แม่น้ำปิง จังหวัดเชียงใหม่ ถ่ายเมื่อพ.ศ.๒๕๑๕ สภาพของแม่น้ำปิงฝั่งด้านตะวันออก ในปีนั้นแห้งขอด ผู้ที่อยู่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำปิง ได้ทำบันไดและทางลงมายังท่าน้ำ อีกทั้งยังสามารถลงมาปลูกเพิงพักกัน หรือบางคนก็ปลูกผักสวนครัวเล็กๆน้อยๆบนหาดทราย ต้นไม้ที่ปลูกริมฝั่งซ้ายมือส่วนมากจะเป็นต้นลำไย ยอดเจดีย์ที่เห็นคือวัดเกตุการาม
บันไดนาคทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเจียงใหม่ ถ่ายเมื่อพ.ศ.๒๔๙๗
ภาพ : ภาพเก่าเล่าเรื่อง
โรงหนังศรีนครพิงค์ ถ่ายเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๓
ประวัติโรงภาพยนตร์หรือโรงหนังในเมืองเชียงใหม่ เริ่มครั้งแรกประมาณปี พ.ศ.๒๔๖๖ โรงภาพยนตร์แห่งแรกชื่อว่าโรงภาพยนตร์ “พัฒนากร” ตั้งอยู่ถนนช้างคลาน บริเวณใกล้ไนท์บาซาร์ในปัจจุบัน โรงภาพยนตร์เป็นอาคารไม้หลังคามุงสังกะสี เจ้าของ คือ ขุนอุปติพงษ์พิพัฒน์ ชื่อเดิม คือ นายสาร์ต อุปติพงษ์ นักธุรกิจจากกรุงเทพฯ ที่อพยพมาอยู่เมืองเชียงใหม่พร้อมครอบครัว นอกจากทำธุรกิจโรงหนังแล้วยังทำโรงพิมพ์อยู่หน้าโรงแรมเพชรงาม ถนนเจริญประเทศ ผู้ที่เช่าโรงหนังทำหนังมาฉาย ชื่อว่า ขุนพุฒ สมัยแรกค่าเข้าชม ๒๕ สตางค์ , ๕๐ สตางค์ และ ๑ บาท ก่อนหนังฉาย ๑ วัน มีขบวนแห่แตรวงไปทั่วเมือง และประกาศเกี่ยวกับหนังที่จะฉาย หนังฉายประมาณ ๓ ทุ่ม เลิกเที่ยงคืน ภาพยนตร์ยุคแรกไม่มีเสียงพากย์ เมื่อหมดม้วนระหว่างรอเปลี่ยนม้วนหนังจะมีแตรวงบรรเลงคั่นเวลา
หลังจากขุนพุฒ เสียชีวิต โรงหนังพัฒนากรถูกปล่อยร้างระยะหนึ่ง จนประมาณ ปี พ.ศ.๒๔๗๐ คุณนายลัดดา พันธาภา มาเช่าทำกิจการต่อและเปลี่ยนชื่อเป็นโรงหนัง “ศรีเวียง” ยุคต่อมาเจ้าไชยสุริวงศ์ ณ เชียงใหม่มาเช่าทำต่อ(คุณป้าซิวเฮียง โจลานันท์,สัมภาษณ์)
โรงหนังแห่งต่อมา คือ “ตงก๊ก” อยู่ถนนท่าแพ ตรงข้ามวัดแสนฝาง ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “ศรีวิศาล” ระยะต่อมามีผู้เปิดโรงหนังแห่งที่ ๓ ชื่อ “ตงเฮง” อยู่ถนนท่าแพ ต่อมาเลิกกิจการเปลี่ยนเป็น “โรงยาฝิ่น” ภายหลังบริเวณดังกล่าวทำเป็นห้างสรรพสินค้า “ตันตราภัณฑ์” โดยนายธวัช ตันตรานนท์
ส่วนโรงหนัง “ศรีนครพิงค์” นั้น เริ่มดำเนินการเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๘ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง ลงทุนดำเนินการโดย เจ้าไชยสุริวงศ์ ณ เชียงใหม่ บริเวณโรงหนังเดิมเป็นโรงละครเก่าของเจ้าราชบุตร
บริเวณโรงละครแห่งนี้ อยู่บริเวณคุ้มของเจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย อาจเรียกว่าอยู่ด้านท้ายคุ้ม ส่วนด้านหน้าคุ้มอยู่ติดแม่น้ำปิง ซึ่งคุ้มเจ้าแก้วนวรัฐ นายชู โอสถาพันธุ์หรือเถ้าแก่โอ๊ว ได้ซื้อไว้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๘ และสร้างเป็นตลาดนวรัฐ ระหว่างมีมหรสพเปิดตลาดในปี พ.ศ.๒๕๐๐ ได้มีคนร้ายปาระเบิดใส่ทำให้เถ้าแก่โอ๊ว เสียชีวิต
เจ้าวงศ์จันทร์ ณ เชียงใหม่(คชเสนี)ธิดาของเจ้าราชบุตร(วงษ์ตวัน ณ เชียงใหม่) ซึ่งเติบโตที่คุ้มนี้บันทึกเกี่ยวกับโรงละครแห่งนี้ไว้ว่า
“…นักเรียนที่เรียนในคุ้มประมาณ ๗๐ – ๘๐ คน วันเสาร์ วันอาทิตย์ โรงเรียนหยุด เด็กๆละครต้องเล่นละคร วันเสาร์ เวลา ๑๖.๓๐ น. มีแตรวงบรรเลงที่หน้าโรงละคร ซึ่งปลูกสร้างขึ้นอยู่ในบริเวณคุ้มหลวงทิศตะวันตก ข้าพเจ้าเห็นโรงละครสมัยนั้น รู้สึกว่ามันใหญ่โตมโหฬารเหลือเกิน ครั้งเวลา ๑๘.๓๐ น. พิณพาทย์จะโหมโรง ๒๐.๐๐ น. ละครลงมือแสดง เจ้าปู่(เจ้าแก้วนวรัฐ)ท่านมีพร้อมทุกอย่าง เครื่องดนตรี ครูละคร ก็เอาไปจากกรุงเทพฯ มาตอนหลังที่สุดนี้เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๐ ได้ขอให้เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์(ม.ร.ว.เย็น อิศราเสนา) ส่งครูขึ้นไปทำพิธีครอบละครชุดสุดท้าย เมื่อจะเปิดโรงละครใหม่อีกครั้งหนึ่ง สมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้ โรงละครจึงทำเพดานเป็นช่องๆ ทำสะพานยาวไปจดฝาห้อง แลสะพานมีหลายสะพาน ทำห่างกันราว ครึ่งเมตรสำหรับแขวนตะเกียงเจ้าพายุเรียกว่า ตะเกียงวอชิงตัน โดยชักรอกขึ้นไปแขวนไว้ รวม ๔ ดวง เอาฉากเขียนผ้าเป็นรูปเมฆหมอกลงมาข้างตะเกียง…”(หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าวงศ์จันทร์ คชเสนี,๒๕๔๐)
ชาวเมืองเชียงใหม่ มักผูกพันกับโรงหนัง “ศรีนครพิงค์” มาก ด้วยเหตุผลหลายประการ
เหตุผลหนึ่ง เพราะอยู่ใกล้ตลาด ย่านชุมชน ขณะนั้นภาพยนตร์เป็นสิ่งให้ความบันเทิงมากกว่าสิ่งอื่น
เหตุผลหนึ่ง เพราะหน้าโรงหนังเป็นสถานที่มีอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายชนิด แม้ไม่ได้มาดูหนังก็มากินอาหารได้
อีกเหตุผลหนึ่ง บริเวณหน้าโรงหนังมักมีหนุ่มสาวมาเที่ยวเตร่ดูใบปิดหนัง(ใบโฆษณา) อีกทั้งเป็นที่ที่หนุ่มสาวมักมาพบปะกันที่หน้าโรงหนัง
ผลต่อเนื่องนอกจากหนุ่มสาวได้พบปะกันแล้ว อีกด้านหนึ่ง นักเลงหัวไม้ทั้งหลายก็มาปะปนอยู่ด้วย ดังนั้นการชกต่อยวิวาทมีเรื่องมีราวกันก็มักจะเริ่มต้นกันที่หน้าโรงหนังแห่งนี้
โรงหนังศรีนครพิงค์ ในอดีต ส่งผลดีทำให้ร้านค้าย่านถนนช้างม่อยและถนนราชวงศ์ขายดี จนถึงตั้งตัวได้ ร้านค้าย่านนั้นยืนยันว่าช่วงที่โรงหนังศรีนครพิงค์ ยังเปิดฉายหนัง ผู้คนมากมายสัญจรผ่านไปดูหนัง ทำให้ค้าขายดีมาก จนหนังรอบค่ำเลิกตอน ๓ ทุ่มจึงถึงเวลาปิดร้าน(ต่อมามีการเพิ่มรอบ ๓ ทุ่มครึ่ง)
หน้าโรงหนัง ศรีนครพิงค์ นอกจากมีร้านค้าหลายร้าน ร้านหนึ่งที่อร่อยติดปาก คือ ร้านผัดไทยของป้าบัว อีกร้านหนึ่งคือ ร้านตือคาโคปัจจุบันยังขายที่ถนนช้างม่อยตัดใหม่ นอกจากนี้ยังมีร้านโกหลิ่ม เป็นร้านอาหารฝรั่งผสมอาหารจีน
ร้านหนึ่งคือ ร้านก๋วยเตี๋ยวโกฉั่ง เจ้าของชื่อ นายเตี้ยงเชง แซ่เอง ต่อมามอบให้รุ่นลูกดำเนินการต่อ คือ นายพิชัย แซ่เอง เล่าบรรยากาศหน้าโรงหนังศรีนครพิงค์ขณะนั้น ว่า
“ขายบริเวณหน้าโรงหนังสร้างไม่ถาวร เป็นแผงลอย ใช้ผ้าเต็นท์กันแดดกันฝน เช่าจากคุณนายลัดดาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ผมและน้องๆ มาช่วยขาย ขายก๋วยเตี๋ยวหมู ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ กระเพาะปลา ก๋วยจั๊บ หอยทอด ใกล้ร้านผมมีร้านเย็นตาโฟศรีพิงค์ พี่น้องช่วยกัน ต่อมาแยกครอบครัวไปมีสาขาช้างเผือกและหลัง มช. อีกร้านหนึ่งที่ขายดีคือร้านไอติมศรีฟ้า เจ้าของร้านปัจจุบันเป็นเจ้าของวีระชัยคอร์ด
“ร้านขายตือคาโคก็อร่อยและขายดี เจ้าของชื่อ อึ้มไล้ หลังจากโรงหนังเลิก รุ่นหลานมาเปิดขายที่ถนนช้างม่อยตัดใหม่ นอกจากนี้มีอีกหลายร้าน เช่น ร้านหอยทอด ข้าวเกรียบปากหม้อ ร้านผัดไทย หัวผักกาด ร้านขายขนมไทย ร้านอาแปะขายน้ำเต้าหู้ ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือโกเหลียง ส่วนบนโรงหนังขายขนมขบเคี้ยว หมากฝรั่ง ผลไม้ดอง
“ครอบครัวผมเริ่มจากพ่อแม่มาจากกรุงเทพฯ พ่อ ชื่อ นายเตี้ยงเซง คุ้นเคยกับเฮียโอวตี่มาเริ่มขอพื้นที่ร้านข้าวต้มเฮียโอวตี่ขายหอยทอด ละแวกหน้าโรงหนังสุริวงศ์ ต่อมาทางเทศบาลปรับพื้นที่จึงย้ายมาขายหน้าโรงหนังศรีนครพิงค์ ขณะนั้นมาเช่าห้องแถวของหมอเชย วสุวัต ปัจจุบันคือบริเวณโรงแรมนิวมิตรภาพถนนราชวงศ์ ขณะนั้นมีบ้านไม้ใหญ่ ๒ หลัง หลังหนึ่งคุณนายเชื้อ พักอยู่กับครอบครัว อีกหลังหนึ่งของหมอเชย หน้าบ้านมีสนามแบดมินตัน ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่ จำได้ว่าห้องแถวอยู่ด้านในของถนนราชวงศ์ มีหลายห้อง ละแวกนั้นมีต้นมะพร้าวเยอะ ต่อมาเขาจะสร้างตึกพ่อย้ายมาเช่าห้องอยู่ใกล้โบสถ์แขกของคุณนายอ่อนศรี อาชีพขายก๋วยเตี๋ยวหน้าโรงหนังศรีนครพิงค์ มักเรียกกันว่า ก๋วยเตี๋ยวโกฉั่ง รุ่นลูกมี ๗ คนไปช่วยกันขายก๋วยเตี๋ยว
“ต่อมาพ่ออายุมาก ผมและน้องๆ ช่วยกันขายต่อมา ผมขายหน้าโรงหนังศรีพิงค์ ๑๐ กว่าปี ต่อมาเมื่อโรงหนังเลิกกิจการมาเช่าอยู่ที่ถนนช้างม่อยตัดใหม่ซึ่งคุณมัณฑนาทำตึกให้เช่า เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรื่อยตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๑ เรื่อยมา
“ถนนช้างม่อยตัดใหม่สร้างมาก่อนถนนสายข้างวัดแสนฝางที่จากท่าแพมา เดิมบริเวณนี้เป็นที่ราชพัสดุ ต่อมาคุณมัณฑนามาเช่าและสร้างตึกแถวให้เช่า นอกจากนี้ได้สร้างถนนแยกจากถนนช้างม่อยมาทางหลังวัดแสนฝาง สร้างสะพานคอนกรีตข้ามลำน้ำแม่ข่าไปหลังวัดแสนฝางซึ่งมีทางเล็กๆไปทะลุถนนท่าแพ ต่อมาทางราชการเวนคืนที่ดินและสร้างถนนจากถนนท่าแพผ่านข้างวัดแสนฝางมาจบกับถนนราชวงศ์
“หน้าโรงหนังศรีพิงค์เป็นศูนย์รวมของอาหาร คนมาดูหนัง หากไม่ดูหนังก็มาหาของกิน สมัยนั้นคิวรถ มช.(มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)ก็อยู่ใกล้ๆ คือ บริเวณโรงแรมกำธร โดยเฉพาะเมื่อมีดนตรีลูกทุ่งมาแสดง คนมาเยอะ สมัยนั้นมีศรคีรี ศรีประจวบ , ไพรวัลย์ ลูกเพชร , บุปผา สายชล , สุรชัย สมบัติเจริญมักมาเปิดแสดงเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๐๖-๒๕๐๗
“สมัยอยู่หน้าโรงหนังเริ่มขายก๋วยเตี๋ยวตั้งแต่ ๔ โมงเย็น คนจะเริ่มมากินและมารอดูหนังรอบ ๑ ทุ่ม รอบที่สอง คือ ๓ ทุ่มครึ่ง(๒๑.๓๐ น.) เมื่อคนเข้าชมหนังรอบที่สองแล้วก็จะเก็บร้าน ส่วนเสาร์อาทิตย์มีรอบกลางวันเพิ่มมา วันเสาร์อาทิตย์มักมีรอบ ๔ โมงเย็น(๑๖.๐๐ น.) เสียงในฟิล์มเป็นภาษาอังกฤษ นักศึกษา มช.มักมาดูกันเยอะ”
ปัจจุบันร้านก๋วยเตี๋ยวโกฉั่ง ที่ดำเนินการโดยพิชัย แซ่เองและ ศิริรัตน์ แซ่เอง น้องสาวยังคงเปิดบริการอยู่ที่ถนนช้างม่อยตัดใหม่ ย่านหลังวัดแสนฝาง ขายก๋วยเตี๋ยวหมู เย็นตาโฟและหอยทอด
ข้อมูลจาก : พ.ต.อ.อนุ เนินหาด