วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร วัดอันมีพระธาตุจำประจำปีมะโรง ตามคติล้านนา ภาพเก่าไม่ทราบ พ.ศ.ที่ถ่าย
- DSC_07479.jpg (81.22 KiB) เปิดดู 7903 ครั้ง
พญาผายู กษัตริย์เชียงใหม่องค์ที่ ๕ ราชวงศ์มังราย โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.๑๘๘๘ โดยก่อสร้างเจดีย์สูง ๒๓ วา เพื่อบรรจุพระอัฐิของพญาคำฟู พระราชบิดา ต่อมาอีก ๒ ปี จึงได้สร้างพระอาราม เสนาสนวิหาร ศาลาการเปรียญ หอไตร และกุฏิสงฆ์ เมื่อเสร็จเรียบร้อย ทรงตั้งชื่อว่า "วัดลีเชียงพระ" สมัยพระเจ้าแสนเมืองมา ขึ้นครองนครเชียงใหม่ โปรดให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาจากเมืองเชียงราย มาประดิษฐาน
ตามตำนานกล่าวว่า พระพุทธสิหิงค์ เป็นพระสิงห์สกุล ช่างเชียงแสน ศิลปะล้านนา ประดิษฐานอยู่ ณ เมืองเชียงราย ขณะนั้นเชียงรายกับเชียงใหม่เป็นคู่สงครามกัน เชียงใหม่เป็นฝ่ายชนะ พญาแสนเมือง (พ.ศ.๑๙๓๑ -๑๙๕๔ ) เสด็จกลับนครเมืองเชียงใหม่ จึงโปรดให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มายังเมืองเชียงใหม่โดยล่องเรือมาตามลำน้ำปิง เรืออัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาเทียบท่าฝั่งนครเชียงใหม่ ที่ท่าวังสิงห์คำ ขณะเชิญขึ้นประดิษฐานบนบุษบกปรากฎรัศมีจากองค์พระเรืองรองเป็นลำไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือไกลถึง ๒,๐๐๐ วา ต่อมาจึงได้มีการสร้างวัดขึ้น ณ ที่นั่นได้ชื่อตามเหตุอัศจรรย์ในครั้งนั้นว่า “วัดฟ้าฮ่าม” ซึ่งหมายถึงฟ้าปรากฏรัศมีอร่าม
เดิมทีพญาแสนเมืองตั้งพระทัยจะอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปประดิษฐานยังวัดบุปฝาราม (วัดสวนดอก) ซึ่งตั้งอยู่นอกเวียงออกไปทางทิศตะวันตก แต่เมื่อชักลากบุษบกไปถึงวัดลีเชียงพระก็เกิดติดขัดไม่อาจลากต่อไปได้ พญาแสนเมืองมาถือเป็นศุภมิตรจึงโปรดให้สร้างมณฑปขึ้นวัดลีเชียงและ ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ไว้ ณ วัดนั้น ซึ่งต่อมานิยมเรียกวัดนี้ว่า “วัดพระสิงห์” ตามนามของพระพุทธรูป กระทั่ง พ.ศ.๒๔๘๓ จึงได้รับการสถาปนานายกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร และได้รับนามใหม่ว่าวัดพระสิงห์วรมหาวิหารมาจนถึงปัจจุบัน โดยกรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญระดับชาติ เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๘ และประกาศกำหนดขอบเขตในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๒
วัดพระสิงห์มีศาสนสถานสำคัญ อาทิ
วิหารลายคำ
วิหารลายคำ กว้าง ๘ เมตร ยาว ๓๐ เมตร ด้านหน้าหันไปทางทิศตะวันออก วิหารลายคำนี้มีลวดลายปูนปั้นที่สวยงามปราณีตบรรจงมาก แสดงให้เห็นฝีมือของช่างในยุคนั้นว่าเจริญถึงที่สุด ตัววิหารลายคำสร้างตามแบบศิลปกรรมของภาคเหนือ มีรูปปั้นพญานาค ๒ ตัวอยู่บันไดหน้า และใกล้ๆ พญานาค มีรูปปั้นสิงห์ ๒ ตัว บริเวณภายในประดิษฐาน “พระพุทธสิหิงค์” วิหารแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่า เป็นวิหารสถาปัตยกรรมล้านนาบริสุทธิ์ ที่มีรูปแบบความเป็นพื้นเมืองอันงดงามสมบูรณ์แบบมากที่สุดแห่งหนึ่ง
คำว่า “ลายคำ” คือการปิดทองล่องชาดทำลวดลายเป็นภาพวิมาน เมฆ มังกร ตรงพื้นที่ด้านหลังองค์พระประธาน และเสา โดยใช้ทองมากเป็นพิเศษ เมื่อสะท้อนแสงจะทำให้วิหารดูเป็นสีทองอร่ามไปทั้งหลัง
ประวัติการก่อสร้างวิหารลายคำไม่ปรากฏเอกสารอย่างแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยพญาเมืองแก้ว ยุคล้านนารุ่งเรือง และได้รับการบูรณะอีกหลายครั้ง รวมทั้งการบูรณะของครูบาศรีวิชัยด้วย
ผนังภายในของวิหาร มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเขียนสีแสดงเรื่องราวตามปัญญาสชาดก เรื่องสังข์ทอง ในผนังด้านขวา และเรื่องสุวรรณหงส์ในผนังด้านซ้าย โดยทั้งสองเรื่องมีคำว่า ทอง เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อของวิหารที่มีคำว่า คำ
ตามหลักฐานบันทึกไว้ว่า สีที่ใช้ในจิตรกรรมฝาผนังวิหารลายคำเป็นวรรณสีเย็นที่มีสีน้ำเงินครามและสีเขียวเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ก็มื สีแดง สีเขียว สีน้ำตาบ สีดำ และสีทอง ซึ่งใช้เขียนส่วนที่เป็นโลหะปิดด้วยทองคำเปลวตัดด้วยสีแดงและ ดำ เช่น เชิงหลังคาและยอดปราสาท สิ่งของเครื่องใช้ เช่น อาวุธ เครื่องประดับ จิตรกรรมฝาผนังที่งดงามประดับตลอดทั้งอาคาร แบ่งเป็น ๒ส่วน ดังนี้
๑. ภาพลายทองล่องชาด เทคนิคฉลุกระดาษบนเสาและผนังด้านหลังพระประธาน เป็นงานแบบลวดลายเกือบทั้งหมด ลายทองบนผนังด้านหลังพระประธาน จุดเด่นคือมีการใช้ทองมากเป็นพิเศษ ทำให้พระพุทธรูปดูเด่นเป็นสง่า
๒. จิตรกรรมภาพเขียนสี เป็นภาพเล่าเรื่อง ตลอดผนังด้านข้าง ทิศเหนือเขียนเรื่องสังข์ทอง ทิศใต้เขียนเรื่องสุวรรณหงส์
สันนิษฐานว่าช่างที่เขียนภาพเป็นชาวจีน ชื่อ เจ๊กเส่ง
ส่วนภาพผู้คนที่ปรากฏอยู่ในงานจิตรกรรมนี้มี บ่งบอกถึงลักษณะและขนบธรรมเนียมวิถีชีวิตของคนล้านนา ทั้งการนุ่งผ้าของสตรี หรือการแต่งกายของบุรุษที่มีการสักลาย การนุ่งผ้าเตี่ยวมีผ้าสะพายพาดบ่า
ภาพจิตรกรรมดังกล่าว ถูกเขียนขึ้นเมื่อคราวที่มีการบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามในสมัยพญาสุลวฤๅชัยสงคราม (หนานทิพช้าง) ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๑
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี บิดาแห่งวงการศิลปะร่วมสมัยของไทย ได้กล่าวถึงภาพจิตรกรรม ในวิหารลายคำ เอาไว้ว่า “จิตรกรรมในภาคเหนือ นิยมเขียนภาพชีวิตประจำวัน เป็นภาพเหมือนชีวิตจริงถ้ามองดูภาพที่งดงามเรื่องสังข์ทองในวิหารลายคำ พระพุทธสิหิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ เราจะรู้สึกคล้ายกับว่า เราเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นจริงตามความเป็นอยู่เมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน”
ศิลปกรรมของวิหารลายคำส่วนอื่นๆ ที่ปรากฏ ได้แก่ ลายคำประดับผนังท้ายวิหาร รูปหงส์ คันทวยเป็นลายเมฆไหล ซึ่งเป็นลวดลายในศิลปะจีน อันเป็นศิลปะพระราชนิยมในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ รวมทั้งงานจิตรกรรมฝาผนังที่มีลักษณะอิทธิพลจากยุครัตนโกสินทร์ผสมผสานกับท้องถิ่นล้านนา และศิลปะตะวันตก
รูปทรงของวิหารลายคำที่ปรากฏในปัจจุบัน แตกต่างจากอดีตที่ปรากฎในภาพถ่ายเก่า ซึ่งถ่ายไว้ก่อน แต่ยังโครงสร้างเป็นวิหารที่มีหลังคาลดชั้นของสันหลังคาลงทางด้านหน้า ๒ ช่วง ด้านหลัง ๑ ช่วง และผืนหลังคาจะซ้อนลงด้านข้าง ๑ ตับ ตามแบบแผนของวิหารล้านนาในแถบที่ราบลุ่มแม่น้ำปิงและวังโดยทั่วไป
ถึงแม้ว่าตัววิหารลายคำจะผ่านการบูรณะหลายครั้ง แต่ภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังในวิหารลายคำของวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร ซึ่งถือกันว่า เป็นงานฝีมือของช่างชั้นครู ยังคงได้รับการอนุรักษ์ ดูแลอย่างดีมาจนถึงปัจจุบัน
หอไตร
หอไตรวัดพระสิงห์ สร้างขึ้นในสมัยพระเมืองแก้ว ประมาณ พ.ศ.๒๐๔๐ เคยได้รับการบูรณะซ่อมแซมในสมัยพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ (พ.ศ.๒๓๙๗ - ๒๔๑๓) และเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองเชียงใหม่ ปี พ.ศ.๒๔๖๙
ลักษณะเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสองชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน ชั้นบนเป็นไม้ มุงหลังคากระเบื้องดินเผา หันหน้าไปทางทิศตะวันออก บันไดทางขึ้นด้านหน้าเป็นรูปมกรคายสิงห์ บนแท่นข้างละตัว มีบันไดอยู่สองช่วง ช่วงบนเป็น มกรคายสิงห์ ช่วงล่างจะเป็นมกรคายนาค ซุ้มประตูทางเข้าในส่วนหน้าบันเป็นบุษบกซ้อนกัน ๕ ชั้น แกะสลักลวดลายปูนปั้น รูปเทวดาและเทพพนม จำนวน ๑๖ องค์ สัตว์หิมพานต์ อาทิ สิงห์ ช้าง กิเลน ปลา กวาง นกยูง คชสีห์ เหมราช และ นรสิงห์ เป็นต้น ชั้นบนเป็นเครื่องไม้ทาสีแดง มีปูนปั้น ประดับเป็นรูปดอกไม้ ๘ กลีบ และ มีบราลีทำเป็นรูปหงส์อยู่บนสันหลังคา
หอไตร เป็นอาคารที่ใช้สำหรับเก็บรักษาพระธรรม คัมภีร์ และหนังสือใบลานต่างๆ ในพระพุทธศาสนา หรือเรียกว่า หอพระไตรปิฏก
วัดพระสิงห์เป็นวัดสำคัญมาตั้งแต่ช่วงต้นราชวงศ์มังราย ควรช่วยกันรักษาให้คงคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรม และความเป็นพุทธ สืบไปตราบชั่วลูกชั่วหลาน
ภาพคูเมืองเชียงใหม่ บริเวณด้านหน้าร้านหนังสือดวงกมล ในปัจจุบัน ถ่ายเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๖
ภาพ : Nheurfarr Punyadee
- ดวงกมล2516.jpg (47.65 KiB) เปิดดู 7884 ครั้ง