๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีฝังเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ
- 1696.jpg (146.96 KiB) เปิดดู 7393 ครั้ง
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขึ้นเสวยราชสมบัติโปรดเกล้าฯ ให้สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ โดยสืบทอดศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมจากพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา
พระองค์มีพระบรมราชโองการให้พระยาธรรมาธิกรณ์กับพระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างและไพร่ไปวัดกะที่ดินเพื่อสร้างพระนครใหม่ในวันที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕
ทรงประกอบพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๖ ขึ้น ๑๐ ค่ำ ย่ำรุ่งแล้ว ๙ บาท (๕๔ นาที) ปีขาล จ.ศ.๑๑๔๔ จัตวาศก
ตรงกับวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ เวลา๐๖.๕๔ น.
ตามธรรมเนียมพิธีพราหมณ์ว่า ก่อนที่จะสร้างเมืองจะต้องทำพิธียกเสาหลักเมืองในที่อันเป็นชัยภูมิสำคัญ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมืองที่จะสร้างขึ้น
การฝังเสาหลักเมืองมีพิธีรีตองตามพระตำราที่เรียกว่า พระราชพิธีนครฐาน ใช้ไม้ชัยพฤกษ์ทำเป็นเสาหลักเมือง ประกับด้านนอกด้วยไม้แก่นจันทน์ที่มี เส้นผ่าศูนย์กลางวัดที่โคนเสา ๒๙ เซนติเมตร สูง ๑๘๗ นิ้ว
กำหนดให้ความสูงของเสาหลักเมืองอยู่พ้นดิน ๑๐๘ นิ้ว ฝังลงในดินลึก ๗๙ นิ้ว มีเม็ดยอดรูปบัวตูม สวมลงบนเสาหลัก ลงรักปิดทอง ล้วงภายในไว้เป็นช่องสำหรับบรรจุดวงชะตาเมือง
การฝังเสาหลักเมืองเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๑ นั้น ได้เกิดอวมงคลนิมิตขึ้น
คือเมื่อถึงมหาพิชัยฤกษ์อัญเชิญเสาลงสู่หลุม ปรากฏว่ามีงูเล็ก ๔ ตัวเลื้อยลงหลุมในขณะเคลื่อนเสา
จึงจำเป็นต้องปล่อยเลยตามเลย โดยปล่อยเสาลงหลุมและกลบงูทั้ง ๔ ตัวตายอยู่ภายในก้นหลุม
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงทำนายชะตาเมืองว่าจะอยู่ในเกณฑ์ร้ายนับจากวันยกเสาหลักเมืองเป็นเวลา ๗ ปี ๗ เดือน จึงสิ้นพระเคราะห์
ทั้งยังทรงทำนายว่า จักดำรงวงศ์กษัตริย์สืบไปเป็นเวลา ๑๕๐ ปี
ชะตาแผ่นดินที่ร้ายถึงเจ็ดปีเศษนั้น เป็นช่วงที่ไทยติดพันศึกพม่าจนถึงศึกเก้าทัพ ซึ่งสิ้นสุดการพันตูหลังครบห้วงเวลาดังกล่าว
ส่วนคำทำนายว่าจักดำรงวงศ์กษัตริย์สืบไป ๑๕๐ ปีนั้น ไปครบเอาปี พ.ศ.๒๔๗๕ ซึ่งเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองพอดี
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงตรวจดวงพระชะตาของพระองค์ว่าเป็นอริแก่ลัคนาดวงเมืองกรุงเทพมหานคร จึงทรงแก้เคล็ดโดยโปรดให้ช่างแปลงรูปศาลหลักเมืองเสียใหม่ให้เป็นรูปปรางค์ และโปรดให้ถอนเสาหลักเมืองเดิมและประดิษฐานเสาหลักเมืองใหม่พร้อมบรรจุชะตาพระนครให้มีสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล มีอุดมมงคลฤกษ์ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๓๙๕ เวลา ๐๔.๔๘ น.
รัชกาลที่ ๔ ทรงโปรดเกล้าให้ขุดเสาหลักเมืองเดิม และจัดสร้างเสาหลักเมืองขึ้นใหม่ทดแทนของเดิมที่ชำรุด
เป็นแกนไม้สัก ประกับนอกด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ๖ แผ่น สูง ๑๐๘ นิ้ว ฐานเป็นแท่นกว้าง ๗๐ นิ้ว บรรจุดวงเมืองในยอดเสาทรงมัณฑ์ที่มีความสูงกว่า ๕ เมตร
และอัญเชิญหลักเมืองเดิม และหลักเมืองใหม่ ประดิษฐานในอาคารศาลหลักเมืองที่สร้างใหม่ มียอดปรางค์ ก่ออิฐฉาบปูนขาว ได้แบบอย่างจากศาลหลักเมืองกรุงศรีอยุธยา
พอถึงปี พ.ศ.๒๔๗๕ ซึ่งเป็นปีที่ ๑๕๐ ของการก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทำนายไว้ว่า
“จักดำรงวงศ์กษัตริย์สืบไปเป็นเวลา ๑๕๐ ปี“ เหตุการณ์อันไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นจริงๆ ดั่งคำทำนาย
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ นั้น เจ้านายที่ทรงความสำคัญรวม ๔ พระองค์ที่ทรงบังคับบัญชากิจสำคัญคือ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพระนครสวรรค์วรพินิต
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน
และสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเพ็ชร์บุรีราชสิรินทร
ทั้ง ๔ พระองค์นี้มีพระราชสมภพและพระราชประสูติปีเดียวกันคือปีมะเส็ง (งูเล็ก)
ต่างกันเพียงรอบปีพระราชสมภพกับพระประสูติ
โดยทั้งสี่พระองค์ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ เป็นอย่างยิ่ง
“นิมิตงูเล็กในเสาหลักเมืองจึงออกจะเป็นเรื่องอัศจรรย์”
กรณีคำทำนายการดำรงวงศ์กษัตริย์เป็นเวลา ๑๕๐ ปี เป็นไปตามคำทำนาย แต่ไม่เป็นไปตามคำนายครบทั้งหมด
เพียงเปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
คือสิ้นสุด พระราชอำนาจในการปกครองบ้านเมืองอีกต่อไป
กรณีนี้โหราจารย์ให้ความเห็นว่า คงเนื่องด้วยพระบารมีของรัชกาลที่ ๔ ที่ทรงแก้อาถรรพณ์ถอนเสาหลักเมืองและวางดวงชะตาพระนครขึ้นใหม่
ด้วยเหตุนี้ เสาหลักเมืองที่ประดิษฐาน ณ ศาลพระหลักเมืองจึงมีสองต้น เสาเดิมครั้งรัชกาลที่ ๑ คือต้นสูง ที่ได้ทำพิธีถอนเสาแล้ว
แต่หาที่เก็บที่เหมาะสมไม่ได้ จึงคงไว้ แกนในเป็นเสาไม้ชัยพฤกษ์ มีไม้จันทน์ประดับนอก ลงรักปิดทอง หัวเสาเป็นทรงบัวตูม ภายในกลวงสำหรับบรรจุชะตาพระนคร ดวงนี้อยู่ใจกลางยันต์สุริยาทรงกลด จารึกในแผ่นทอง เงิน นาก
ส่วนเสาพระหลักเมืองครั้งรัชกาลที่ ๔ คือต้นที่มีส่วนสูงทอนลงมา แกนในเป็นเสาไม้สัก มีไม้ชัยพฤกษ์ประดับนอก หัวเสาเป็นรูปยอดเม็ดทรงมัณฑ์ เป็นต้นที่สถิตประทับของพระหลักเมือง
นอกจากนี้ ภายในศาลพระหลักเมืองยังเป็นที่ประดิษฐานพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬไชยศรี เจ้าพ่อเจตคุปต์ และเจ้าพ่อหอกลอง เป็นเทพารักษ์สำคัญ ๕ องค์ที่ให้ความร่มเย็นแก่แผ่นดินและประชาราษฏร์ทั้งปวง
ความมหัศจรรย์ของไสยศาสตร์อันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ อาจเป็นจริงได้ ถ้าผู้ที่ทำเป็นผู้มีศีล สมาธิ ปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงเท่านั้น
ข้อมูล : อัษฎางค์ ยมนาค