๓ ผู้ว่าราชการเชียงใหม่ที่เสียชีวิตในขณะดำรงตำแหน่ง ว่ากันว่ามีอยู่ ๒ ท่านที่คนเชียงใหม่ทำพิธีสาปแช่ง และสิ่งที่ท่านทำนั้นทำให้เกิดอัปมงคล “ตกขึด”เรียบเรียงจากคำบอกเล่าของบุคคลร่วมสมัย
คำร่ำลือถึง “ความขึด” และ “พิธีสาปแช่งของคนเชียงใหม่”สะท้อนความทรงจำแห่งอดีต ในยุคไทยแลนด์ ๔.๐ ความเจริญถาโถมเข้ามาไม่ขาดสาย ทำให้เรื่องไสยศาสตร์ ความเชื่อโบราณ ถูกคนกลุ่มหนึ่งมองว่างมงาย คร่ำครึ ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งยังเชื่อว่ามีอยู่จริง แต่ความจริงยังคงหลบเร้นอยู่ในม่านหมอกแห่งการรับรู้ สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถชี้ชัด และฟันธงได้ว่ามีจริงหรือไม่ มาฟังเรื่องจากอดีตผ่านชีวิตผู้ว่าราชการเชียงใหม่กันดีกว่า...เป็นการรวบรวมคำบอกเล่าของผู้คนในยุคนั้น บางช่วงของความเห็นเป็นความเชื่อ..ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้..
- tfopta.jpg (45.16 KiB) เปิดดู 11993 ครั้ง
ท่านแรก นายวิศิษฐ์ ไชยพร ผู้ว่าฯเชียงใหม่ คนที่ ๑๗ เสียชีวิตหลังจากมารับตำแหน่งได้ ๙ เดือน
นายวิศิษฐ์ ไชยพร เดินทางมารับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๑๔ ถึงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๑๕ เป็นผู้ว่าราชการเชียงใหม่คนที่ ๑๗ ท่านเป็นคนที่พูดจาเสียงดังฟังชัด พูดขวานผ่าซาก และเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง หลังจากมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้ไม่ถึง ๓ เดือน ก็ได้พบปัญหาใหญ่ คือ เรื่องที่ชาวบ้านข่วงสิงห์และเจ็ดยอดชุมนุมประท้วงที่กระทรวงมหาดไทยจะใช้ที่ดินใกล้ป่าช้าข่วงสิงห์เป็นที่ราชพัสดุ เพื่อสร้างสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท (รพช.) ปัจจุบันคือ สำนักงานกรมทางหลวงชนบท ชาวบ้านไม่ยอม รวมตัวกันออกมาต่อต้าน แต่กระทรวงมหาดไทยก็ไม่ฟังเสียง ยืนยันที่จะใช้ที่ดินผืนนี้ให้ได้ ชาวบ้านจึงยกขบวนไปยังศาลากลางจังหวัด เพื่อเรียกร้องให้ผู้ว่าฯช่วยเหลือ ให้แจ้งไปกระทรวงมหาดไทยเพื่อระงับการใช้พื้นที่
ด้วยความที่ นายวิศิษฐ์ ไชยพร เป็นคนพูดขวานผ่าซากจึงตอบมาว่า ที่ดินเป็นที่ราชพัสดุ เมื่อหลวงจะใช้เป็นสถานที่ราชการ ชาวบ้านคัดค้านไม่ได้ แล้วก็พูดเสียงดังๆว่า “ไม่ช่วย” จากนั้นจึงไล่ชาวบ้านกลับไป พร้อมทั้งบอกว่า “อย่ากลับมาวุ่นวายที่ศาลากลางอีก” เมื่อผู้ว่าฯไม่ยอมรับฟังและไม่ถนอมน้ำใจเช่นนี้ ทำให้ชาวบ้านโกรธแค้นมาก จึงประกาศขับไล่ ไม่ยอมรับเป็นพ่อเมืองเชียงใหม่อีกต่อไป และได้เผาพริกเผาเกลือสาปแช่งให้มีอันเป็นไป
จากนั้นหลังจากนั่งเก้าอี้พ่อเมืองเชียงใหม่ ได้เพียง ๙ เดือน ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๑๕ ซึ่งนายวิศิษฐ์ ไชยพร ได้เดินทางไปดูงานที่ประเทศเยอรมันร่วมกับคณะของกระทรวงมหาดไทย เช้าวันหนึ่งนายวิศิษฐ์ไม่ออกจากห้องพัก ในขณะที่คนอื่นๆเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางไปดูงานกันแล้ว คณะเดินทางจึงให้พนักงานโรงแรมขึ้นไปตาม จึงพบว่านายวิศิษฐ์ ไชยพร สิ้นใจตายบนเตียงนอนในห้องพักโรงแรมโดยไม่ทราบสาเหตุ ภายหลังทราบจากการชันสูตรพลิกศพไม่พบร่องรอยของการถูกทำร้ายร่างกาย แพทย์ลงความเห็นว่า มาจากหัวใจล้มเหลวปัจจุบันทันด่วน หรือหัวใจวาย
คนทั่วไปต่างออกมาแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของท่าน แต่ก็มีบางส่วนที่พูดถึงการเสียชีวิตว่า มาจากสาเหตุที่ชาวบ้านข่วงสิงห์และเจ็ดยอดสาปแช่ง กรณีนำที่ดินราชพัสดุนำไปสร้างสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท ความจริงจะเป็นอย่างไรไม่อาจทราบได้ เรื่องลี้ลับเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมาย ส่วนจะเชื่อหรือมองว่างมงายก็สุดแต่ใจท่านผู้อ่านจะพิจารณา
ท่านที่ ๒ นายไพรัตน์ เดชะรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ คนที่ ๒๒ เสียชีวิตขณะดำรงตำแหน่งจากกรณี เครื่องบินสายการบิน เลาด้าแอร์ ตกที่สุพรรณบุรี
นายไพรัตน์ เดชะรินทร์ ย้ายจากผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาทมารับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พศ. ๒๕๓๐ ก่อนหน้านั้นขณะที่ท่านเป็นผู้ว่าฯจังหวัดชัยนาทได้ทำให้เมืองชัยนาทมีความน่าสนใจมากขึ้น เมื่อท่านมีไอเดียที่จะสร้างสวนนก และหุ่นฟาร์มนกขึ้น จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดชัยนาท ที่คนทั่วประเทศต้องแวะอย่างไม่ขาดสาย จากผลงานนี้ทำให้ชาวชัยนาทรักใคร่เสียดายท่าน จึงตามมาส่งถึงเชียงใหม่จำนวนมาก
ระหว่างดำรงตำแหน่งพ่อเมืองเชียงใหม่ นายไพรัตน์ จัดได้ว่าเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดที่เก่งคนหนึ่งของกระทรวงมหาดไทย นโยบายการบริหารนครเชียงใหม่ ท่านเน้นเรื่องการอนุรักษ์เมืองเก่า รักษาประเพณีวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงใหม่ ถึงระดับวางแผนสร้างเมืองใหม่ หรือเมืองแฝด ขึ้นที่อำเภอสันกำแพง พร้อมสร้างสนามบินแห่งใหม่รองรับ โดยจ้าง บริษัทหลุยห์เบอเจอร์ จากอเมริกาขึ้นมาศึกษา มีการแบ่งโซนเมืองเก่า โซนย่านธุรกิจ โซนที่อยู่อาศัย และโซนสีเขียว คือโซนเกษตร อย่างชัดเจน ภายใต้แนวเดียวกันกับนายชัยยา พูนศิริวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ท่านก่อนหน้า
นายไพรัตน์ เดชะรินทร์ เคยขอทุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา นำหัวหน้าส่วนราชการ และผู้นำองค์กรภาคเอกชน เดินทางไปดูการอนุรักษ์เมืองเก่าชื่อซานตาเฟ่ เมืองหลวงรัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๑๗ – ๓๐ มีนาคม ๒๕๓๓ ซึ่งเมืองซานตาเฟ่ โดดเด่นในการอนุรักษ์เมืองเก่าไว้ได้ค่อนข้างสมบูรณ์ นายไพรัตน์นำผู้เกี่ยวข้องไปดูงานนี้ เพื่อศึกษาตั้งความหวังนำมาเป็นต้นแบบในการอนุรักษ์เมืองเก่าในเขตแนวคูเมืองเชียงใหม่
จนมาถึงวันที่ วันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ เวลาประมาณ ๒๓.๑๐น. เที่ยวบิน NG004 สายการบิน Lauda Air ซึ่งบินมาจากท่าอากาศยานไคตั๊ก ที่ ฮ่องกง ด้วยเครื่องบิน Boeing B-767-3Z9ER ชื่อเครื่องบินโวล์ฟกังอะมาเดอุส โมซาร์ท ได้ออกจากท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง มุ่งสู่ท่าอากาศยานนานาชาติเวียนนา มีผู้โดยสาร ๒๑๓ คน และลูกเรือ ๑๐ คน ภายใต้การควบคุมของกัปตันชาวอเมริกัน Thomas J. Welch และผู้ช่วยชาวออสเตรีย Josef Thurner
เวลา ๒๓.๒๒ น. Welch และ Thurner ได้รับสัญญาณภาพเตือนว่ามีความผิดพลาดทางระบบที่อาจทำให้ระบบผันกลับแรงขับ (Thrust Reverser) ที่เครื่องยนต์หมายเลข ๑ ทำงานขณะบิน หลังจากได้ศึกษาคู่มือแล้ว ทั้งสองลงความเห็นว่าสัญญาณเตือนนั้นเป็นเพียงเหตุการณ์ปกติและไม่ได้จัดการใด ๆ กับสัญญาณเตือน
เวลา ๒๓.๓๑น. ระบบผลักดันแรงขับที่เครื่องยนต์หมายเลข ๑ ทำงานระหว่างที่เครื่องบินอยู่เหนือพื้นที่ป่าและภูเขาบริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดอุทัยธานีและจังหวัดสุพรรณบุรี เครื่อง ๗๖๗ สูญเสียแรงยกและฉีกออกเป็นส่วน ๆ กลางอากาศที่ระดับความสูง ๑,๒๐๐เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
เมื่อเวลา ๒๓.๒๐ น. ซากเครื่องบินถูกพบที่ระดับความสูง ๖๐๐ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ในบริเวณซึ่งปัจจุบันเป็นอุทยานแห่งชาติพุเตย จังหวัดสุพรรณบุรี ไม่มีผู้โดยสารและลูกเรือคนใดรอดชีวิต ในจำนวนนี้เป็นคนไทย ๓๙ คน ชาวต่างชาติ ๑๘๔ คน อุบัติเหตุครั้งนี้เป็นหายนะทางการเดินทางทางอากาศที่รุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจวบจนถึงปัจจุบัน ทีมกู้ภัยพบร่างของ Welch กัปตัน ยังคงติดอยู่กับที่นั่งของนักบิน
เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ต้องใช้เวลาเก็บศพอยู่ประมาณ ๔-๕ วันถึงลำเลียงศพออกมาชันสูตรที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ได้เกือบหมด มีหลงเหลือบ้างก็เป็นพวกชิ้นเนื้อ กระดูก ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่หมาป่า สัตว์ร้ายแทะเอาไปกิน มีนักข่าวเล่าว่า หลังจากไปทำข่าวการเก็บศพ และกลับมานอนที่โรงแรมใน อ.ด่านช้าง เมื่อมาถึงโรงแรมหรือไปนั่งในร้านอาหาร สาวเสิร์ฟมักจะถามว่าพี่ไปเก็บศพมาหรือ เพราะกลิ่นศพจะติดมากับเสื้อผ้า บางครั้งซักแล้ว และซื้อตัวใหม่ แต่กลิ่นศพก็ยังติดตัว เขาคอยภาวนาว่า ผมมาทำข่าวตามหน้าที่นะ เราไม่มีอะไรยุ่งเกี่ยวกัน ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้วิญญาณแต่ละดวงอยู่ห่างๆ เราไว้ อย่าตามมาหลอกหลอนเลย พร้อมๆกับจะนิมนต์พระวัดใกล้ๆ ไปสวดบังสุกุลให้
เป็นภารกิจอันต่อเนื่อง ที่เขาต้องอยู่ทำข่าวเกือบครึ่งเดือน เพื่อรอทำข่าวญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตบินมารับศพ
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ นายไพรัตน์ เดชะรินทร์ รศ.สุภาพ เดชะรินทร์ ภริยา เจ้าพงศ์แก้ว ณ ลำพูน และผู้เป็นที่รู้จักของจังหวัดเชียงใหม่หลายคนเสียชีวิตพร้อมกัน ผู้ว่าฯคนต่อมาที่มารับตำแหน่ง จึงต้องทำบุญใหญ่ เพื่อแก้ขึด
เรื่องราวของเลาด้าแอร์ “เลาด้า...คืนฟ้าโศก”
กรณีของ นายไพรัตน์ เดชะรินทร์ นั้นมีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยของท่าน ได้แก่
การบูรณะเจดีย์หลวง วัดเจดีย์หลวง เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๓๓ ใช้งบประมาณในการบูรณะถึง ๓๕ ล้านบาท แล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ [เป็นความเชื่อเรื่องการตกขึด เนื่องจากมีการเปิดเจดีย์ คือ ฐานเจดีย์ในปัจุบันจะมีอุโมงค์ซึ่งคนโบราณปิดเอาไว้]
การสั่งปิดประตูท่าแพ ประตูทิศตะวันออกของเวียงเชียงใหม่ ปัจจุบันจึงต้องทำช่องเล็ก ๆ ไว้สำหรับให้คนเดินผ่านได้[เป็นความเชื่อเรื่องการตกขึด เนื่องจากไปปิดประตูเมือง ผิดฮีตฮอยของล้านนา]
อนุมัติสร้างคอนโดมิเนียมติดน้ำปิง คนเชียงใหม่ขอให้ระงับการก่อสร้าง แต่ท่านผู้ว่าฯไม่ยอมยกเลิก จึงมีการนำเอาศพตายท้องกลมปล่อยลงน้ำปิง แล้วทำพิธีทางไสยศาสตร์ สาปแช่ง [ในยุคนั้นมีการขายที่ดินในตัวเมืองเชียงใหม่ให้คนที่อื่นเยอะมาก สังเกตจากบริเวณใกล้ๆโบราณสถานหลายแห่ง จะเป็นร้านรวงไปแล้ว จุดนี้เป็นอีกประการที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจ]
ผู้ว่าคนถัดไป คือ นายชนะศักดิ์ ยุวบูรณ์ ต้องทำพิธีแก้ขึด และมีการสวด "มหาตุ๊บ" แก้อาถรรพ์ เมืองเชียงใหม่
เมื่อท่านเสียชีวิตพร้อมภริยาเหตุเครื่องบินตกจึงเกิดคำถามว่า เพราะถูกสาปแช่งและความขึดหรือเปล่า..ไม่มีใครตอบได้ เนื่องจากบางเรื่องเป็นสิ่งที่เหนือการรับรู้ของมนุษย์ ดุจเดียวกับที่ก่อนเดินทาง มีพระรูปหนึ่งในเชียงใหม่บอกกับท่านว่า ไม่ให้เดินทาง..จะเกิดอันตราย แต่ท่านไม่เชื่อ สิ่งที่ท่านเชื่อคือ การเดินทางโดยเครื่องบินเป็นการเดินทางที่ปลอดภัยที่สุด ดังที่ได้กล่าวกับนักข่าวคนสนิทเอาไว้ สำหรับอิฉันนั้นมองว่า บางสิ่งอยู่เหนือการรับรู้ เหนือเหตุผล แต่ไม่ได้แปลว่าไม่มี เราฟันธงไม่ได้ว่าจริงไม่ เพราะเราเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ได้มีฌานวิเศษ กลไกทางธรรมชาติ และประสบการณ์ชีวิตทำให้อิฉันได้เห็นว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะรับรู้ทุกเรื่องได้ บางเรื่องก็มีไว้สำหรับ “บางคน” เท่านั้น
ท่านที่ ๓ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ คนที่ ๒๐ ผู้ได้กระทำอัตวินิบาตกรรมกลางจวนผู้ว่าฯ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๓
นายประเทือง สินธิพงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ คนที่ ๒๐ ต่อจาก นายชลอ ธรรมศิริ นายประเทืองเดินทางมารับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ระหว่างดำรงพ่อเมืองเชียงใหม่ ท่านเป็นคนสมถะ พูดจานิ่ม ให้เกียรติคน และให้ความสนิทสนมเป็นกันเองกับคนทุกคนที่ไปพบ ท่านเป็นคนพูดช้าๆ พูดคำหนึ่งแล้วหยุดคิดอยู่นานเลยก็มี
วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๒๓ ช่วงปีใหม่เมือง ชาวเชียงใหม่ได้ไปรดน้ำดำหัวท่านที่จวนผู้ว่า ในระหว่างที่ให้พรปีใหม่ นายประเทืองได้กล่าวเอาไว้ตอนหนึ่งว่า “ผมรักเมืองเชียงใหม่ และรักประชาชนทุกคน แต่ผมอาจจะไม่ได้อยู่กับชาวเชียงใหม่ต่อไป” คงไม่มีใครคิดว่า คำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวลาอย่างเป็นทางการ จนถึงเช้าวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๒๓ นายประเทือง ได้กระทำอัตวินิบาตกรรมในห้องนั่งเล่นชั้นล่างจวนหลังเก่า โดยศพท่านนอนหงาย ที่ศีรษะมีเลือดไหลนองเต็มพื้นห้อง ใกล้มือขวามีปืนขนาด ๑๑ มม.ตกอยู่ และมีจดหมายวางใกล้ศพ เนื้อหาจดหมายมีใจความสั้นๆ ว่า “รับราชการด้วยความซื่อสัตย์ ฝากภิรมย์ศรีให้ชาวเชียงใหม่ช่วยดูแล ปืนขอให้ส่งคืนกระทรวงมหาดไทย” ส่วนสาเหตุที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กระทำอัตวินิบาตกรรมนั้น มาจากกรณีโรงพิมพ์ท้องถิ่น ซึ่งภายหลังพิสูจน์แล้วว่าท่านไม่มีความผิด
ในพิธีพระราชทานเพลิงศพของ นายประเทือง สินธิพงษ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโกศบรรจุศพ และพระราชทานเพลิงศพ โดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี มาเป็นประธานพิธี
ท่านผู้ว่าฯท่านนี้ไม่ได้มีปัญหากับประชาชนในการกระทำที่ผิดฮีตฮอย แต่ท่านมีปัญหาส่วนตัว อีกประการคือ ปัญหาเรื่องโรงพิมพ์ที่เป็นเรื่องด่างพร้อย หลังจากท่านเสียชีวิต จึงพิสูจน์ได้ว่าท่านและคณะไม่มีความผิด รายละเอียดคร่าวๆ ดังนี้
ในยุคที่เสร็จสิ้นสงครามเวียดนาม ทหารอเมริกันได้ยกโรงพิมพ์ของตนเองให้แก่กรมการปกครอง ซึ่งกรมการปกครองก็ได้ดำเนินการต่อในรูปแบบของโรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่นกระทรวงมหาดไทยซึ่งก็มีรายได้เกิดขึ้น และมีผู้ร้องเรียนว่าคณะผู้บริหารโรงพิมพ์ฯนำผลประโยชน์ที่ได้จากกำไรไปใช้ในทางไม่ถูกต้อง จึงมีการนำคดีไปสู่ศาล โดยมีอดีตอธิบดีกรมการปกครองในขณะนั้น คือ คุณวิญญู อังคณารักษ์ กับพวก เช่น คุณอเนก สิทธิประศาสน์ เป็นผู้ต้องหา แต่ในช่วงนั้นท่านผู้ว่าฯประเทืองซึ่งในอดีตรับราชการกรมการปกครองอยู่ และคิดว่าตนเองคงจะต้องติดร่างแหไปด้วย จึงทำอัตตวินิบาตกรรม แต่ในที่สุดศาลฎีกาได้ยกฟ้อง (คดีหมายเลขดำที่๘๐๓๗/๒๕๒๓ คดีหมายเลขแดงที่๑๖๗๔๙/๒๕๒๔)รายละเอียดที่มากกว่านี้ไม่สะดวกในการเผยแพร่ต่อสาธารณะ เพราะมีการพาดพิงถึงผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองที่ยังมีชีวิตอยู่
#ขออนุญาตเล่าความทรงจำเหล่านี้ให้แก่อนุชน ผลบุญจากการทำให้ทุกคนได้เรียนรู้เรื่องราวจากอดีตและนำมาปรับใช้กับปัจจุบัน ขอให้ตกแก่อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ทั้งสามท่าน ขอให้ท่านไปสู่สัมปรายภพ สำหรับอิฉันนั้นมองว่า บางการกระทำเกิดจากการที่เราเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ จนลืมวัฒนธรรมประเพณี มองความเชื่อเป็นสิ่งล้าหลัง จึงขาดความระมัดระวังในทุกๆการกระทำ และลืมนึกถึงหัวใจของคนท้องถิ่น อีกทั้งความเก่ง การได้รับการยกย่อง ทำให้บุคคลมีความมั่นใจในตนเอง เชื่อมั่นในทุกๆการตัดสินใจ จึงทำให้ขาดการรับฟังจากสังคม..บุคคลที่สถานะด้อยกว่า จึงเกิดผลในทางความคิด เกิดอคติต่อกัน นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ เมืองเก่าอายุเจ็ดร้อยกว่าปี ไม่ง่ายเลยที่จะมาถึงวันนี้และคงความเชื่อ วัฒนธรรม ประเพณีได้อย่างแน่นแฟ้นดังที่เห็น เราขอพ่อเมืองทุกท่าน เมื่อท่านมารับหน้าที่ดูแลแผ่นดินอันเป็นที่รักยิ่งของเรา ขอท่านจงศึกษารากเหง้า วัฒนธรรม ประเพณีของเรา ใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหาร ขอให้ท่านพัฒนาความรุ่งเรืองทางเทคโนโลยีควบคู่ไปกับการทำนุบำรุงศาสนาและรักษาวัฒนธรรมเก่าแก่ของเรา เพราะนั่นคือเสน่ห์ คือความดีความงาม ความโดดเด่น ของ เชียงใหม่ มณีแห่งล้านนา (น่าเขียนสารคดีเรื่องนี้เนาะ เชียงใหม่ มณีแห่งล้านนา)
เรียบเรียงจาก คลิปข่าวในยูทูป,บันทึกของนายอำนาจ จงยศยิ่ง,พันทิป , เพซบุ๊ก ยุทธนา ชุดทองม้วน , Chamnan Chanruang, Tanet Na Lanna และ คุณป้า คาร์ฟู