกับแง่หินที่หน้าผาหวังตายตามคนรักเหมือนที่เคยให้สัญญาว่าจะรักกันตลอดไป

จันทร์ผา.jpg
จันทร์ผา.jpg (82.66 KiB) เปิดดู 14110 ครั้ง


ขอบคุณคลิปเพลงโดย Jaran Janchum
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: เกร็ดล้านนาและภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเหนือ โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » เสาร์ 26 ธ.ค. 2015 7:24 am

สาวงามเมืองเหนือยุคก่อนปีพ.ศ.๒๕๐๐

อัมพร.jpg
อัมพร.jpg (41.16 KiB) เปิดดู 14093 ครั้ง


คุณอัมพร บุรารักษ์ นางสาวไทย ปี พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นสาวงามจากเมืองพาน จ.เชียงราย ปัจจุบัน คือ คุณอัมพร พัฒนานนท์ ยังแข็งแรง ออกงานกุศลบ่อย สามีเป็นนายตำรวจ เกษียณราชการแล้ว เธอพักอยู่กับลูกหลานหลายคนที่เชียงใหม่


reply580981_F0045_3_img1.jpg
reply580981_F0045_3_img1.jpg (45.06 KiB) เปิดดู 14093 ครั้ง



คุณสุชีลา ศรีสมบูรณ์ นางสาวไทย ปี พ.ศ.๒๔๙๗ ภูมิลำเนาจังหวัดลำพูน

สืบเนื่อง.jpg
สืบเนื่อง.jpg (62.95 KiB) เปิดดู 14093 ครั้ง



คุณสืบเนื่อง กันภัย นางเอกภาพยนตร์ "สวรรค์มืด" นางสาวถิ่นไทยงาม ประจำปี ๒๔๙๙ ภูมิลำเนาจังหวัดเชียงใหม่

ขอบคุณเจ้าของภาพด้วยค่ะ เครดิตตามภาพนะคะ
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: เกร็ดล้านนาและภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเหนือ โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » เสาร์ 26 ธ.ค. 2015 7:08 pm

อนุสาวรีย์ช้างเผือก

อนุสาวรีย์ช้างเผือก2443.jpg
อนุสาวรีย์ช้างเผือก2443.jpg (138.68 KiB) เปิดดู 14093 ครั้ง


อนุสาวรีย์ช้างเผือก พ.ศ. ๒๔๔๓

จากตำนานบนแผ่นจารึกกล่าวไว้ในสมัยพญาแสนเมืองมา (กษัตริย์ลำดับที่ ๙ ราชวงศ์มังราย พ.ศ. ๑๙๓๑-๑๙๕๔) ได้มีมหาดเล็กชื่ออ้ายออบและอ้ายยีระ ได้ช่วยเหลือพญาแสนเมืองมาจากกองทัพสุโขทัย โดยผลัดกันแบกพระองค์เดินทางมาจนถึงที่ปลอดภัย จึงได้รับบำเหน็จให้เป็นขุนช้างซ้ายและขุนช้างขวา และสร้างบ้านเรือนอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเวียงเชียงโฉม (บริเวณวัดเจดีย์ปล่อง หน้ามหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่) และได้สร้างอนุสาวรีย์ช้างเผือกไว้บนถนนก่อนถึงประตูหัวเวียง (ประตูช้างเผือกในปัจจุบัน)

ในสมัยเจ้ากาวิละได้มีสร้างรูปปั้นช้างเผือก ๒ เชือกให้มีขนาดใกล้เคียงกับช้างตัวจริง หันหน้าไปทางทิศเหนือ และทิศตะวันตก และทำซุ้มครอบช้างทั้งสองเอาไว้ มีกำแพงล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน ทาด้วยสีขาว สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๓ และให้ชื่อช้างทั้งสองว่า พญาปราบเมืองมาร (ทิศเหนือ) และ พญาปราบจักรวาล (ทิศตะวันตก) ในช่วงเวลานี้ เจ้ากาวิละได้อพยพเทครัวชาวไทใหญ่ จากรัฐฉาน ประเทศพม่า ให้มาตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณประตูช้างเผือกและประตูช้างม่อย ต่อมาในสมัยพระเจ้าอินทวิชยานนท์เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ ๗ (พ.ศ.๒๔๑๖-๒๔๓๙) ได้อพยพเทครัวชาวไทใหญ่ บริเวณฝั่งตะวันออกของแม่นํ้าคง (แม่นํ้าสาละวิน) แถบบ้านแม่คะตวน ให้มาตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณวัดป่าเป้านอกเมืองเชียงใหม่ ชาวไทใหญ่เหล่านี้ล้วนศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้าจึงมีการสร้าง บูรณะ เปลี่ยนแปลง วัดในเขตบริเวณนั้น รวมถึงอนุสาวรีย์ช้างเผือกด้วย
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: เกร็ดล้านนาและภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเหนือ โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » เสาร์ 06 ก.พ. 2016 3:57 pm

ความเป็นมาของ การแต่งคำประพันธ์ ประเภทโคลง ภาษาล้านนาเรียก กะโลง , คะโลง

hqdefault.jpg
hqdefault.jpg (55.78 KiB) เปิดดู 13999 ครั้ง


...[โคลงนั้น] จะคิดแต่งเมื่อครั้งไรไม่ปรากฏ มีเค้าเงื่อนแต่ว่าโคลงนั้นดูเหมือนจะเป็นของพวกไทยข้างฝ่ายเหนือคิดขึ้น มีกำหนดอักษรนับเป็นบาทสองบาท สามบาท สี่บาท เป็นบทเรียกว่าโคลงสอง โคลงสาม โคลงสี่ โคลงเก่า ๆ มีที่รับสัมผัสและที่กำหนดใช้อักษรสูงต่ำน้อยแห่ง แต่มามีบังคับมากขึ้นภายหลัง เห็นจะเป็นพวกไทยข้างฝ่ายใต้ได้รับอย่างมาแต่งประดิษฐ์เติมขึ้น...
(สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ)



จากพระราชาธิบายของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สันนิษฐานว่าชาวไทยล้านนาเป็นผู้ประดิษฐ์โคลงขึ้น และชาวไทยทางใต้คือชาวกรุงศรีอยุธยารับไปดัดแปลงจนพิศดารขึ้น

โคลงของชาวล้านนานั้นเรียก “ครรโลง” “คะโลง” หรือ “กะโลง” มีสามประเภทคือ ครรโลงสี่ห้อง ครรโลงสามห้อง และ ครรโลงสองห้อง กับทั้งยังมีกลวิธีแต่งที่ปลีกย่อยมากมาย เช่น โคลงบทหนึ่งว่า “กรนารายณ์ หมายกงรถ บทสังขยา สราสังวาล...”

จากการศึกษาของลมูล จันทน์หอม ได้กล่าวถึงฉันทลักษณ์โคลงล้านนาว่า “…โคลง เป็นฉันทลักษณ์ของคำประพันธ์ที่เก่าแก่ของล้านนา ซึ่งเรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า กลอนโคลง คะโลง กะโลง หรือกั่นโลง เท่าที่ปรากฏหลักฐานจากวรรณกรรมที่แต่งด้วยโคลง อาจแบ่งโคลงออกเป็น ๕ ประเภท คือ โคลงดั้น โคลงสี่สุภาพ โคลงสาม โคลงสอง และโคลงกลบท…”

(ลมูล จันทน์หอม, ๒๕๓๒: ๓๐ - ๓๑)


หลักฐานที่แสดงว่าชาวล้านนาสนใจและนิยมแต่งโคลงมาแต่โบราณแล้วคือ จินดามณี ซึ่งกล่าวถึงโคลงลาวประเภทต่าง ๆ อันได้แก่ ๑. พระยาลืมงายโคลงลาว ๒. อินทร์เกี้ยวกลอนโคลงลาว ๓. พวนสามชั้นโคลงลาว ๔. ไหมยุ่งพันน้ำโคลงลาว และ ๕. อินทร์หลงห้องโคลงลาว

คำว่า “ลาว” ข้างต้น หมายถึง ชาวล้านนา ชาวอยุธยาแต่ก่อนเรียกรวมทั้งชาวล้านนาและชาวล้านช้างว่า ลาว

วรรณคดีของชาวไทยฝ่ายใต้เรื่องแรกที่ปรากฏโคลงคือ ลิลิตโองการแช่งน้ำ อันแต่งด้วยโคลงห้าและร่ายดั้นสลับกัน กับทั้งยังเป็นวรรณคดีเรื่องเดียวที่ปรากฏโคลงห้าอีกด้วย ต่อมาปรากฏเป็นรูปโคลงสี่ดั้นใน ลิลิตยวนพ่าย โคลงสุภาพ (โคลงสอง โคลงสาม และโคลงสี่) ในลิลิตพระลอ ส่วนโคลงสองดั้นและโคลงสามดั้นเกิดขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์นี้เอง อย่างไรก็ตามจากหลักฐานทางวรรณกรรมอาจกล่าวได้ว่ากวีนิยมแต่งโคลงดั้นมาก่อนโคลงสุภาพ
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: เกร็ดล้านนาและภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเหนือ โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » เสาร์ 06 ก.พ. 2016 5:33 pm

พญามังราย เป็นพระนามถูกต้องโดยมีหลักฐานสนับสนุนมากมาย เช่น ศิลาจารึก, ตำนาน, เอกสารเก่าทุกประเภท ส่วนเม็งราย เป็นพระนามคลาดเคลื่อนอยู่ในพงศาวดารโยนกที่แต่งใหม่สมัย ร.๕

พ่อขุน เป็นคำขึ้นต้นพระนามพระเจ้าแผ่นดิน (เทียบเท่าคำว่ากษัตริย์) เป็นประเพณีมีในรัฐสุโขทัย จึงไม่เคยพบเอกสารโบราณเรียกพ่อขุนมังราย [สรุปจากบทความเรื่อง มังราย, พญา ในหนังสือประวัติศาสตร์เบ็ดเตล็ด ของ ศาสตราจารย์ประเสริฐ ณ นคร สำนักพิมพ์มติชน พ.ศ. ๒๕๔๙]

พญามังราย เป็นลาวลูกผสมระหว่างลัวะกับลื้อ บรรพชนฝ่ายพ่อเป็นลัวะ ในตระกูลภาษามอญ-เขมร เริ่มจากปู่เจ้าลาวจก อยู่ดอยตุง (เชียงราย) ต่อมาคือท้าวฮุ่งท้าวเจือง (พะเยา) บรรพชนฝ่ายแม่เป็นลื้อ ชื่อนางเทพคำขยาย เมืองเชียงรุ่ง สิบสองพันนา (ยูนนาน ในจีน)

ลาว มีคำอธิบายของจิตร ภูมิศักดิ์ แปลว่าผู้เป็นนาย, ผู้เป็นใหญ่, กษัตริย์ แล้วมีนักวิชาการบางท่านสืบค้นพบว่า มัง เป็นภาษาลัวะ หมายถึงผู้เป็นใหญ่ ทางการที่เคยเรียกพ่อขุนเม็งราย ควรแก้ไขให้ถูกต้องตามหลักฐานประวัติศาสตร์ โดยไม่ดันทุรังไปน้ำขุ่นๆ ว่าเรียกอย่างนี้ เขียนอย่างนี้จนเคยชินแล้ว ขอให้เคารพหลักฐานประวัติศาสตร์ด้วย ดูแต่กองทัพไทยเคยเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าวันยุทธหัตถีคือ ๒๕ มกราคม แต่เมื่อนักวิชาการยืนยันว่าที่ถูกต้อง คือ ๑๘ มกราคม กองทัพไทยยังน้อมรับแล้วประกาศเปลี่ยนแปลงเป็น ๑๘ มกราคม ซึ่งควรยกย่องอย่างยิ่ง

ผู้เขียน สุจิตต์ วงษ์เทศ

ที่มา มติชนออนไลน์

เผยแพร่ ๒๘ ม.ค. ๒๕๕๙
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: เกร็ดล้านนาและภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเหนือ โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » เสาร์ 13 ก.พ. 2016 3:50 pm

ลุงต๋าคำ ครูดนตรีล้านนาผู้มาจากโลกมืด



ราวช่วงต้นศตวรรษที่ ๒๕ หรือประมาณพ.ศ. ๒๕๐๐-๒๕๒๐ เมืองเชียงใหม่ได้มีตำนานเล่าถึงวณิพกตาบอดกับ "ซึง" ประจำตัว พร้อมกับฝีมือบรรเลงที่เหนือดนตรีทั่วไป ต่อมาตำนานนี้ก็ค่อยๆเลือนหายไปกับกาลเวลา น้อยคนนักที่จะจดจำนักดนตรีตาบอดผู้นี้ ทว่าภายหลังก็มีการค้นพบฟิล์มภาพยนตร์ที่บันทึกภาพ ยืนยันถึงตำนาน “ลุงต๋าคำ” วณิพกตาบอดแห่งล้านนา ทำให้เรื่องราวของวณิพกผู้เชี่ยวชาญการดนตรีได้กลับมาเป็นที่ประจักษ์อีกครั้ง

ตำนานวณิพกตาบอดถ่ายทอดผ่านบทเพลง ลุงต๋าคำ จากเสียงร้อง และปลายปากกาของราชาโฟล์คซองคำเมือง จรัล มโนเพ็ชร คือหนึ่งในภาพจำที่คนทั่วไปรู้จักเกี่ยวกับตัวตนของลุงต๋าคำ มือซึงเทวดาแห่งล้านนา ตำนานยังเล่าว่าเสียงซึง และการขับซอของวณิพกเฒ่าสามารถเรียกฝูงนกให้บินลงมาเคล้าคลอเสียงเพลงได้อย่างน่าประหลาด

หากเรื่องเล่าเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงตำนานสำหรับ ไมเคิล เดนิสสัน อดีตอาจารย์อักษรศาสตร์ จุฬามหาวิทยาลัยผู้เคยเดินทางไปเชียงใหม่พร้อมลูกศิษย์ เพื่อบันทึกภาพยนตร์ ๑๖ มิลลิเมตร ของลุงต๋าคำ ในช่วง ๑๐ ปีก่อนที่วณิพกเฒ่าจะเสียชีวิตในวัยร่วม ๙๐ หลังจากนั้นประมาณ ๔๕ ปี เดนิสสันได้หอบเอาต้นฉบับดิจิทัลของภาพยนตร์ชุดนี้กลับมาเมืองไทยอีกครั้ง หวังฟื้นตำนานวณิพกตาบอดแห่งล้านนา เพื่อสร้างความรำลึกถึงปูชยบุคคลทางดนตรีเมืองเชียงใหม่

ไมเคิล เดนิสสัน บอกว่าเขาในตอนนั้นเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่กรุงเทพฯ และรู้จักกับ บรู๊ซ แกสตัน ผู้ซึ่งเล่าถึงลุงต๋าคำให้ฟัง และรู้สึกว่าคงต้องรีบทำอะไรสักอย่างเพื่อเก็บความทรงจำนี้ เขาจึงตัดสินใจขึ้นไปบันทึกภาพลุงต๋าเอาไว้เป็นเวลา ๙๕ นาที ซึ่งหลังจากเกษียณก็ตั้งใจว่าจะกลับมาทำงานชิ้นนี้ให้สำเร็จ โดยผลิตเป็นสารคดีออกฉาย ซึ่งจะสามารถเผยแพร่และรักษามรดกทางวัฒนธรรมชิ้นนี้เอาไว้ได้

"ฟังครั้งแรกก็รู้ว่าคนเล่นฝีมือไม่ธรรมดา เพราะแนวการเล่นที่เป็นทางแบบล้านนาโบราณต่างจากที่เคยได้ยิน" นี่คือสิ่งที่ บรู๊ซ แกสตัน อาจารย์หนุ่มชาวอเมริกันไฟแรงแห่งวิทยาลัยดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพในเวลานั้นบรรยายถึงเสียงซึงของลุงต๋าคำ หลังพบวณิพกเฒ่าบรรเลงเพลงเครื่องดนตรีประจำตัวอยู่หน้าโรงหนัง ทำให้เขาตัดสินใจฝากตัวเรียนรู้กับครูเฒ่าในทันที และเป็นหนึ่งในผู้ผลักดันให้มีการถ่ายภาพยนตร์เก็บไว้ในเวลาต่อมา ซึ่งยุคนั้นศิลปินล้านนากำลังถูกอิทธิพลจากภายนอก และการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบไร้รากเหง้าจนเอกลักษณ์ผิดเพี้ยนไปจากของเดิม ฟิล์มบันทึกภาพการเล่นซึงและการขับซอของลุงต๋าคำจึงมีความสำคัญในฐานะต้นแบบการบรรเลงมีคุณค่ากับการศึกษาดนตรีล้านนา

แม้เรื่องเล่าของวณิพกตาบอดแห่งล้านนาจะเหลือเพียงตำนาน หากในแวดวงศิลปินพื้นเมืองเชียงใหม่นั้น “ลุงต๋าคำ” วณิพกเฒ่า คือปูชนียบุคคลที่มีลูกศิษย์ติดตามจำนวนหนึ่ง ด้วยรูปลักษณ์และความยากจน ทำให้ลุงต๋าคำไม่เคยถูกยอมรับในวงกว้าง หากวณิพกเฒ่าไม่เคยใส่ใจต่อชื่อเสียง ยังคงตระเวนขับกล่อมผู้คนด้วยเสียงซึง ตราบจนวาระสุดท้าย

ขอคารวะต่อครูดนตรีผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนา เราขอเรียกท่านว่า “พ่อครูต๋าคำ” ผู้อยู่ในความทรงจำ

เรียบเรียงจาก บทความของ FB ลุงสิทธิ เมืองชื่นฯ
ขอขอบคุณ ไมเคิล เดนิสสัน ผู้เล่าขานตำนานลุงต๋าคำ
ไฟล์แนป
ลุงต๋าคำ.jpg
ลุงต๋าคำ.jpg (37.49 KiB) เปิดดู 13987 ครั้ง
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: เกร็ดล้านนาและภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเหนือ โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » เสาร์ 13 ก.พ. 2016 6:18 pm



น้อยไจยา : ต้นฉบับราชสำนักเชียงใหม่

บทเพลงซอล่องน่าน น้อยไชยา - แว่นแก้ว เป็นบทขับซอที่ท่านท้าวสุนทรพจนกิจ กวีเอกแห่งราชสำนักล้านนา ได้ประพันธ์ขึ้นเพื่อทูลเกล้าถวายพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เพื่อใช้ประกอบอยู่ในละครร้องแบบล้านนาเรื่อง น้อยไชยา - แว่นแก้ว ตามพระราชประสงค์ของพระราชชายาฯ อันที่จริงแล้วมีบทร้องอยู่จำนวนหลายทำนองในเนื้อเรื่องนี้ที่แสดงถึงเรื่องราวของน้อยไชยาและนางแว่นแก้ว แต่บทขับร้องในตอนนี้เป็นที่จดจำและคงเป็นอมตะ ต่อมาอาจารย์จรัญ มโนเพ็ชร ได้นำมาขับร้องคู่กับแม่ครูสุนทรีย์ เวชานนท์ จนกลายเป็นเพลงที่คุ้นหูของสาธารณชนทั่วไป แต่เนื้อร้องบางตอนที่นำมาร้องเป็นเพลงโฟล์คซองคำเมืองนั้น ก็มีความแตกต่างและผิดเพี้ยนไปจากเดิมบ้าง และมีการร้องไว้เพียงแค่ ๖ บท ซึ่งอันที่จริงตามแบบฉบับดั้งเดิมของราชสำ­นักมีบทคำร้องอยู่ ๘ บท....บทขับซอนี้ถือเป็นหน้าประวัติศาสตร์สำคัญที่ เจ้ายายเครือแก้ว ณ เชียงใหม่ (ศิลปินแห่งชาติ ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว) ผู้ได้รับการสืบทอดการขับร้องเพลงนี้มาจากราชสำนักเชียงใหม่ในสมัยที่พระราชายาเจ้าดารารัศมียังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ซึ่งเจ้าเครือแก้วได้ถ่ายทอดความรู้การขับร้องเพลงในราชสำนักไว้แก่คณาจารย์ของวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่ และลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก ดังนั้นอาจารย์พิพัฒน์พงษ์ หน่อขัด ผู้เป็นลูกศิษย์ของเจ้ายายเครือแก้ว ณ เชียงใหม่ และคณาจารย์ในวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ จึงได้นำบทร้องที่ถูกต้องตามแบบราชสำนักเชียงใหม่มาทำดนตรีให้ได้ความเป็นต้นฉบับที่ถูกต้องมากที่สุด ขับร้องไว้จนครบจำนวน ๘ บทตามแบบโบราณล้านนา ผู้ขับร้องหญิง ชื่อ นางสาววิไลย เชอหมื่อ บรรเลงดนตรีพื้นเมืองล้านนาโดยอาจารย์พิพัฒน์พงษ์ หน่อขัด และนายวิษณุการณ์ ทรายแก้ว ขับร้องถวายเป็นการบูชาคุณของปูชนียบุคคลแห่งล้านนา ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น และให้ลูกหลานล้านนาได้จดจำในคุณงามความดีนี้ชั่วนิรันดร์...
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: เกร็ดล้านนาและภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเหนือ โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » เสาร์ 20 ก.พ. 2016 11:41 am

Seal_of_Lanna_Chiangmai_(Full).jpg
Seal_of_Lanna_Chiangmai_(Full).jpg (63.14 KiB) เปิดดู 6881 ครั้ง


ประวัติศาสตร์ล้านนา ตอนที่ ๒๒ คำว่าล้านนาและหัวเมืองในดินแดนล้านนา

ล้านนา หมายถึง ดินแดนที่มีนานับล้าน หรือมีที่นาเป็นจำนวนมาก คู่กับล้านช้าง คือดินแดนที่มีช้างนับล้านตัว เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐ คำว่า "ล้านนา" กับ "ลานนา" เป็นหัวข้อโต้เถียงกัน ซึ่งคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งมี ดร. ประเสริฐ ณ นคร เป็นประธาน ได้ให้ข้อยุติว่า "ล้านนา" เป็นคำที่ถูกต้อง และเป็นคำที่ใช้กันในวงวิชาการ

ปัญหาที่นำไปสู่การโต้เถียงกันนั้น สืบเนื่องมาจากในอดีตการเขียนมักไม่ค่อยเคร่งครัดในเรื่องวรรณยุกต์ แต่ก็เป็นที่เข้าใจกันว่า แม้จะเขียนโดยไม่มีรูปวรรณยุกต์โทกำกับ แต่ให้อ่านเหมือนมีวรรณยุกต์โท สำหรับคำ "ลานนา" น่าจะมาจากพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ว่า "ลานนาหมายถึงทำเลทำนา" ซึ่งทำให้คำว่าลานนาใช้กันมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษ ภายหลัง พ.ศ. ๒๕๑๐ นักวิชาการระดับสูงพบว่าล้านนาเป็นคำที่ถูกต้องแล้ว และชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อ ดร. ฮันส์ เพนธ์ ค้นพบคำว่า "ล้านนา" ในศิลาจารึกที่วัดเชียงสา ซึ่งเขียนขึ้นในปี พ.ศ. ๒๐๙๖ อย่างไรก็ดี การตรวจสอบคำว่า ล้านนา ได้อาศัยศัพท์ภาษาบาลี โดยพบว่าท้ายคัมภีร์ใบลานจากเมืองน่านและที่อื่นๆ จำนวนไม่น้อยกว่า ๕๐ แห่ง เขียนว่า ทสลกฺขเขตฺตนคร อ่านว่า ทะสะลักขะเขตตะนะคอน แปลว่า เมืองสิบแสนนา เป็นคำคู่กับเมืองหลวงพระบางที่ชื่ออาณาจักร ศรีสตนาคนหุต หรือช้างร้อยหมื่น

คำว่าล้านนาน่าจะเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยพญากือนา เนื่องจากพระนาม "กือนา" หมายถึงจำนวนร้อยล้าน และต่อมาคำล้านนาได้ใช้เรียกกษัตริย์และประชาชน แพร่หลายมากในสมัยพระเจ้าติโลกราช

ส่วนการใช้ว่า #ล้านนาไทย นั้น เป็นเสมือนการเน้นความเป็นไทย ซึ่งใช้กันมาในสมัยหลังด้วยเหตุผลทางการเมือง

หลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า ดินแดนล้านนานั้นหมายถึงดินแดนบางส่วนของอาณาเขตบริเวณ ลุ่มน้ำแม่โขง ลุ่มน้ำสาละวิน แม่น้าเจ้าพระยา ตลอดจนเมืองที่ตั้งตามลุ่มน้ำสาขาเช่นแม่นำกก แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม แม่น้ำน่าน แม่น้ำปาย แม่นำแตง แม่น้ำงัด ฯลฯโดยมีอาณาเขตทางทิศใต้จดเมืองตาก (อำเภอบ้านตากในปัจจุบัน) และจดเขตดินแดนด้านเหนือของอาณาจักรสุโขทัย ทิศตะวันตกเลยลึกเข้าไปในฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสาละวิน ทิศตะวันออกจดฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขง ทิศเหนือจดเมืองเชียงรุ่ง (หรือคนจีนเรียกในปัจจุบันว่า เมืองจิ่งหง เนื่องจากคนจีนออกเสียงภาษา"ไทยลื้อ"ไม่ชัด จาก "เจียงฮุ่ง" จึงกลายเป็น "จิ่งหง" (Jinghong) ซึ่งบริเวณชายขอบของล้านนา อาทิ เมืองเชียงตุง เชียงรุ่ง เมืองยอง เมืองปุ เมืองสาด เมืองนาย เป็นบริเวณที่รัฐล้านนาแผ่อิทธิพล ไปถึงในเมืองนั้นๆ

ในสมัยโบราณได้กล่าวถึงเมืองขึ้นกับดินแดนล้านนามี ๕๗ เมือง ดังปรากฏในตำนาน พื้นเมืองของเชียงใหม่ว่า ใน สัตตปัญญาสล้านนา ๕๗ หัวเมือง แต่ก็ไม่ได้ระบุว่ามีเมืองใดบ้าง ปัจจุบันมีหลักฐานที่พม่านำไปจากเชียงใหม่ในสมัยที่พม่าปกครองเมืองเชียงใหม่ (พ.ศ. ๒๑๐๑-๒๓๑๗) และได้แปลเป็นภาษาพม่าต่อมาในปี ค.ศ. ๒๐๐๓ ทางมหาวิทยาลัย Yangon ได้แปลเป็นภาษาอังกฤษ ชื่อ Zinme Yazawin หรือตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ฉบับภาษาพม่า ได้ระบุเมืองต่างๆ ๕๗ หัวเมือง โดยแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่มเมือง คือ กลุ่มเมืองขนาดใหญ่ มี ๖ เมือง กลุ่มเมืองขนาดกลางมี ๗ เมือง กลุ่มเมืองขนาดเล็กมี ๔๔ เมือง เช่น เมืองฝาง เมืองเชียงของ เมืองพร้าว เมืองเชียงดาว เมืองลี้ เมืองยวม เมืองสาด เมืองนาย เมืองเชียงตุง เมืองเชียงคำ เมืองเชียงตอง เมืองน่าน เมืองเทิง เมืองยอง เมืองลอง เมืองตุ่น เมืองแช่ เมืองอิง เมืองไลค่า เมืองลอกจ๊อก เมืองปั่น เมืองยองห้วย เมืองหนองบอน เมืองสู่ เมืองจีด เมืองจาง เมืองกิง เมืองจำคา เมืองพุย เมืองสีซอ เมืองแหงหลวง เมืองหาง เมืองพง เมืองด้ง ฯลฯ

ภาพตราแผ่นดินล้านนา : วิกิพีเดีย

ที่มาของข้อมูล : สรัสวดี อ๋องสกุล. (๒๕๔๔). ประวัติศาสตร์ล้านนา. สำนักพิมพ์อมรินทร์., Zinme Yazawin, Chronicle of Chaing Mai, University Historical Research Centre, Yangon, 2003.
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: เกร็ดล้านนาและภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเหนือ โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » อาทิตย์ 03 เม.ย. 2016 4:59 pm

ดำหัวปี๋ใหม่เมือง

ไม่ใช่การรดน้ำดำหัวแบบภาคกลาง แต่ดำหัวของคนล้านนาจะเป็นการนำน้ำส้มป่อยพร้อมเครื่องสักการะไปมอบให้ผู้ใหญ่ ท่านอาจจะนำน้ำส้มป่อยขึ้นลูบศีรษะตนเอง หรือสลัดไปใส่ผู้มาดำหัวเช่นเดียวกับการปะพรมน้ำมนต์ พร้อมกล่าวให้พรอันเป็นสิริมงคล

10154089_621450481266090_1697889036_n.jpg
10154089_621450481266090_1697889036_n.jpg (91.61 KiB) เปิดดู 6845 ครั้ง



ทางล้านนาจะให้ความสำคัญกับประเพณีสงกรานต์มาก โดยจะมีรายละเอียดดังนี้

วันสังขานต์ล่อง (สังขาร) เป็นวันแรกของวันปีใหม่เมือง ซึ่งจะมีประเพณีการสระผมในวันสังขานต์ล่อง ในแต่ละปีตำราล้านนาจะระบุว่าให้สระผมแล้วหันหน้าไปทิศไหน การสระ สระด้วยน้ำขมิ้นส้มป่อย ท่องนะโม ๓ จบแล้ว ท่องคาถาว่า สัพพะทุกขา สัพพะภยา สัพพะอันตรายา สัพพะคะหา สัพพะอุปัทะว่า วินาสันตุ ท่อง ๓ จบจึงเสร็จสิ้นพิธีการ

วันเนาหรือวันเน่า เป็นวันที่ชาวล้านนาจะทำการขนทรายเข้าวัด และห่อขนม ห่อนึ่งเพื่อนำไปถวายพระและดำหัวคนเฒ่าคนแก่ ในวันจะนี้ห้ามทะเลาะวิวาท ด่าทอกัน

วันพญาวัน เป็นวันที่ชาวล้านนาจะไปทำบุญที่วัดและตานตุงตั๋วเปิ้ง (ตุงปีนักษัตร) พร้อมทั้งดำหัวคนเฒ่าคนแก่ การดำหัวคนเฒ่าคนแก่นั้น ทางล้านนาจะไม่เรียกว่า รดน้ำดำหัว ทั้งการดำหัวที่ว่านี้ ไม่ใช่การรดน้ำที่มือของผู้ใหญ่ แต่จะเป็นการนำขนม ดอกไม้ธูปเทียน น้ำขมิ้นส้มป่อย ฯลฯ ไปนอบน้อมต่อผู้ใหญ่ ซึ่งท่านจะปั๋นปอน(อวยพร)และผูกข้อมือให้





พรปีใหม่จะมีดังนี้



เอวังโหนตุ๊ อัจจะในวันนี้ ก่อเป๋นวันดี เป๋นวันศรีศุภภะมังคะละอันประเสริฐ ล้ำเลิศกว่าวันตั้งหลาย เป๋นวันดิถีอันวิเศษ เหตุว่าสังขารปี๋เก่าก็ข้ามล่วงไปแล้ว ปี๋ใหม่แก้วผญาวัน ก่อมาจุ๊ฮอดลอดเถิง ตั๋วเจ้าตังหลาย ก่อบ่อละเสียยังฮีตป๋าเวณีอันดีงามตี้ล่วงแล้วมาเมื่อป๋างก่อนตั๋วเจ้าตังหลายก่อบ่อผ่อนเสียยังศรัทธา จึ่งได้ตกแต่งแป๋งพร้อมน้อมนำมาซึ่งยังมธุรสะบุปผาลาจา น้ำขมิ้นส้มป่อย ข้าวตอก ดอกไม้ และลำเตียนสุกัณโทตกะทานะวัตถุตังหลาย และโภจนะอาหาร มาถวายเป๋นตานแก่ต๋นตั๋วแห่งข้า เปื้อจั๊กขอสูมาลาโต๊ด ผู้ก่อโผดอโหสิกรรม ตู๋ข้าก่อขอฮับเอาของต้านตังหลายแล้ว ตั้งแต่วันนี้ไปปายหน้า ขอหื้อต้านตังหลายเถิงจั๊กอยู่ก่อขอหื้อมีจัย แม้นว่าจั๊กไปก่อขอหื้อมีโจ้คมีลาภ ผาบแป๊ข้าศึกศัตตู๋ หมู่มารขออย่าได้มากล้ำกลาย ตุ๊กยากไร้ก่อขอหื้อจั๊กหน่ายเสีย ขอหื้อเจ้าตังหลาย จุ่งอยู่ด้วยสุขสามผะก๋าน มีพระนิพพานเป๋นตี้แล้ว ขออย่าได้คลาดคลา เตี้ยงแต้ดีหลี ต๋ามบทบาลี ตี้ได้กล่าวไว้ว่าสัพพีตีโย วิวัชชันตุ๊ สัพพะโรโก วินาสสันตุ๊ มาเต ภะวะตรั๋นตะระโย สุขีฑีฆายุโก ภะวะอะภิวาทะนะสีลิสสะนิจจั๋ง วุฒฒาปะจ๋ายิโน จัตต๋าโรธัมมา วัฒฑันติ อายุวัณโณ สุขัง พะลัง



วันปากปี



เป็นวันที่ชาวบ้านจะไปรวมตัวกันสะเดาะเคราะห์ โดยการนำเอาเสื้อผ้าของคนในครอบครัวไปร่วมพิธีที่วัด ในวันนี้ตามวัดต่างๆจะมีการไปดำหัวตุ๊พระตามวัดอื่นๆอีกด้วย



กำปัดเคราะห์



เคราะห์ ปู่ย่า เตปดาเมือง เคราะห์ต๋าเหลือง อิดอ่อน เคราะห์ไปก่อนและตวยหลัง เคราะห์ต่านจังตี่ด่า เคราะห์ต่านว่าจ๋าขวัญ เคราะห์ผิดผวนจักถูก เคราะห์มัดหลุดคืนมา เคราะห์ชราเถ้าถ่อย เคราะห์ไปก่อยมาแฮง เคราะห์ ฮักแปงพลักพราก เคราะห์ตุกข์ยาก บะมีของ เคราะห์ตกหนองข้ามต้า เคราะห์ปากว่าตี๋นไป เคราะห์น้ำไหลไฟคลอก เคราะห์ผีหลอกกล๋างคืน...

เคราะห์ สุราเมาเดือด เคราะห์เกี๋ยวเจือกมาปันเคราะห์หลายอันต่าง ๆเคราะห์บาทย่างเตียวตำ เคราะห์ตกขำตั้งอยู่ เคราะห์เป๋นคู่ผัวเมียเคราะห์กระเลยป๋มปาก เคราะห์ผีปีศาจ มาเบียดเบียน เคราะห์เปิ่นต๋ามเตียนใต้แคร่ เคราะห์ป้อแม่ขะกู๋ลวงศา หื้อตกจากก๋ายา พุทธรัตนา ธัมมะรัตนา สังฆะรัตนา

พุทธเสดาะออกไป ธัมมะเสดาะออกไป สังฆะเสดาะออกไป

ไสยะธิธัง หูลู หูลู สวาหาย...



ปัดเคราะห์เลาะภัย ฉบับ เจ้าน้อยแก้ว ณ เจียงใหม่ ปี พ.ศ. ๒๕๐๖





นอกจากนี้ยังมีวันปากเดือน และปากวัน ซึ่งชาวล้านนาจะถือเป็นวันพักผ่อนและม่วนงันสันเล้ากันอยู่





ปี๋ใหม่เมืองล้านนาเป็นประเพณีที่คงอยู่กับชาวล้านนามานาน อย่าลืมช่วยกันรักษาให้คงอยู่และร่วมกันนุ่งชุดผ้าเมืองด้วยนะคะ




ขอบคุณภาพจากสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วยค่ะ
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: เกร็ดล้านนาและภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเหนือ โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » ศุกร์ 08 เม.ย. 2016 4:18 pm

“กาแลและหำยนต์” จิตวิญญาณที่ถูกจองจำ

1194366656 - Copy.jpg
1194366656 - Copy.jpg (68.02 KiB) เปิดดู 5092 ครั้ง

กาแลความเท่บนหลังคา หำยนต์ความเท่บนประตูบ้านทรงล้านนา เมื่อเราพูดถึง กาแล หรือ แก๋แหล่ ทุกคนต้องเข้าใจว่าเป็นเครื่องประดับยอดนิยม และเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่ปลูกบ้านทรงไทยภาคเหนือ บ้านทรงล้านนาหรือทรงไทยภาคเหนือ จะมีไม้ไขว้ บนหลังคาทุกหลังและไม้ประดับไขว้นี้ ถูกนำไปตกแต่งสลักเสลา ด้วยลวดลายสวยงาม ส่วนหำยนต์จะเป็นแผ่นไม้สี่เหลี่ยมแกะสลักฉลุลาย ติดไว้บนประตูห้องในบ้านเป็นที่ภูมิใจของเจ้าของบ้านว่าภูมิฐาน สวยงามหนักหนา ที่จริงแล้วทั้ง “ กาแลกำหำยนต์ ไม่ใช่ของล้านนาครับ ” เราย้อนรอยเท้าบนเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์ ถ้าใครมีโอกาสได้ไปที่หอวัฒนธรรมนิทัศน์ วัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา ท่านต้องเปิดใจรับรู้ทางประวัติศาสตร์อ่านให้จบ ทบทวนแล้ว ในที่บางทีอาจจะต้องอึ้งกับสิ่งที่เรารับรู้มาตลอดชีวิต ว่า โอ้ว์...อึ้งกิมกี่ ...ว่าความเป็นจริงในนั้นมีคำอธิบายถึง ไม้สองชิ้น หมายถึง กาแลและหำยนต์ไว้ด้วย

เรื่องราวเกี่ยวกับหำยนต์และกาแลเอกลักษณ์หรือเครื่องหมายแห่งทาส

คนเมืองจะมีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์เรื่องของ “หำยนต์หรือหำโยน” ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ว่ามันเข้าไปเกี่ยวข้องกับวิถี การดำเนินชีวิตของคนล้านนาอย่างไรลักษณะของหำยนต์เป็นไม้กระดานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านบนเรียบ ด้านล่างฉลุเว้าเป็นรูปเสี้ยววงกลมสองรูปมาชนกัน ตรงกลางทำเป็นส่วนย้อยแหลมออกมาทางช่องประตู หำยนต์หรือหำโยนนี้ ทำเอาไว้เพื่อเป็นการข่ม ตามพิธีไสยศาสตร์ คำว่า หำ แปลว่า อัณฑะอาจจะเป็นได้ของสัตว์หรือคนเพศผู้ คำว่ายนต์นั้นคงจะหมายถึงศาสตร์อันลี้ลับแขนงหนึ่ง เพราะคนโบราณนั้น กระทำสิ่งไหนที่เป็นศาสตร์อันลึกลับแล้ว มักจะมีคำว่ายนต์ปะปนอยู่ด้วย เช่นคำว่ายนต์ฟัน ยนต์ฟ้าผ่า ยนต์น้ำท่วมและยนต์คัน ซึ่งคนโบราณจะทำเอาไว้ในสถานที่ต้องห้าม เช่นอุโมงค์เก็บสมบัติ ในกรุฝังสมบัติของเจ้าพระยามหากษัตริย์ในสมัยก่อน ๆ เล่ากันว่า เมื่อมีผู้บุกรุกเข้าไปในที่ซ่อนสมบัติแล้ว ยนต์ต่าง ๆ นั้นก็จะทำงานทันที ยนต์ฟันก็จะฟันจนร่างของคนที่บุกรุกขาดเป็นสองท่อน ยนต์ฟ้าผ่าก็จะทำให้เกิดฟ้าผ่า ยนต์น้ำท่วมก็จะทำให้เกิดน้ำท่วมขึ้นมา ยนต์คันก็จะทำให้ผู้บุกรุกเข้าไป มีอาการคันคะเยอไปทั่วร่างกาย และเกาจนขาดใจก็มี

576565_513969678680838_1608497516_n.jpg
576565_513969678680838_1608497516_n.jpg (64.85 KiB) เปิดดู 6776 ครั้ง


สำหรับหำยนต์หรือหำโยนนั้นเล่ากันมาว่า เมื่อครั้งที่นครเชียงใหม่ได้สูญเสียเอกราชให้กับพม่าแล้ว พม่ามีความเกรงกลัวว่า ในนครเชียงใหม่จะมีผู้มีอำนาจบุญญาธิการมาจุติกอบกู้เอกราช จึงบังคับให้ชาวเชียงใหม่ทุกครอบครัวสร้างบ้านให้มีลักษณะข่มตนเอง หรือข่มอาถรรพณ์ต่าง ๆ ที่จะเป็นภัยต่อพวกพม่าให้หมดสิ้นลงไปจึงบังคับให้บ้านแต่ละหลังนั้นต้องสร้างให้มี “กาแล” อันแปลว่า อีกาชำเลือง บางแห่งเรียก “แก๋แล” แปลว่า นกพิราบชำเรือง กาแลนั้นต้องให้หน้าจั่วบ้านนั้น ยื่นไม้ให้พ้นจากหลังคาออกไปเป็นรูปตัว v ซึ่งการไขว้ไม้ลักษณะนี้ จะพบเห็นในการปักไขว้กันบนหลุมฝังศพเด็กที่ตายลงไปอายุยังไม่ถึงสามขวบนัยว่าเป็นการปักไม้เพื่อสะกดวิญญาณ นอกจากนี้ไม่ว่าทารกแรกเกิดจะถือกำเนิดออกมาที่ไหนในนครเชียงใหม่แล้ว จะต้องบังคับให้ฝังรกที่ใต้บันไดทางขึ้นบ้านเพื่อข่มบุญบารมีให้หมดสิ้นไป ไม่ให้มีโอกาสมาซ่องสุมกำลังผู้คนกอบกู้เอกราชเพราะใต้บันไดนั้นเป็นที่ข้ามเหยียบของผู้คนทั้งคนผู้หญิงและชาย หำยนต์หรือหำโยนนี้ ก็เช่นกัน ก็คงมีไว้สำหรับข่มชาวเชียงใหม่ไม่ให้มีโอกาสดิ้นรนต่อสู้กับพวกพม่าต่อไป การข่มโดยเอาของต่ำไปไว้บนที่สูงให้ผู้คนชาวเชียงใหม่ได้ลอดผ่านไปมานั้น ก็เท่ากับกดให้เป็นเบี้ยล่างตลอดไป

คนรุ่นต่อ ๆ มาไม่ทราบถึงเหตุผลในข้อนี้ ก็คิดว่าเป็นของดี เป็นเอกลักษณ์ของชาวเชียงใหม่ ก็พากันสร้างสิ่งเหล่านี้มาประดับบ้าน โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้ก็คือเครื่องหมายของความเป็นทาสของชนชาติต่างเผ่าพันธุ์ที่เข้ามากดขี่ข่มเหงเรามาก่อนนั่นเอง

(หนังสือคำคมแห่งล้านนา( กำบะเก่า ) อำนวย กล่ำพัด รวบรวม เอื้องผึ้ง ระมิงค์พันธ์ เรียบเรียง : 2530)

หำยนต์ (อ่านว่า หำ - ยน )

หำยนต์คือแผ่นไม้แกะสลักที่อยู่ในกรอบเหนือประตูห้องนอนในเรือนกาแลของชาวล้านนา มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าและมีลวดลายที่สวยงาม เช่น ลายดอกไม้ ลายเครือเถา ก้านขด ลายเมฆ ลายน้ำ ลายประแจจีน หรือลายเรขาคณิตอย่างง่าย ชาวล้านนาเชื่อว่าหำยนต์มีพลังลึกลับที่สามารถดลบันดาลความเป็นไปแก่เจ้าของบ้าน มีการทำหำยนต์ขึ้นในเวลาสร้างเรือนใหม่ โดยนำแผ่นไม้มาผูกไว้กับเสามงคล (เสาเอก) เพื่อทำพิธีสูตรถอน และอัญเชิญอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาสถิตที่หำยนต์ จากนั้นแกะสลักแล้วทำการติดตั้งโดยมีพิธียกขันตั้งหลวง ประกอบด้วย ดอกไม้ ธูปเทียน หมากพลู ผ้าขาว ผ้าแดงและสุราอาหาร มีปราชญ์ประจำหมู่บ้านทำหน้าที่กล่าวอัญเชิญเทวดา อารักษ์ ผีบ้านผีเรือนมาปกป้องรักษาบ้านหลังนั้นให้อยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขอุดมสมบูรณ์การกำหนดขนาดของหำยนต์ ใช้วิธีวัดขนาดจากความยาวของเท้าเจ้าของบ้าน ถ้าเป็นประตูขนาดเล็กจะใช้ขนาดสามเท่าของเท้าประตูขนาดใหญ่จะวัดให้ได้ขนาดสี่เท่าของเท้าเจ้าของบ้าน โดยถือว่าการทำหำยนต์เป็นการข่มผู้ที่จะเดินลอดผ่านข้างใต้ด้วย เชื่อกันว่าหำยนต์เป็นสิ่งที่สามารถคุ้มครองป้องกันสิ่งไม่ดีที่จะเข้ามากล้ำกลายเจ้าของเรือนและครอบครัวได้ในด้านการใช้งานหำยนต์อยู่เหนือข่มประตูห้องนอนแบ่งพื้นที่ห้องนอนกับพื้นที่เติ๋น ( ชานร่มรับแขกบนเรือน ) เป็นการแบ่งพื้นที่ที่เป็นส่วนตัวของครอบครัวซึ่งนับถือผีตระกูลเดียวกันออกจากผู้มาเยือน และเป็นสัญลักษณ์แสดงความเป็นตัวตนของเจ้าของเรือนที่ผู้อื่นไม่ควรกล้ำกลายเข้าไปโดยพละการ การถลำก้าวล้ำเข้าไปถือเป็นการผิดผี จะต้องทำพิธีขอสูมาลาโทษ ทัศนะของนักวิชาการและปราชญ์ท้องถิ่นเกี่ยวกับหำยนต์มีมากหลาย เช่น เป็นยันตร์ที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันภัยอันตราย บ้างว่าอาจมีที่มาจากรูปแบบทับหลังซุ้มประตูในสถาปัตยกรรมเขมรที่ได้รับอิทธิพล มาจากชวาอีกต่อหนึ่ง แล้วแพร่หลายเข้าสู่ดินแดนล้านนา

ภายหลังอาจารย์สงวน โชติสุขรัตน์ อธิบาย คำว่า "หำ" ว่าเป็นภาษาล้านนาหมายถึง "อัณฑะ" อันเป็นสิ่งที่รวมพลังของเพศชาย ส่วนคำว่า "ยน" คงมาจาก "ยนตร์" แปลว่าสิ่งป้องกันรักษาที่ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นหำยนต์จึงเป็นส่วนตกแต่งเรือนและทำหน้าที่เป็นยันต์อันศักดิ์สิทธิ์ที่จะป้องกันอันตรายจากภายนอก อาจารย์ไกรศรี นิมมานเหมินทร์ สันนิษฐานว่า เมื่อครั้งที่สมัยพม่าเข้าปกครองล้านนา ได้บังคับให้คนเมืองอยู่อาศัยในบ้านที่มีรูปร่างคล้ายโลงศพของพม่า และหำยนต์เปรียบเป็นอัณฑะของพม่า เมื่อเจ้าของบ้านชาวล้านนาและคนในครอบครัวเดินเข้าออกห้องและลอดใต้อัณฑะนั้นก็จะถูกข่มและทำลายจิตใจไม่ให้คิดกระด้างกระเดื่องต่อพม่า ส่วนอาจารย์เฉลียว ปิยะชน อธิบายว่าเมื่อชาวล้านนาจะขายบ้านหรือซื้อบ้านต่อจากเจ้าของบ้านคนเก่า จะทำพิธีด้วยการตีหำยนต์แรงๆ หรืออาจทำลาย เพื่อขจัดความขลัง ถือเป็นการทำให้หมดความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นความเห็นที่ตรงกันกับอาจารย์ ไกรศรี นิมมานเหมินทร์ ส่วนอาจารย์มณี พยอมยงค์ เห็นว่า หำยนต์ อาจมาจากคำว่า ยันตะ แปลว่า ยันต์ของพระอรหันต์ โดยในลวดลาย ที่แกะสลักบนแผ่นหำยนต์นั้น น่าจะมีคาถาติดอยู่ อาจารย์อุดม รุ่งเรืองศรี สันนิษฐานว่า หำยนต์ น่าจะเรียกว่า หัมยนต์ มากกว่า มาจากคำว่า หัมมิยะอันตะ คำว่า "หัมมิยะ" แปลว่า ปราสาทโล้น หมายถึงเพิงบังแดดชั่วคราว คำว่า "อันตะ" แปลว่า ยอด รวมแล้วแปลความว่า ปราสาทที่ไม่มียอด และท่านเห็นว่าเป็นการทำเพื่อตกแต่งเรือนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องคาถาอาคมที่มาของชื่อและความหมายนั้นนับว่ามีข้อคิดเห็นที่หลากหลายนัก

สมัยที่ตนเป็นเด็กมีเรือนกาแลให้เห็นมากมายหลายหมู่บ้านในแถบพื้นที่นั้น ผู้เป็นเจ้าของเรือนจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้านเท่านั้น ซึ่งตรงกับเจ้าของเรือนกาแลของ ชาวลัวะ ในไทย ที่ต้องเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ที่เรียกว่า “ขุนสะมาง” และเมื่อเปรียบเทียบกับเรือนชาวลัวะในเมืองลา ใกล้ชายแดนตะวันออกของเมืองเชียงตุงที่ผู้เขียนมีโอกาสไปสำรวจเมื่อปีที่แล้วพบว่าเรือนชาวลัวะที่นั่นเหมือนกับเรือนชาวลัวะที่อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน และอำเภอแม่แจ่มจังหวัดเชียงใหม่ ต่างกันตรงที่เรือนลัวะ ที่เมืองลาหลายหลังมีขนาดใหญ่กว่ามาก และไม่ค่อยเห็นการตกแต่งกาแลที่แกะสลักบนยอดจั่ว ส่วนหำยนต์พบว่ามีใช้เหมือนกันแต่ฝีมือการแกะสลักไม่งามเท่าอย่างไรก็ดี เมื่อตรวจสอบกับข้อเท็จจริงในหลักฐานการดำรงชีวิตของชาวล้านนารวมทั้งชาวลัวะ ชนเผ่าที่มีเรือนกาแลคล้ายกัน

พอสรุปได้ว่า ชาวล้านนาแถบเชียงใหม่และชาวลัวะทางทิศใต้และตะวันตกของเชียงใหม่รวมทั้งในเขตพม่า ทำหำยนต์ขึ้นเป็นส่วนประกอบตกแต่งที่โดดเด่นพิเศษ แสดงความเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าของเรือนและตระกูล โดยใช้กำหนดเขตทางเข้าพื้นที่หวงห้ามส่วนตัว และเกี่ยวพันกับความเชื่อเรื่องพลังอำนาจเร้นลับที่ปกป้องสิ่งชั่วร้ายและไม่ให้เข้ามาในพื้นที่เฉพาะ ดลบันดาลความเป็นศิริมงคลรุ่งเรืองแก่เจ้าของเรือนและคนในเรือนหรือพูดอีกนัยหนึ่ง คือ (ใครเข้าประตูมาต้องลอดหว่างขากูเข้ามาละ ) หรือข่มไว้แล้ว คนที่มีครูจะไม่ล่วงล้ำเข้าไปในเขตเฉพาะที่หวงไว้ มีใครมานั่งคุยกันเจ้าบ้านก็จะนั่งบนข่ม ให้แขกนั่งข้างล่าง หรือเติ๋น ถ้าจะไปซื้อบ้านเก่าคนอื่นก่อนรื้อไปหรือเข้าอยู่ต้อง ทำพิธี “ บุบหำก่อน ” หมายถึงตีหำยนต์ของเจ้าบ้านเก่าให้แตกก่อน จึงจะเข้าไปดำเนินการใดๆ

ที่มา สุพิชัย สร้อยนาค ๒๕ มี.ค. ๒๕๕๙
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: เกร็ดล้านนาและภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเหนือ โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » อังคาร 12 เม.ย. 2016 7:04 pm

คาถาเสกส้มป่อย

โอม สิทธิก๋าร ครูบาอาจ๋ารย์หื้อแก่กู โอมประสิทธิพระฤๅษีทั้ง ๕ ต๋น โอมทิพพมนต์อันท่านประสิทธิหื้อแก่กู
กูจักมนต์ปู่ส้มป่อย ย่าส้มป่อย อันสูเจ้าเกิดมาฝ่ายหน้าขอกฟ้าจักรวาล สูเจ้าเกิดมาเป๋นต้นตะตุ้ม เป๋นตุ่มแต่เก๊า ต้นมึงจ้ำเมืองนาค ฮากมึงจ้ำดินดำ ลำมึงจ้ำดินแก่น ฅนทั้งหลายแล่นหามึงมาสระเกล้าดำหัว แม่นว่า
กูไปลอดฮาวขัวแสนท่า แก้เนอปล่อยเนอ
กูไปลอดขี้หม่าน้ำจำ แก้เนอปล่อยเนอ
กูไปถูกดินดำแกบก้อง แก้เนอปล่อยเนอ
กูไปต้องหลังเฮือนแห่งท่าน แก้เนอปล่อยเนอ
กูไปถูกยาแฝดแห่งท่านมาทา แก้เนอปล่อยเนอ
กูไปถูกอ้ายลาน้อยตาเหลือง แก้เนอปล่อยเนอ
กูไปถูกผีแดนเมืองแลท่งนา แก้เนอปล่อยเนอ
กูได้ขำคาแต่ปีก่อน แก้เนอปล่อยเนอ
กูได้เดือดฮ้อนบ่ห่อนหาย แก้เนอปล่อยเนอ
กูได้ขงขวายฮิบ่มา แก้เนอปล่อยเนอ
กูได้ท่องค้าก็ค้าบ่ขึ้น แก้เนอปล่อยเนอ
โอม ทุรา ทุรา ดพทุรา สวาหาย ฯ
โอม พุทโธ พุทธัง รักษา ธัมโม ธัมมัง รักษา สังโฆ สังฆัง รักษา พุทโธ พุทธัง กั๋ณหะ ธัมโม ธัมมัง กั๋ณหะ สังโฆ สังฆัง กั๋ณหะ โอม สิริมา มหาสิริมา เตชะยัสสะลาภา อายุวัณณา ภะวันตุ เม ฯ

(สำนักส่งเสริมวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง ร้อยเรื่องเมืองล้านนา

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 68 ท่าน

cron