ร้านถ่ายรูป นายไซโตะ ในละครกลิ่นกาสะลอง
เมื่อคืนมีฉากหมอทรัพย์ กาสะลอง และคำเกี๋ยงถ่ายรูปในร้านถ่ายรูปของช่างภาพชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นร้านถ่ายรูปแห่งแรกของเชียงใหม่ ชาวญี่ปุ่นในละครชื่อ ไซโตะ ส่วนภาพถ่ายระบุว่าถ่ายเมื่อเวลา ๐๘.๑๐ น. วันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๗ ไซโตะในเรื่องสนิทสนมกับหมอคอร์ต หมอมิชชันนารีประจำโรงพยาบาลแม็คคอร์มิค หมอคอร์ตมีตัวตนจริง เขาคือ นายแพทย์ อี. ซี. คอร์ต” (Dr.Edwin Charles Cort) ซึ่งเดินทางมายังเชียงใหม่ในปี พ.ศ.๒๔๕๑ เขาทำงานประจำอยู่โรงพยาบาลแมคคอร์มิคจนเกษียณอายุจึงพาครอบครัวกลับไปพำนักอยู่สหรัฐอเมริกา
- 60000182_605139676647675_7827946854396613192_n.jpg (20.92 KiB) เปิดดู 6188 ครั้ง
ข้อมูลส่วนนี้มีรายละเอียดเพิ่มเติมคือ อันที่จริงกิจการถ่ายรูปในเชียงใหม่ครั้งแรกเป็นของ หลวงอนุสารสุนทร ที่ได้เรียนรู้การถ่ายภาพจากพระยาเจริญราชไมตรี (จำนง อมาตยกุล) แล้ว ท่านได้เปิดแผนกถ่ายรูปในร้านชั่วย่งเส็ง แผนกถ่ายรูปของร้านชั่วย่งเส็งจึงถือเป็นร้านถ่ายรูปร้านแรกของเชียงใหม่ และหลวงอนุสารสุนทรก็เป็นนักถ่ายรูปอาชีพคนแรกของเชียงใหม่ในเวลานั้นด้วย
นายเอ็ม ทานากะ หรือที่คนเชียงใหม่มักจะเรียกว่า นายเอ็ม ทานาคา (Mr.Morinosuke Tanaka) เป็นนักถ่ายภาพอีกคนซึ่งถือเป็นผู้บุกเบิกการถ่ายภาพในเชียงใหม่ นายเอ็ม ทานากะ เป็นชาวเมืองคาโกชิมา เมืองชายทะเลทางตอนใต้ของเกาะญี่ปุ่น เขาได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๔๓ โดยเข้ามาทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ที่ร้านถ่ายรูปที่มีชื่อเสียงที่สุดของกรุงเทพฯชื่อร้านโรเบิร์ต เลนส์ ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง มิสเตอร์ เอ็ม.ทานากะ ทำงานอยู่ที่ร้านโรเบิร์ต เลนส์ ๓ ปี ก็ได้เดินทางไปเปิดร้านถ่ายรูปที่เมืองลำปางตามคำชักชวนของเจ้าผู้ครองนครลำปาง
นายเอ็ม.ทานากะ เปิดร้านถ่ายรูปในเมืองลำปางชื่อร้านทานากะถ่ายรูป อยู่ย่านกลางเมือง กิจการร้านถ่ายรูปของนายทานากะดีพอสมควร แต่ลำปางเป็นเมืองเล็ก เมื่อนายแพทย์ชาวอเมริกันชื่อ ดร.คอร์ต ซึ่งคุ้นเคยกับนายทานากะเป็นอย่างดีได้ชักชวนให้ไปเปิดร้านถ่ายรูปที่เชียงใหม่ โดยแนะนำให้เปิดที่บ้านวัดเกตุซึ่งเป็นย่านชุมชนการค้าของเมืองเชียงใหม่สมัยนั้น
นายเอ็ม ทานากะ จึงตกลงมาเปิดกิจการที่เชียงใหม่ และได้แต่งงานกับนางสาวทองดี ภิญโญ ชาวลำพูน มีลูกสาว ๑ คนชื่อ คำปุ่น หลังจากแต่งงาน เขาจึงได้ขยายกิจการ โดยไปซื้อที่ดินข้างโบสถ์คริสตจักรที่๑ เชียงใหม่ ริมแม่น้ำปิงเปิดร้านถ่ายรูป ชื่อ "ร้านเชียงใหม่ถ่ายรูป" ซึ่งเป็นโรงงานที่มีกระจกถ่ายรูป สามารถถ่ายรูปตอนเช้าได้โดยไม่ต้องใช้แสงไฟฟ้า นาย เอ็ม.ทานากะ เสียชีวิตเมื่อวัย ๘๘ ปีด้วยโรคชรา นางคำปุ่น และนายฮาตาโน (Mr. Shu Hatano) ลูกเขย
จึงได้สืบทอดกิจการร้านถ่ายรูปต่อ
- 123084.jpg (52.79 KiB) เปิดดู 6188 ครั้ง
อ้างอิง บทสัมภาษณ์นายฮาตาโน ในหนังสือ เพื่อนเดินทาง ฉบับปีที่ ๔,เชียงใหม่นิวส์
นายแพทย์ อี. ซี. คอร์ต” (Dr.Edwin Charles Cort)
- 123083.jpg (91.73 KiB) เปิดดู 6188 ครั้ง
ปี พ.ศ. ๒๔๕๑ “นายแพทย์ อี. ซี. คอร์ต” (Dr.Edwin Charles Cort) แพทย์มิชชั่นนารีผู้ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ “โรงพยาบาลแมคคอร์มิค” ได้เดินทางมาประจำที่โรงพยาบาลแห่งนี้ และนายแพทย์แมคเคนได้แยกไปสร้าง “นิคมโรคเรื้อนแมคเคน” (McKean Leprosy Asylum) ที่บริเวณเกาะกลาง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้การรักษาผู้ป่วยโรคเรื้อนซึ่งมีเป็นจำนวนมาก
ในเวลานั้น “นายแพทย์ อี. ซี. คอร์ต” หรือที่ชาวบ้านเรียกขานว่า “พ่อเลี้ยงคอร์ต” ได้ทำงานพันธกิจการบำบัดรักษาโดยมีใจรักในการบริการ ทุ่มเทในการรักษาอย่างมาก จึงเป็นที่รักที่เคารพยกย่องนับถือของทุกคนในแถบนี้เป็นอย่างยิ่ง ทำให้มีผู้มารับการรักษาพยาบาลเป็นจำนวนมาก ทว่าโรงพยาบาลมีสถานที่ไม่เพียงพอ
หลังจาก “นายแพทย์ อี. ซี. คอร์ต” เดินทางกลับไปพักผ่อนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ได้มีโอกาสได้พบกับ “นางไซรัส แมคคอร์มิค” (Mrs.Cyrus McCormick) มหาเศรษฐีนีในวงการอุตสาหกรรม และเกษตรกรรม ซึ่งได้บริจาคเงินจำนวน ๓๐,๐๐๐ เหรียญสหรัฐ เพื่อเป็นทุนในการก่อสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ “นายแพทย์ อี. ซี. คอร์ต” จึงก่อสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ขึ้นกลางผืนนาทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำปิง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “โรงพยาบาลแมคคอร์มิค” ในปัจจุบัน และให้ชื่อโรงพยาบาลที่สร้างใหม่นี้ว่า “โรงพยาบาลแมคคอร์มิค” (McCormick Hospital) เพื่อเป็นเกียรติแก่ “นางไซรัส แมคคอร์มิค” โดย “พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงอดิศรอุดมเดช” เป็นผู้ทำพิธีวางศิลาหัวมุม (Corner Stone) เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๓ ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ ๔ ปีนับว่าเป็นโรงพยาบาลที่ทันสมัยที่สุด และมีอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัยจากสหรัฐอเมริกา เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ซึ่งมีจำนวนเตียงรับผู้ป่วยไว้ค้างคืนได้ ๑๐๐ เตียง
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ปี พ.ศ.๒๔๘๕ ถึง พ.ศ.๒๔๘๙ รัฐบาลไทยได้เข้าควบคุมกิจการของโรงพยาบาลแมคคอร์มิค และเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงพยาบาลเสรีเริงฤทธิ์” ใช้เป็นโรงพยาบาลสนาม เมื่อสงครามโลกสงบลง รัฐบาลไทยจึงส่งมอบโรงพยาบาลคืนให้กับคณะมิชชั่นนารีดำเนินการต่อไปเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๘๙ และใช้ชื่อ “โรงพยาบาลแมคคอร์มิค” ดังเดิม
เนื่องจากทำงานอยู่ในแผ่นดินล้านนาเป็นเวลานานกว่า ๔๐ ปี ในปี พ.ศ.๒๔๙๒ “นายแพทย์ อี. ซี. คอร์ต” พร้อมทั้งครอบครัว จึงเกษียณอายุการทำงาน และเดินทางกลับประเทศสหรัฐอเมริกา “คณะมิชชั่นนารีเพรสไบทีเรียน” จึงมอบ “โรงพยาบาลแมคคอร์มิค” และกิจการทั้งหมดให้แก่ “มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย” เป็นผู้ดูแลต่อนับแต่นั้นเป็นต้นมา “โรงพยาบาลแมคคอร์มิค” จึงอยู่ภายใต้การรับผิดชอบของคนไทยมาจนปัจจุบัน
ที่มา :
http://www.mccormick.in.th