ตำนานรักสะพานนวลฉวี (สะพานนนทบุรี)
- 182485.jpg (74.44 KiB) เปิดดู 6557 ครั้ง
ยามรัก..ความรักคือยาชูกำลังอันล้ำค่า ทว่ายามหมดรักแล้ว ความรักนั้นกลับกลายเป็นเพชฌฆาตที่มีแต่ความโหดเหี้ยม สามารถทำลายล้างได้ทุกสิ่ง เช่นเดียวกับความรักของนวลฉวี พยาบาลสาวผู้บูชาความรักยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ชีวิตรักของเธอเริ่มต้นในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ซึ่งนวลฉวีได้เดินทางเที่ยวทางภาคเหนือกับเพื่อนชื่อโมทนี และพบรักกับหมออธิป สุญาณเศรษฐกร ผู้เปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล
หมออธิป สุญาณเศรษฐกร เกิดและโตในกรุงเทพฯ เป็นบุตรคนสุดท้องในลูก ๕ คน ในครอบครัว พ่อแม่เป็นข้าราชการในกระทรวงพาณิชย์ อดีตเคยเป็นคนในจังหวัดฉะเชิงเทรา หมออธิปเป็นหนุ่มที่หน้าตาค่อนข้างดี ใจเย็น และฉลาดเฉลียว เขาสามารถศึกษาชั้นเตรียมวิทยาศาสตร์จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยจนจบเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๔ โดยช่วงเวลาว่างหมออธิปจะสมัครทำงานที่อู่รถใกล้บ้าน เพื่อเก็บเงินซื้อหนังสือเรียนและซื้อขนมกิน
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ หมออธิปจบการศึกษาแพทย์ศาสตร์ จากสิริราชพยาบาล ได้รับหมายเกณฑ์เข้าประจำสำรองราชการ กรมกำลังพลทหารอากาศ ได้รับว่าที่เรืออากาศโท เข้ารับราชการเป็นนายแพทย์อยู่โรงพยาบาลรถไฟ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ หมออธิปย้ายไปเป็นแพทย์รถไฟ หัวหน้าเขต ๔ จังหวัดลำปาง จนพบรักกับนวลฉวีในเวลาต่อมา..
ด้วยความเปล่าเปลี่ยวของหนุ่มเมืองที่ต้องห่างไกลความเจริญมาอยู่ท่ามกลางความสงบเงียบแห่งบ้านป่า เมื่อมีโอกาสได้ทำความใกล้ชิดกับหญิงสาวที่มีเสน่ห์ และรู้จักเอาใจอย่างนวลฉวี ทำให้หมออธิปมีความสุขและมีชีวิตชีวา ความรักใคร่ที่ค่อยๆ ก่อเกิด ชั่วระยะเวลาไม่นานที่ได้อยู่ด้วยกันนี้ สองคนหนุ่มสาวก็ผูกจิตปฏิพัทธ์ และต่างรู้ว่าอีกฝ่ายก็มีใจให้เช่นกัน
หมออธิปได้ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์พาหญิงสาวทั้งสองเที่ยวด้วยกันประมาณ ๓-๔ วัน หลังจากนั้นนวลฉวีกับเพื่อนก็อำลาหมอเดินทางไปที่เชียงใหม่ต่อ ทิ้งความหลังอันหวานชื่นไว้ที่นครลำปาง ดินแดนแห่งการคร่ำครวญหวนหาของนวลฉวี เธอพบชายหนุ่มในดวงใจเข้าแล้ว
ต่อมาจดหมายจากกรุงเทพฯ ของนวลฉวี ถูกส่งไปถึงมือหมออธิปที่นครลำปางเป็นระยะๆ จนกระทั้งผ่านไป ๖ เดือน หมออธิปย้ายกลับโรงพยาบาลดังเดิม เขาทำการติดต่อนวลฉวี โดยใช้สื่อทางจดหมายแทนโทรศัพท์เป็นระยะ ความรักทั้งสองยิ่งแน่นแฟ้นจนกลายเป็นสามีภรรยาโดยพฤตินัย โดยใช้บังกะโลและโรงแรมเป็นเรือนหอชั่วคราว
ความรักของคนสองคนดำเนินไปอย่างหวานชื่น โดยต่างฝ่ายปิดบังอำพรางธาตุแท้ของตนเอง...
เดือนกุมภาพันธ์-ธันวาคม ๒๕๐๑ นวลฉวีล้มป่วยในโรงพยาบาลยาสูบ ๑ เดือน หมออธิปไปเยี่ยมนวลฉวีหลายครั้ง อาการของเธอบ่งบอกว่าตกเลือดมาก แต่เธอไม่บอกใครว่าเธอป่วยเป็นโรคอะไร แต่ดูจากอาการหมออธิปรู้ทันทีว่าเธอคงแท้งลูก
ชีวิตของหมออธิปเริ่มยุ่งเหยิงขึ้น เนื่องจากการมีผู้หญิงเข้ามาในหัวใจของหมอ นางสาวสมบูรณ์ สืบสมาน นักศึกษาสาวแห่งมหาวิทยาลัยเทคนิคทุ่งมหาเมฆ ปีสุดท้าย เธอเป็นเพื่อนตั้งแต่เด็กของหมออธิป และเธอสวยเหลือเกิน
ต่อมาหมออธิปสอบได้ทุนฮุมโบลก์ไปเรียนต่อที่ประเทศเยอมัน เนื่องจากโรงพยาบาลรถไฟจะเป็นแผนกใหม่ พอกลับมาหมออธิปก็เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกตาที่นี่
ในเดือนมกราคม ๒๕๐๒ ทางการรถไฟส่งหมออธิปไปฝึกงาน โรคหู ตา จมูก ที่โรงพยาบาลศิริราช ๖ เดือน ตอนเย็นก็ไปเรียนภาษาเยอรมันที่เลขาทูต ทำให้เวลาที่หมอได้เจอนวลฉวียิ่งหดหายไป ฝ่ายนวลฉวีเริ่มระแคงระคายความรักของหมออธิป ด้วยความหึงหวง เธอถึงกลับใช้วิธีต่างๆ เพื่อจับหมออธิปให้อยู่หมัด ไม่ว่านั่งเฝ้าหมอในที่ทำงาน ตามทุกหนทุกแห่งเหมือนเงาตามตัว แทนที่หมออธิปจะรักกลับเพิ่มความรำคาญมากขึ้นเสียอีก
๑๑ มีนาคม ๒๕๐๒ หมออธิปจดทะเบียนสมรสกับนวลฉวี เพชรรุ่ง ที่ อำเภอยานนาวา หมออธิปกล่าวถึงวันนั้นว่า "ที่จริงผมไม่อยากจดทะเบียนกับเธอหรอก เพราะอะไรหรือ มันก็พูดยาก หลายเรื่องบอกไม่ถูก คือเขาชอบตามผมทุกวันทุกคืน งานการเขาก็ไม่ทำ มานั่งเฝ้า ผมรำคาญสุดๆ ผมไม่อยากจดหรอก แต่จดก็จด มันอยากให้จดก็จดไป จะได้ตัดปัญหาซะที"
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ๑๗ มีนาคม ๒๕๐๒ หมออธิปจดทะเบียนสมรสกับ นางสมบูรณ์ สืบสนาม ที่อำเภอพระเนตร โดยเป็นการสมรสซ้อน "....พอผมจดทะเบียนกับนวลฉวี สมบูรณ์เขารู้ ขอจดทะเบียนกับเขาอีก ผมก็ตัดปัญหานี้ไป อยากให้เรื่องมันเงียบหาย จะได้ไม่ไปบอกใครให้เป็นขี้หูคนอื่น" แต่กระนั้นนวลฉวีและสมบูรณ์ก็มีเรื่องระหองระแหงกัน นับตั้งแต่จดทะเบียนกับหมออธิปถึง ๗ ครั้ง เคยทะเลาะกันในโรงพยาบาลที่หมออธิปทำงานอยู่ จนหมออธิปเคยขอผู้หลักผู้ใหญ่ให้ออกคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้หญิงสองคนนี้เข้าในโรงพยาบาลอย่างเด็ดขาด"
นวลฉวีเองก็เคยไปฟ้องเรื่องของนางสมบูรณ์กับอาจารย์ที่วิทยาลัยเทคนิคทุ่งมหาเมฆหลายครั้ง เพราะแม้ว่านวลฉวีจะจดทะเบียนสมรส แต่เธอยังไม่ได้แต่งงานกับหมออธิปสักที แถมหมอก็ไม่เอาใจใส่ตนเหมือนครั้งก่อนๆ เธอต้องการแต่งงานกับเขา เธอต้องใช้วิธีต่างๆ ที่จะจับเขาให้อยู่หมัด และนีเป็นจุดเริ่มต้นที่นวลฉวีก้าวผิดจังๆ
พฤษภาคม ๒๕๐๒ นวลฉวีบอกครอบครัวว่าเธอกับหมออธิปจะแต่งงานกัน ครอบครัวจึงเชิญให้หมออธิปมากินข้าวเย็นด้วยกัน เพื่อคุยเรื่องแต่งงาน แต่หมออธิปไม่รู้เรื่อง ตอบไปว่า "ผมไม่ได้บอกเธอครับ เธอคิดไปเอง"
๔ มิถุนายน ๒๕๐๒ พ่อของนวลฉวี มาพบนวลฉวีที่กรุงเทพฯ นวลฉวีบอกพ่อว่าเธอได้เสียกับหมอแล้วตอนทำงานที่โรงพยาบาลรถไฟ หมออธิปรู้ข่าวจึงบอกว่าจะเลี้ยงดูนวลฉวีให้ แต่เรื่องก็เงียบหายไป
๕ มิถุนายน ๒๕๐๒ นวลฉวีพบหมออธิปอยู่กับผู้หญิงในโรงพยาบาลรถไฟ เกิดการทะเลาะวิวาทขึ้น
๑๑ หรือ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๐๒ นวลฉวีบอกกับพี่เขยว่า จะไปอยู่กับหมออธิป โดยเตรียมขนของแล้ว ส่วนหมออธิปรู้เรื่องนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้
๑๓ มิถุนายน ๒๕๐๒ นวลฉวีถูกไล่จากบ้านหมออธิป(ตอนนั้นหมออธิปไม่อยู่บ้าน) เพราะเธอมารอตั้งแต่เช้าจนถึงตี ๑ ไม่ยอมกลับ พอหมออธิปกลับมาบ้านก็โดนครอบครัวด่าว่า "เมียแกคนบ้าหรือเปล่าเนี้ย"
เหตุการณ์ครั้งนี้นวลฉวีได้ระบายเรื่องทั้งหมดลงใน "สมุดบันทึก" ซึ่งภายหลักสมุดเล่มนี้กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่ใช้สืบหาฆาตกรที่ก่อคดีฆ่าเธอยกแก๊ง ปัจจุบันหลักฐานนี้อยู่ในการดูแลของห้องพิพิธภัณฑ์นิติเวชวิทยา โรงพยาบาลศิริราช เคียงข้างกับร่างสงบนิ่งของฆาตกรใจโหดนาม "ซีอุย"
๑๓ กรกฎาคม ๒๕๐๒ เวลา ๑๑.๓๐ น. นวลฉวีเข้ามาหาคุณหมออธิปที่โรงพยาบาล เหตุการณ์ครั้งนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในสมุดบันทึกดังนี้... "ดิฉันพบนายแพทย์อธิปสามีฉันที่โรงพยาบาลรถไฟ จากนั้นก็คุยเรื่องปัญหาชีวิตของเราทั้งสอง...."
หมออธิปเริ่มระงับอารมณ์ไม่อยู่ นี่ผมทำต้องทำงานนะ มากวนอยู่ได้ ว่าแล้ว หมอก็กำหมัด ต่อยไปที่ใบหน้านวลฉวีจังๆ นวลฉวีกรีดร้อง "ช่วยด้วย หมอรังแกผู้หญิง" , "หมอจะฆ่าเมีย ช่วยด้วยหมอจะฆ่าเมีย" จนหมออธิปเข้ามาปลอบและพาไปยังห้องคนไข้ พร้อมสายตาคนเกือบทั้งโรงพยายามที่มองไปยังคนทั้งสอง
๑๓ กรกฎาคม ๒๕๐๒ นวลฉวี แจ้งความตำรวจว่าถูกหมออธิป ทำร้ายร่างกายตน
๑๔ กรกฎาคม ๒๕๐๒ หมออธิปตกลงเงื่อนไขนวลฉวีให้ปรองดองกัน เพราะเป็นสามีภรรยากันแล้ว เรื่องเลยจบลงที่การบันทึกประจำวัน
๑๕ กรกฎาคม ๒๕๐๒ บาดแผลที่หมออธิปชกหน้านวลฉวีลุกลาม และเจ็บปวดมาก แต่นวลฉวีขอตำรวจไม่เอาผิดหมออธิปเพิ่ม เพราะกลัวเขาเสียอนาคต เธอบันทึกเรื่องราวนี้ในสมุดบันทึกอย่างละเอียด...เรื่องนี้ส่งผลให้นวลฉวีต้องเข้าไปในนอนโรงพยาบาล โดยนวลฉวีขอให้หมออธิปเป็นผู้รักษาเธอ แต่ถึงกระนั้นหมออธิปก็ไม่มาหาเธอบ่อยนัก เรื่องนี้หมออธิปเดือดดานสุดๆ ถึงกับระบายเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า "อยากจะบ้าตาย ถูกมาบังคับให้นอนเฝ้าด้วย โอ๊ย! ผมต้องทำงานนะ บางคืนก็เฝ้าทั้งที่ทำงานอยู่ ไปเฝ้านานก็ไม่ได้ เดี๋ยวสมบูรณ์เข้าไปอาละวาดอีกเรื่องมันจะวุ่น"
๑๗ กรกฎาคม ๒๕๐๒ พ่อของนวลฉวีมาหาเพื่อเอาเรื่องกับหมออธิป โดยหมอตอบสั้นๆ ว่า "แล้วแต่ศาล" นวลฉวีบันทึกเหตุการณ์นี้ลงสมุดบันทึก ด้วยคำสาปแช่งถึงหมออธิป"เชิญแกไปหาเมียใหม่ตามสบายเถอะ ฉันรู้นะว่าปีศาจในตัวแกจะแสดงบทบาทอย่างไรในอนาคตอันใกล้นี้......."
๒๒ กรกฎาคม ๒๕๐๒ นวลฉวีทำหนังสือร้องเรียนให้สารวัตรฝ่ายสืบสวน เล่าว่าหมออธิปไม่ทำตามทัณฑ์บนที่ทำไว้ให้ นอกจากนั้นยังทำทารุณกับเธออีก โดยดึงสะโพกไปกระแทกกับก๊อกน้ำและเลือดไหล ความเจ็บปวดยากจะบรรยาย จึงอยากขอให้พิจารณาดำเนินคดีใหม่อีกครั้ง
๒๘ สิงหาคม ๒๕๐๒ หมออธิปไปที่โรงพัก เพื่อการทำการสอบสวน เขาสารภาพทุกอย่างตามที่กล่าวหา
๓๑ สิงหาคม ๒๕๐๒ หมออธิปได้รับโทรศัพท์จากนวลฉวีให้ไปหานายธวัชเพื่อนของเธอ และเป็นที่ปรึกษาคดีทำร้ายร่างกายชองเอด้วยในครั้งนี้ หมออธิปไปตามสถานที่ที่นวลฉวีนัด คือที่ทำการรถไฟสทานกษัตริย์ศึก เวลา ๑๐.๐๐ น. นายธวัชแนะนำให้หมอกับนวลฉวีคืนดีกัน หมออธิปรับปาก จึงได้เขียนจดหมายใส่ซองปิดผลึกให้ พ.ต.อ. เจ้าของคดีนี้ ใจความว่า "เราจะคืนดีกันแล้ว....."
๑ กันยายน ๒๕๐๒ หมออธิปและนวลฉวีเข้าพบสารวัตรใหญ่พญาไท ขอให้ระงับคดีทำร้ายร่างกาย แล้วไปนั่งรับประทานอาหารที่โรงหนังคิงส์ ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ
๙ กันยายน ๒๕๐๒ นายธวัชไม่สบาย จึงขอลางานเพื่อไปเยี่ยมนวลฉวี นวลฉวีชวนนายธวัชไปวัดสามง่ามเพื่อเอายาไปถวายพระ และให้พระดูดวงให้ พระบอกนวลฉวีไว้ว่า "ต่อไปนี้ซะตาจะดีแล้ว”
เวลา ๒๐.๓๐ น. หมออธิปเข้าพบนวลฉวีและนายธวัช พูดจาเรื่องเรือนหอของเราสองคน
เวลา ๒๓.๐๐ น. นายธวัชกลับไปก่อน ต่อมา นางพยาบาลเรียกให้หมออธิปไปดูคนไข้ที่กำลังจะคลอด หมออธิปช่วยคนไข้อยู่นานจนถึงเที่ยงคนจึงพานวลฉวีไปส่งโรงพยาบาลยาสูบเพราะนวลฉวีรบเร้า จนกระทั่ง..นวลฉวีโทรศัพท์ถึงนายธวัชบอกว่า เมื่อคืน ตอนที่หมออธิปพาไปส่งโรงพยาบาลยาสูบ เราทะเลาะกัน รายละเอียดจะคุยให้ฟังตอนเย็น ถ้าเลิกงานแล้วให้ไปพบที่โรงพยาบาลยาสูบเย็นวันนั้น นายธวัชมัวไปทำธุระที่อื่น ก่อนจะไปโรงพยาบาลยาสูบเป็นที่ต่อไป จวนเวลา ๑ ทุ่ม แต่ไม่พบนวลฉวี ยามโรงพยาบาลเห็นเธอแต่งตัวออกไปข้างนอกนานแล้ว.....นวลฉวี จากไป และไม่กลับมาอีกเลย
พบศพ..เช้าวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๐๒ เวลา ๘.๔๕ น.
นายจำลอง จิรัตฐิตกุล ช่างกลปากเกร็ดนั่งเรือแท็กซี่จากบ้านไปทำงาน ระหว่างที่นั่งเรือแท็กซี่นั้นเขาได้พบศพ!
ศพนี้ลอยมาอย่างน่าเวทนา ในแม่น้ำเจ้าพระยาห่างจากตัวนนทบุรีประมาณ ๒ กิโลเมตร อยู่ระหว่างโรงงานกระดาษเก่ากับวัดเฉลิมพระเกียรติ นายท้ายเรือเข้าไปดูศพ พบว่าสวมเสื้อสีฟ้าอ่อน นุ่งกระโปรงดำเป็นลายปัก ศพอยู่ในลักษณะหงายมือพาดหน้าอก คาดเข็มขัดโตสีฟ้า ที่ข้อมือและแหวนทองลงยาจารึกนามสกุล "รามเดชะ"(สกุลเดิมของหมออธิป) เมื่อเรือแล่นมาถึงจังหวัดนนทบุรี นายจำลองจึงแจ้งความติดต่อตำรวจนนทบุรีทันที ต่อมาศพถูกส่งไปวัดนครอินทร์ ต่อด้วยโรงพยาบาลตำรวจนนทบุรี เพื่อการชันสูตรศพเป็นการด่วน ผลจากการชันสูตร สาเหตุการตายเนื่องจากบาดแผลถูกแทงจนเลือดตกในมากและสิ้นใจก่อนถูกโยนลงน้ำ บาดแผลที่ถูกแทงมีทั้งหมดสีข้างข้างขวาและที่หลังด้านซ้ายรวม ๓ แผล แต่เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายของศพไม่พบรอยฉีดขาด
"ท่ามกลางความมืดของคืนวันหนึ่งในเดือนกันยายน ๒๕๐๒ ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งได้ลงมือสังหาร นวลฉวี นางพยาบาลสาวถึงแก่ชีวิตตามที่ได้รับว่าจ้าง ..."
วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๐๒ ๒๒.๐๐ น. ศพที่พบลำน้ำเจ้าพระยาถูกประกาศอย่างเป็นทางการว่าผู้ตายชื่อนวลฉวี (สืบจากชื่อที่สลักของแหวน) หมออธิปทราบข่าวการตายของนวลฉวี และเผชิญหน้ากับกองทัพนักข่าว หมอตอบสั้นๆ ว่า "เธอเป็นภรรยาผมก็จริง แต่เราไม่อยู่ด้วยกันครับ แยกกันอยู่ พรุ่งนี้ค่อยไปรับศพครับ เพราะมันดึกแล้ว แหะๆ" คดีนี้เดาผู้ต้องสงสัยไม่ยาก เพราะนวลฉวีไม่มีศัตรูภายนอกที่ไหน ยกเว้นภายใน และมากที่สุด เห็นจะไม่เกินสามีที่อยากกำจัดภรรยาจอมยุ่งให้ไปพ้นๆ ทาง
๑๔ กันยายน ๒๕๐๒ ตำรวจเชิญตัวหมออธิปไปสอบสวน และพบรอยข่วนที่ข้อมือหมอ ตำรวจไม่รอช้าถ่ายบาดแผนนี้เก็บเป็นหลักฐานพร้อมกับแจ้งข้อหา "หมอฆ่าเมีย" ทันที
ในกลางดึกของกลางเดือนกันยายน ภายหลังจากหมออธิปถูกจับ ขบวนรถตำรวจรับหมอและคุ้มกันอย่างแน่นหนา โดยหมออธิปนั่งมา เพื่อไปสถานที่แห่งหนึ่ง พร้อมกับบอกว่า "จอมพลสฤษดิ์อยากพบหมอครับ มีอะไรก็รับๆ เสียนะครับ ถ้าไม่รับหมอโดนยิงเป้าแน่ คิดดูให้ดีนะครับหมอ"
หมออธิปหน้าซีด เพราะจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในขณะนั้นเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ และเป็นนายกรัฐมนตรี พ่วงด้วยอธิบดีกรมตำรวจ และมีนิสัยชอบสั่งยิงเป็นคนเป็นว่าเล่นเหมือนกับผักปลา โดยขณะตำรงตำแหน่งก็สั่งยิงเป้าไปถึง ๖ คน
ภายในห้องทำงานบุรุษร่างใหญ่ผิวคล้ำ ท่าทางเด็ดขาดน่าเกรงขามนั่งรอท่าอยู่ก่อนแล้ว หมออธิปเย็นวาบถึงไขสันหลัง สักครู่ท่านหัวหน้าคณะปฏิวัติไม่พูดพล่ามทำเพลง ถามเสียงเด็ดขาด "หมอฆ่าเมียตัวเองอย่างที่เป็นข่าวจริงไหม ถ้าจริงจงรับมาเสียอย่าปากแข็ง พูดตรงๆ แบบลูกผู้ชายดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา"
"ผมไม่ได้ทำครับ ผมขอปฏิเสธ" หมออธิปรวบรวมกำลังใจกล่าวปฏิเสธ
ทางด้านตำรวจยศสูงต่างๆ ในสถานีตำรวจนนทบุรีได้ร่วมทำการสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ และทราบว่าหมออธิปมีเพื่อนสนิทคือนายชูยศและนางสุขสม พ่อของเขาเคยเป็นคนไข้ของหมออธิปมาก่อน หมอรักษาพ่อจนหาย ทำให้ชูยศซึ้งในน้ำใจของหมออธิป ถึงขนาดยอมตายแทนหมอได้เลย
๑๗ กันยายน ๒๕๐๒ หนังสือพิมพ์แต่ละสำนักต่างลงข่าวว่า นายชูยศ มีส่วนเกี่ยวข้องคดีฆ่านวลฉวี เพราะผลจากการตรวจสอบบนสะพานพบรอยหยดเลือดเล็กบ้างใหญ่บ้าง แสดงถึงการนำศพมาถึงจุดนั้น ต่อมาหลักฐานการสืบสวนคดีฆ่านวลฉวีเพิ่มขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ตำรวจพบกระดุมสีน้ำตาลแก่ตก ๑ เม็ดบนพื้นถนนริมทางหลวง รอยเลือดจากราวสะพานเหล็กที่เป็นคราบสีน้ำตาล ฯลฯ
๒๐ กันยายน ๒๕๐๒ ตำรวจบุกไปบานของนายชูยศในสวนบางบำหรุ ธนบุรี แต่ไม่มีคนอยู่ ประตูใส่กุญแจไว้ จากการตรวจสอบบ้านได้พบรอยเลือดที่พื้นบันได้หลังบ้าน ตำรวจจึงเก็บหลักฐานเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังพบเลือดที่พื้นห้องครัวเรือนบนเตียงและที่พื้นบันได ทั้งพบหลอดยาเอทิลคลอไรด์ พร้อมมีดปลายแหลมในห้องครัว
๒๗ กันยายน ๒๕๐๒ นายชูยศพร้อมภรรยาเข้ามอบตัวกับตำรวจ มีการสอบสวนพอเป็นพิธี ก่อนจะปล่อยตัวกลับไป โดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา
๑๔ ตุลาคม ๒๕๐๒ เจ้าหน้าที่คุมนายชูเกียรติและภรรยาไปหาจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เพราะคดีฆ่านวลฉวีดังมากในยุคนั้น และตัวจอมพลก็สนใจ แต่กระนั้นนายชูยศไม่ได้เข้าพบจอมพล มีเพียงแต่ภรรยาชูยศเท่านั้นที่พบ นายกรัฐมนตรีถามนางสุขมภรรยาของนายชูยศ "มีความสัมพันธ์กับหมออธิปอย่างไร" นางสุขุมคิดว่านายกถามเรื่องเงินทองๆ จึงตอบว่า "มี” ทำให้รุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ก็พาดหัวข่าวว่า "นางสุขสมยอมรับจอมพลว่าเสียตัวให้หมออธิป
"
๒๘ ตุลาคม ๒๕๐๒ นายมงคล เรื่อเรืองรัตน์ สัปเหร่อและช่างไม้ที่มีบ้านติดๆ กับนายชูยศมาก่อนถูกตำรวจควบคุมตัวที่วัดน้อยนางหงส์ ฐานสงสัยว่าเป็นคนฆ่านวลฉวี
๓๐ ตุลาคม ๒๕๐๒ คำให้การจากพยานหลายคน ทั้งเพื่อนของนวลฉวี และยามยาสูบ ให้การเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรวจเชื่อว่าหมออธิปต้องเป็นฆ่านวลฉวีแน่นอน และไม่นานนักตำรวจก็สามารถจับผู้ต้องสงสัยฆ่านวลฉวีได้ยกแก๊งประกอบด้วย นายชูยศและนางสุขสม ตัวกลางประสานแผนการ นายมงคล เรื่อเรืองรัตน์ สัปเหร่อมือสังหาร ซึ่งเคยมีประวัติหนีคดีที่อื่นมาก่อน มีอาชีพเป็นสัปเหร่อและช่างไม้อาศัยอยู่บ้านแม่ยายติดๆ กับนายชูยศ นายชูเกียรติ ผู้ช่วยฆ่านอกจากนี้มีผู้ต้องสงสัยอีกคือ นายยง ยิ้มกมล และนายเยี่ยม แต่ตำรวจกันไว้เป็นพยาน ทั้งหมดให้การรับสารภาพในเวลาต่อมา....แต่ก็น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้ผู้ต้องสงสัยทั้งหมดไม่มีท่าทีคิดจะหนีสักนิด...แต่กระนั้นช่วงเวลาการสังหารโหดนวลฉวี ตำรวจไม่เห็นภาพมากนัก ฆาตกรไม่ได้มีคนเดียว มันทำเป็นหมู่คณะ ภายใต้การนำของหมออธิป ตำรวจเชื่ออย่างนั้น แต่จากประมวลคำให้การของพยานและหลักฐานวัตถุการสังหารนวลฉวีมีการวางแผนเป็นขั้นๆ เป็นตอนๆ เรียบเรียงได้ดังนี้
เริ่มจากหมออธิปคิดฆ่านวลฉวีภรรยาของตนเอง หมออธิปจึงบึ่งรถไปที่บ้านของนายชูยศเพื่อนสนิทเพื่อต่อรองราคา นายชูยศตกลงทันที พร้อมกับเรียกเงินจำนวนมากสมน้ำสมเนื้อกับความเสี่ยง
เดือนสิงหาคม เวลา ๑๑.๐๐ น.นายชูยศและนางสุขสม ไปที่สวนบ้านนายยง ยิ้มกมล ถามว่าแถวนี้มีใครสามารถฆ่าผู้หญิงโดยไม่มีหลักฐานได้บ้าง นายยงบอกว่ามีสัปเหร่อคนหนึ่งซึ่งเคยฆ่าคนมาก่อน นายชูยศสนใจจึงให้ภรรยาทำการว่าจ้าง นายยง ยิ้มกมล โดยจ้างนายยงเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ให้พานายคนนั้นมาหา โดยได้รับเงินค่าจ้าง ๕,๐๐๐ บาท ครึ่งหนึ่งไปก่อน
วันรุ่งขึ้น นายยงจึงพาตัวนายมงคลมาหานายชูยศ นายชูยศบอกว่าให้ไปฆ่าผู้หญิงคนหนึ่ง และจะได้เงินว่าจ้างหมื่นกว่าบาท โดยให้เงินล่วงหน้าห้าพันบาทก่อน นายมงคลตอบตกลงไม่มีลังเล
วันรุ่งขึ้น ทั้งหมดพบหมออธิปผู้ว่าจ้างตัวจริง นายชูยศแนะนำหมอให้ผู้รับจ้างทราบกันโดยทั่วกัน จากนั้นหมออธิปก็ให้เงินนายยง ล่วงหน้า ๕,๐๐๐ บาท เป็นเงินมัดจำ จากนั้นหมออธิปก็วางแผน โดยตกลงกันว่าจะพานวลฉวีภรรยาของหมอมาฆ่าที่โรงครัวบ้านหลังนี้ ส่วนเครื่องไม้เครื่องมือหมออธิปจะเตรียมไว้ให้
จากนั้นก็ถึงเวลาลงมือสังหาร วันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๐๒
ตอนเช้าหมออธิปโทรศัพท์นัดนางนวลฉวีและรับนางนวลฉวีจากโรงพยาบาลยาสูบ โดยพาไปที่บ้านนายชูยศที่สวนบางบำหรุ เวลาบ่ายโมงเศษ นายยง ไปที่บ้านนายชูยศ สมทบกับนายชูเกียรติ เพื่อดูสถานที่ทำการฆ่า เตรียมมีดปลายแหลม ผ้าพลาสติก และสายไฟคู่สีเหลือง ๑ ขด และไม้ไผ่เพื่อหามศพ เตรียมเสร็จแล้วนายยงก็กลับบ้านนอนเอาแรง
๕ โมงเย็น นายยง นายชูเกียรติ และ นายชูยศ พากันมาซุ่มที่ห้องน้ำรอดูหมออธิปพาผู้หญิงมาฆ่า เวลา ๑๘.๐๐ น. เศษ หมออธิปนำนวลฉวีมาทางหน้าบ้านของนายชูยศ แล้วพาเข้าห้องครัว ปิดประตูลงกลอน หมออธิปรอจังหวะที่นวลฉวีเผลอโป๊ะยาสลบจนเธอนอนหลับ ก่อนออกจากห้อง ปล่อยลูกสมุนมาจัดการ จากนั้นก็ถึงเวลาสังหาร!!
นายยงข่มขืนนวลฉวี ๑ ครั้ง นวลฉวีไม่รู้สึกตัวเพราะโดนยาสลบ นายมงคลจับแขนซ้ายหญิงนั้นลงตะแคงทางขวา
จากนั้นนายมงคลได้หยิบมีดปลายแหลมทำการแทงนวลฉวีไป ๓ ครั้ง นวลฉวีร้อง นายมงคลจึงแทงซ้ำจนมั่นใจว่าเธอตายแล้ว จึงบอกนายเยี่ยมน้องชายมาช่วย( นายเยี่ยมถูกกันไว้เป็นพยาน) จากนั้นทั้งสองคนช่วยกันเอาเสื้อชั้นนอกที่หัวเตียงสวมให้ศพ แล้วยกศพวางบนผ้าพลาสติกซึ่งปูไว้แล้ว นายมงคลเอาสายไฟมัดที่ข้อเท้าศพ มัดบั้นเอว และมัดที่หัวไหล่ จากนั้นก็ใช้ไม้ไผ่สอดใต้สายไฟที่มัดไว้แล้วหามศพออกจากบันไดหลังบ้าน โดยมีเลือดหยดตามพื้นเป็นรายทาง นายยงและนายเยี่ยมหามศพ ส่วนนายมงคลทำความสะอาดจุดสังหาร.....
ศพของนวลฉวีถูกขนย้ายผ่านสวนพจน์ที่อยู่ใกล้ๆ ที่เกิดเหตุ นายมงคลตามมา ทั้งสามข้ามคูถนนจรัลสนิทวงศ์ ลุยคูน้ำที่มีน้ำลึก ๕๐ ซม. ไปหานายมงคลตรงหลักกิโลเมตรที่เดิม จากนั้นก็วางศพไว้ข้างถนน หมออธิปเปิดประตูรถ จ่ายเงินค่าจ้างที่ค้างไว้ให้ทั่วหน้าทุกคน จากนั้นก็ช่วยกันเอาศพขึ้นรถ บรรทุกโฟล์คสวาเก้น กข.ข.๐๒๕๓ มุ่งหน้าไปทางสะพานพระราม ๖
สำหรับไม้ไผ่หามศพ นายเยี่ยมเป็นคนนำไปทิ้ง แต่ทิ้งที่ไหนไม่มีใครทราบ แต่อย่างไรดี ก่อนที่ฆาตกรจะทิ้งศพนวลฉวี มีรถคนหนึ่งผ่านมา และเกิดความสงสัยว่า ทำไมรถของฆาตรถึงจอดกลางทาง จึงถามว่ารถเสียหรือ ก็แค่ได้เสียงตอบกระชากๆ ว่า "เปล่า" แทน เวลา ๒ ทุ่ม ศพของนวลฉวีจึงถูกทิ้งลงจากสะพานนนทบุรีลงแม่น้ำเจ้าพระยา ชาวบ้านละแวกนั้นได้ยินเสียงตูม! กันทั่ว
ขุนสุญาณเศรษฐกร บิดาหมออธิป เห็นท่าว่าหมออธิปจะแพ้คดี จึงจ้างนายชมพู อรรถจินดา ทนายความที่มีชื่อเสียงด้วยราคาสูงลิบลิ่ว หมออธิปเริ่มมั่นใจว่ามีทนายฝีมือดีตนต้องชนะคดีแน่นอน การพิจารณาศาลเป็นไปด้วยความดุเดือดเลือดพล่านเพราะเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึก ประชาชนทั้งประเทศต่างก็สนใจคดีนี้ อยากรู้ว่าผลความยุติธรรมจะทำให้นักโทษทั้งหมดถูกประหารหรือไม่ "ถ้าผมจะฆ่าภรรยาผม ทำไมผมต้องจ้างคนอื่นให้เสียเวลาทำมาหากินด้วยละ สู้เอามือบีบคอภรรยาให้ตายคามือดีกว่ามั้ง" หมออธิปแก้ตัวต่อศาล
วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๐๓ ณ ศาลอาญา บังลังก์ที่สอง คือวันพิพากษาหมออธิปและพรรคพวก...
ผู้พิพากษาทั้งสี่ประกอบด้วย นายเฉลิม กรพุกกะณะ นายพินิจ เพชรชาติ นายสว่าง เวทย์ และนายวุฒิกรรม วงษ์ศิริ ออกมานั่งบัลลังก์ตัดสินคดีประวัติศาสตร์อาชญากรรมท่ามกลางประชาชนนับหมื่นที่แห่มาฟังคำพิพากษาอย่างมืดฟ้ามัวดิน จนถึงขนาดต้องต่อลำโพงโดยรอบสนามหญ้าบริเวณศาลทหารอาญา เก้าอี้หลายตัวในศาลหักเพราะทานแรงคลื่นมนุษย์ไม่ไหว จนกระทั่ง นาทีระทึกขวัญมาถึง ทุกคนพากันสงบนิ่ง รอฟังผู้พิพากษาอ่านคำตัดสินช่วงสุดท้าย
"นายอธิปจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามที่กล่าวหา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๙ อนุมาตรา ๔) ๘๓ ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฐานก่อให้คนอื่นกระทำความผิดให้ต้องโทษประหารชีวิตนายอธิปจำเลยที่ ๑ ส่วนนายมงคล จำเลยที่ ๕ มีความผิดฆ่าคนโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘ และ ๘๓ ให้ระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต และริบมีดสั้นปลายแหลมที่ใช้กระทำผิดเสีย ส่วนนายชูยศ และนางสุขสม จำเลยที่ ๒ และ ๓ และนายชุเกียรติ จำเลยที่ ๔ ศาลไม่มีหลักฐานเอาผิดเลยให้ปล่อยตัวพ้นผิดไป"
แต่กระนั้น ต่อมาหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จกลับจากนิวัตพระนคร ถือว่าเป็นวันมงคล หมออธิปจึงได้รับการอภัยโทษ ประกอบกับที่บิดา-มารดาของหมอวิ่งเต้น ทำให้หมออธิปถูกจำคุกเพียง ๑ ปีเศษเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลังหมออธิปพ้นโทษ ชีวิตที่เหลือก็เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลอยู่เสมอ เนื่องจากโรคติดตัวตอนอยู่ในคุก และจนถึงวาระสุดท้าย หมออธิปนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล ท่ามกลางญาติสนิท หมออธิปเอยปากก่อนตายเรื่องนวลฉวี
"นวลฉวี พี่ขอโทษ พี่เป็นคนฆ่าเธอเองแหละ" พูดจบหมออธิปก็สิ้นลม
หลังจากนั้นมา ทุกคนต่างเรียกสะพานสะพานนนทบุรีสถานที่ทิ้งศพนวลฉวีนี้ว่า "สะพาน นวลฉวี"
ส่วนบ้านที่นวลฉวีถูกฆ่าในสวนบางบำหรุก็มีเสียงเล่าลือว่า เห็นผีผู้หญิงอยู่ในบ้านหลังนั้น ทุกคนจึงเรียกบ้านหลังนั้นว่า"บ้านผีสิง"
เรียบเรียงจาก teenee.com