วัดภูมินทร์ ตั้งอยู่ใกล้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่าน เป็นวัดที่มีลักษณะแปลกกว่าวัดอื่นๆ คือ อุโบสถและวิหารสร้างเป็นอาคารหลังเดียวกัน
มีประตูไม้ทั้ง ๔ ทิศ ซึ่งแกะสลักลวดลายงดงามโดยฝีมือช่างเมืองน่าน นอกจากนี้ฝาผนังแสดงถึงชีวิตและวัฒนธรรมของยุคสมัยที่ผ่านมาตามพงศาวดารเมืองน่าน วัดภูมินทร์ สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช๒๓๑๙ โดยเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ สร้างขึ้นหลังจากขึ้นครองนครน่านได้ ๖ ปี ปรากฏในคัมภีร์เมืองเหนือว่าเดิมชื่อ"วัดพรหมมินทร์" ซึ่งเป็นชื่อของเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ ผู้สร้าง แต่ตอนหลังชื่อวัดได้เพี้ยนไปจากเดิมเป็นวัดภูมินทร์ดังกล่าว ความสวยแปลกของวัดภูมินทร์ที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนเป็นหนึ่งเดียวในประเทศไทย คือเป็นพระอุโบสถและพระวิหารสร้างเป็นอาคารหลังเดียวกัน เป็นทรงจตุรมุข(กรมศิลปากรได้สันนิษฐานว่าเป็นพระอุโบสถจตุรมุขของประเทศไทย) นาคสะดุ้งขนาดใหญ่แห่แหนพระอุโบสถเทินไว้บนกลางลำตัว ตรงใจกลางพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดใหญ่ ๔ องค์ ประทับนั่งบนฐานชุกชี หันพระพักตร์ออกด้านประตูทั้งสี่ทิศ เบื้องพระปฤษฎางค์ชนกัน ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังศิลปกรรมไทลื้อที่เล่าเรื่องชาดก ตำนานพื้นบ้านและความเป็นอยู่ของชาวน่านในอดีต
#ภาพเก่าเล่าเรื่อง
- 23479.jpg (24.37 KiB) เปิดดู 7251 ครั้ง
ปราสาทนกหัสดีลิงค์
- 23481.jpg (40.5 KiB) เปิดดู 7251 ครั้ง
เป็นเครื่องประกอบพิธีส่งสการเก่าแก่ของคนล้านนา สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากเชียงรุ้งแห่งสิบสองปันนา เป็นการยกย่องพระเถระผู้มีความเคารพ ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าพิธีกรรมปลงศพด้วยนกหัสดีลิงค์เริ่มขึ้นบนแผ่นดินล้านนาตั้งแต่ยุคใด และมีความเก่าแก่ไปถึงยุคหริภุญไชยหรือทวารวดีหรือไม่ ทราบแต่ว่าเริ่มมีแล้วแน่ๆ ในยุคล้านนาตอนปลาย
หนังสือ “พงศาวดารโยนก” กล่าวถึงการสร้างพิมานบุษบกบนหลังนกหัสดีลิงค์ในงานถวายพระเพลิงศพนางพระญาวิสุทธิเทวี กษัตรีย์แห่งราชวงศ์มังรายผู้ครองเมืองเชียงใหม่องค์สุดท้าย ราวปี พ.ศ.๒๑๒๑ ซึ่งเป็นยุคที่ล้านนาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าแล้ว ถือว่าเป็นหลักฐานที่เป็นรูปธรรมชิ้นแรกที่กล่าวถึงนกหัสดีลิงค์ในล้านนา
“จุลศักราช ๙๔๐ ปีขาล สัมฤทธิศก เดือนอ้าย ขึ้น ๑๒ ค่ำ…..นางพระญาวิสุทธิเทวี….ตนนั่งเมืองนครพิงค์…ถึงสวรรคต พระญาแสนหลวงจึงแต่งการพระศพ….ทำเป็นวิมานบุษบกตั้งอยู่บนหลัง….นกหัสดินทร์ตัวใหญ่….แล้วฉุดลากไปด้วยแรงช้างคชสาร……ชาวบ้าน ชาวเมืองเดินตามไป…..เจาะกำแพงเมืองออกไปทางทุ่งวัดโลกโมฬี….และทำการถวายพระเพลิง ณ ที่นั้น…..เผาทั้งรูปปนกหัสฯ และวิมานบุษบกนั้นด้วย….. “
ด้วยเหตุที่พระนางวิสุทธิเทวีปกครองล้านนาภายใต้การบังคับบัญชาของพระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่า ทำให้นักวิชาการบางท่านเห็นว่าประเพณีนี้อาจถูกนำมาสถาปนาในล้านนาโดยพม่าหรือไม่ เมื่อศึกษาให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีกชั้นพบว่าพม่ารับวัฒนธรรมส่วนใหญ่มาจากชาวมอญอีกทีหนึ่ง แต่ที่น่าสงสัยก็คือในปัจจุบันทั้งชาวมอญ (หงสาวดี) และชาวพม่าในเมืองสำคัญๆ กลับไม่ปรากฏว่ามีพิธีการทำศพด้วยนกหัสดีลิงค์อีกต่อไป (อาจถูกตัดตอนไปแล้วในยุคล่าอาณานิคม) ยกเว้นแต่คำบอกเล่าของปราชญ์ชาวมอญบ้านเกาะเกร็ดนนทบุรี ที่บอกว่าคนเฒ่าคนแก่เคยเล่าถึงพิธีลากปราสาทศพนกหัสดีลิงค์เมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันพิธีนี้ก็ยกเลิกไปแล้วเช่นกัน
เมื่อเปรียบเทียบกับทางกรุงศรีอยุธยา เมื่อ ๔๐๐ ปีก่อนได้พบคำว่า เมรุเผาศพ ขึ้น (เมรุแทนสัญลักษณ์ของเขาพระสุเมรุ) ในแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง ราว พ.ศ.๒๑๘๑ ว่ามีการสร้างวิมานขนาดใหญ่กลางนคราเพื่อเป็นที่ถวายพระเพลิงศพกษัตริย์เป็นการเฉพาะ อันเป็นรูปแบบที่จำลองมาจากปราสาทหินนครวัด ซึ่งทางกรุงศรีอยุธยามีความสัมพันธ์กับทางขอมมากกว่ามอญ จึงไม่ปรากฏเรื่องราวของนกหัสดีลิงค์
นกสักกะไดลิงค์จากเชียงรุ้งสู่ทุ่งศรีเมือง
พิธีส่งสการศพด้วยนกหัสดีลิงค์ในล้านนามีธรรมเนียมสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยพระนางเจ้าวิสุทธิเทวี เคียงคู่ขนานกับรัฐหลายรัฐในสายตระกูล “ล้านนา-ล้านช้าง” อาทิ รัฐฉาน และเชียงตุงในพม่า เมืองหลวงพระบาง เมืองจำปาสัก ในลาว ข้อสำคัญยังพบพิธีกรรมนี้ที่อำเภอทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีเจ้านายสืบเชื้อสายมาจากเมืองเชียงรุ้ง (เชียงรุ่ง) ในสิบสองปันนา
ตำนานการทำศพด้วยนกสักกะไดลิงค์ฉบับทุ่งศรีเมืองกล่าวว่า
“มีนครหนึ่งชื่อนครเชียงรุ้งตักศิลา พระเจ้าแผ่นดินถึงแก่สวรรคต พระมเหสีนำพระบรมศพแห่แหนไปถวายพระเพลิงนอกเมือง นกสักกะไดลิงค์ บินจากป่าหิมพานต์มาเห็นเข้าจึงได้โฉบลงแย่งพระศพ พระมเหสีให้หาคนที่จะสู้นกแย่งเอาพระศพคืน ในที่สุดมีหญิงสาวผู้หนึ่งชื่อ เจ้านางสีดา เป็นบุตรีของมหาราชครู อาสาต่อสู้นก เจ้านางสีดามีวิชายิงศรเป็นเยี่ยม ได้ใช้ศรยิงถูกนกใหญ่ตกลงมาถึงแก่ความตาย พระมเหสีจึงให้ประกอบพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของกษัตริย์พร้อมนกใหญ่ จนกลายเป็นธรรมเนียมสำหรับเจ้านายเชื้อสายจำปาสักว่า เมื่อถึงแก่อนิจกรรมแล้ว ให้ทำพระเมรุรูปนกสักกะไดลิงค์ประกอบหอแก้วแล้วเชิญศพขึ้นตั้ง ชักลากออกไปบำเพ็ญพระกุศลครบถ้วน ๓ วันจึงเผา ก่อนเผาต้องมีพิธีฆ่านก แล้วเผาทั้งศพทั้งนก”
พิธีปลงศพด้วยนกสักกะไดลิงค์ที่อุบลราชธานีในอดีตนั้นมีความหรูหราอลังการมาก นั่นคือต้องชักลากปราสาทศพออกไปบำเพ็ญกุศลกลางท้องทุ่งศรีเมืองเป็นเวลา ๓ ถึง ๕ วันจึงจะเผา เจ้าภาพต้องจัดโรงทานไว้ตลอดงานสำหรับคนที่มาร่วมงานพิธีฆ่านก ผู้ฆ่าต้องเป็นนางทรงที่สืบสกุลจากเจ้านางสีดา ซึ่งมีการสืบทอดเชื้อสายกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ก่อนมีพิธีฆ่านก เจ้าภาพจะจัดพิธีทอดผ้าบังสุกุลตามพุทธศาสนาเสียก่อน หลังจากเผานกและเมรุแล้ว คืนนั้นจะมีมหรสพสมโภชอัฐิไปด้วย รุ่งเช้าเก็บอัฐิและอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตาย แล้วนำอัฐิไปก่อธาตุบรรจุต่อไป
เมื่อกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์เป็นข้าหลวงต่างพระองค์ปกครองเมืองอุบลได้มาร่วมงานประเพณีนี้ เห็นว่าเป็นการแข่งบารมีกับพระมหากษัตริย์แห่งกรุงสยามที่มีการเผาพระบรมศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง จึงมีคำสั่งให้ยกเลิกประเพณีการเผาศพเจ้านายที่ทุ่งศรีเมืองเสีย จากนั้นแนวความคิดรวมศูนย์อำนาจดังกล่าวได้แพร่หลายนำไปใช้เป็นแบบอย่าง ในการออกคำสั่งให้ยกเลิกพิธีปลงศพเจ้านายด้วยนกหัสดีลิงค์บนแผ่นดินล้านนาทั่วทุกเมืองอีกเช่นกัน
ด้วยเหตุผลที่ว่าอาณาจักรล้านนาและล้านช้างฟากตะวันตกของแม่น้ำโขงถูกรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกับราชอาณาจักรสยามแล้ว ดังนั้นจึงมีพระมหากษัตริย์ได้เพียงหนึ่งเดียว ทางรัฐบาลสยามเกรงว่าหากปล่อยให้มีพิธีถวายพระเพลิงศพเจ้านายบนปราสาทนกหัสดีลิงค์ซึ่งมีความสง่างาม ยิ่งใหญ่สมฐานะบารมีต่อไปเรื่อยๆ จะเป็นการแข่งขันกับพระราชพิธีถวายพระเพลิงของกษัตริย์ราชวงศ์จักรี
การเมืองเรื่องปราสาทศพนกหัสดีลิงค์
แม้กระนั้นชาวล้านนาและชาวอุบลยังขออนุโลมให้ได้จัดพิธีดังกล่าวสำหรับพิธีศพของพระเถระชั้นผู้ใหญ่บ้าง เพื่อมิให้ประเพณีนี้สูญหายไป เฉพาะการลากจูงศพนั้น ต้องใช้ภูมิปัญญาของชาวบ้านแบบโบราณ ด้านล่างของปราสาทไม่มีล้อและกลไกขับเคลื่อน แต่ใช้ต้นมะพร้าวสองต้นเป็นส่วนฐานลากแทนล้อรถ ต้องใช้แรงงานคนในการบังคับการเลี้ยว และใช้ไม้พลองในการงัดต้นมะพร้าว ให้ไปตามทิศทางที่จะเลี้ยวด้วยความยากลำบากยิ่ง แต่การลากจูงสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือร่วมใจของวิถีชาวบ้านอย่างแท้จริง
ภาพของประชาชนนับหมื่นที่แห่เข้าร่วมขบวนลากจูงปราสาทศพนกหัสดีลิงค์ของพระเถระผู้ใหญ่ จากวัดเคลื่อนไปตามท้องถนนสู่เมรุเผาศพในแผ่นดินล้านนานั้นกว่าจะมีให้เห็นประปรายสักครั้งจึงยากแสนเข็ญ เหตุเพราะภาครัฐและการเมืองได้เข้ามาอุปถัมภ์การจัดพิธีกรรมนี้ เพื่อจะได้กลั่นกรองพิจารณาเห็นชอบอนุญาตให้จัดได้เฉพาะพระเถระที่ทรงคุณธรรมเคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีความรู้ในพระปริยัติแตกฉานเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ตนบุญผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนา แต่ถูกสยามมองว่าเป็น “กบฏผีบุญ” ทั้งหลาย เช่น ครูบาเจ้าศรีวิชัย จะไม่ได้รับอนุญาตให้จัดพิธีศพด้วยปราสาทนกหัสดีลิงค์ แม้รัฐบาลจะมีส่วนช่วยให้พิธีกรรมส่งสการศพด้วยนกหัสดีลิงค์นี้ยังดำรงอยู่ หากแต่ในแง่หนึ่งนั้นก็สะท้อนให้เห็นว่า ภาคการเมืองได้พยายามใช้พิธีกรรมนี้เป็นเวทีการกดข่มและขีดวงล้อมกรอบทางประเพณีของคนในท้องถิ่นไว้ด้วยเช่นกัน
ปัจจุบันไม่มี “เจ้านาย” องค์ไหนของทางล้านนาและเมืองอุบลราชธานีมีสิทธิ์ได้รับเกียรติอันสูงส่ง ในการปลงศพด้วยปราสาทนกหัสดีลิงค์อีกต่อไปแล้ว แต่หากไม่ช่วยกันรักษา “พื้นที่” อนุรักษ์พิธีกรรมนี้ไว้เมื่อพระสงฆ์ผู้หลักผู้ใหญ่ถึงแก่มรณภาพ คนในท้องถิ่นก็จะขาดสำนึกทางประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ ในแง่ของการผลิตซ้ำอุดมการณ์ความเชื่อที่ว่าพวกตนต่างสืบเชื้อสายมาจากกลุ่ม “ล้านนา-ล้านช้าง”
เพ็บสุภา สุขคตะ.เปิดตำนาน-ความหมาย ‘ปราสาทนกหัสดีลิงค์’ ปลงศพเจ้า เผาศพพระ ในวัฒนธรรมล้านนา-ล้านช้าง.มติชน
ว่าวลม
- ว่าวลม.jpg (56.71 KiB) เปิดดู 7251 ครั้ง
ในประเพณียี่เป็ง มีการจุดโคม (ปกติคนเหนือจะเรียกว่าว่าวลม หรือบางท้องถิ่นเรียก ว่าวฮม และว่าวไฟ) ประกอบด้วย “โคมลอย” จุดตอนกลางวัน และ ปล่อย “โคมไฟ” ตอนกลางคืน เพื่อคารวะต่อพระธาตุเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ การจุดโคมไฟและโคมลอยจะเกิดขึ้นโดยประชาชนรวมตัวกันนำกระดาษสีอะไรก็แล้วแต่เอาไปรวมกันที่วัด แล้วก็ไปช่วยกันต้มแป้งเปียกเพื่อใช้เหมือนกาวติดกระดาษ ได้โคมกระดาษลูกกลมๆ โตๆ สูง ๖ ฟุต มีรูข้างล่าง เพื่อใช้จุดไฟอัดควันเข้าไป ระหว่างช่วยกันทำคนในชุมชนก็ได้พูดคุยกันไป เกิดความรัก ความสามัคคีในชุมชน และยังประหยัดไม่ต้องซื้อหา
ส่วนกาลเทศะในการจุด “โคมลอย” นั้นจะจุดตอนเช้าก่อนหรือหลังจากพระฉันเพล ส่วนแต่ละวัดจะทำได้กี่ลูกก็ขึ้นอยู่กับกำลังศรัทธาของแต่ละวัด โดยทั่วไปจะจุดโคมลอยประมาณ ๖ ลูก และอีก ๖ ลูก จะไว้จุดกลางคืน เป็น “โคมไฟ”
ลูกที่จุดกลางวันจะมีแต่ควันอย่างเดียว ส่วนลูกที่จุดกลางคืนจะใช้ “ไต้” แขวนด้านล่าง เมื่อลอยขึ้นฟ้าจะมีแสงสว่างด้วย ซึ่ง “โคมไฟ” นี้จะมีการจุดช่วงหัวค่ำ คือจุดก่อนจะมีการเทศน์มหาชาติที่จะเริ่มประมาณหนึ่งทุ่ม จนไปถึงสิบโมงเช้า
ประเด็นหลักหัวใจของล้านนาในอดีตเป็นเรื่องชุมชน และวัดทำโคมเพื่อถวายพระธาตุเกศแก้วจุฬามณี ไม่ได้ผลิตจากโรงงาน วัสดุในการทำโคมก็เป็นชนิดเดียวกับที่ทำตุง โคมไฟในสมัยก่อนมีลูกใหญ่มีกำลังแรงลอยไปไกล ไฟทำจาก “ไต้” พอลอยลับตาคนก็ดับแล้ว ไม่ใช่ร่วงลงมาดับบนพื้น
โคมอย่างที่เราเห็น แต่แตกต่างจากประเพณีโบราณ เพราะตัวโคมทำจากกระดาษก็มีลักษณะเหนียวเหมือนเคลือบพลาสติก ส่วนไฟก็ทำจากกระดาษชำระชุบขี้ผึ้ง ซึ่งจะเผาไหม้นานมากไฟไม่ได้ดับบนอากาศ เป็นโคมเล็กๆ จากต้นทุน ๖ บาท แล้วนำมาขาย ๓ ลูก ๑๐๐ บาท หรือลูกละ ๖๐ บาท วิธีการผลิตและวิธีใช้ แบบทุนนิยม ผลิตจำนวนเยอะๆ ซื้อมาจุดได้ง่ายๆ ไม่ต้องเกิดจากความร่วมมือของชุมชน
(เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ของดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักวิชาการด้านท้องถิ่น และล้านนาศึกษา)