นางข้าหลวง จาก เชียงใหม่ที่โชคชะตาหนุนส่ง ให้เป็นภริยา พระยาราชมนตรี ข้าราชบริพารในสมัยรัชกาลที่๕ จนได้เป็นคุณหญิงบุญปั๋น สิงหลกะ นามเดิม บุญปั๋น พิทักษ์เทวี ธิดาของ พญาพิทักษ์เทวี
- 10713.jpg (48.2 KiB) เปิดดู 8012 ครั้ง
สตรีล้านนา ผู้กลายมาเป็นเจ้าของกิจการเรือข้ามแม่น้ำท่าวัดระฆัง ไปท่าช้างวังหลวง ( ท่านเป็นคุณยายของ นักแสดง คุณภัทราวดี ศรีไตรรัตน์)ท่านเป็นนางข้าหลวง ในตำหนักลาวของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ใน วังหลวงมีหน้าที่เก็บเครื่องประดับ รักษาของมีค่าของพระราชชายา เป็นคนเดียวที่พระราชชายาไว้ใจ มอบหมายหน้าที่นี้
คุณหญิงบุญปั๋น เป็นข้าพระบาทในพระราชชายาฯ มาแต่เด็ก เมื่อพระราชชายามาถวายตัวอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ก็ตามเสด็จมาอยู่ด้วย และได้ออกเรือนกับ หลวงเทพสมบัติ (สง่า สิงหลกะ) เพราะมีผู้ใหญ่มาทาบทามและด้วยความเห็นชอบของพระราชชายาฯ ต่อมาหลวงเทพสมบัติได้เลื่อนเป็น พระยาราชมนตรี และท่านก็ได้เป็นคุณหญิงบุญปั๋น สิงหลกะ
ท่านร่ำรวย จากกิจการท่าเรือข้ามฝากในยุคนั้น ท่านไปไหนต้องมี ผู้คุ้มกันประกบสี่คนเพราะอาชีพทำท่าเรือ ต้องเเข่งขันสูงมาก ในภาพท่านสวมเสื้อแบบยุโรปใส่ซิ่นลุนตยาพม่า ต่อตีนจกล้านนาเป็นผ้าซิ่นประยุกต์นิยมกันในคุ้มของพระราชชายา สวย สง่า ลวดลายอลังการ เหมาะสมกับหญิงชั้นสูงแห่งเชียงใหม่..ในดินแดนสยาม
เรื่องและภาพจาก หนังสือประวัติ คุณภัทราวดี ศรีไตรรัตน์
หมายเหตุ ลาว เป็นคำเรียกผู้คนชาวล้านนาของคนสยามในสมัยนั้น เขาเหมารวมทั้ง ล้านนา ล้านช้าง ว่า ลาว ก่อนหน้าที่จะเรียกว่า มณฑลพายัพ แถบภาคเหนือเราก็ถูกเรียกว่า มณฑลลาวเฉียง มาก่อน แล้วเปลี่ยนมาเป็นมณฑลพายัพในเขตการดูแลปกครองของสยาม ในสมัยนั้น
(ละครเรื่อง บัลลังก์เมฆ ก็มีผู้กล่าวว่ามีเค้าโครงเรื่องบางส่วนจากชีวประวัติของท่าน)
- 14836.jpg (40.91 KiB) เปิดดู 8012 ครั้ง
การใช้ผี เพื่อต่อต้านอำนาจของกรุงเทพฯ ปรากฎให้เห็นอีกครั้ง หนึ่งในสมัยที่กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสด็จตรวจราชการโดยทรงปรึกษากับ พระยาทรงสุรเดชให้จัดถนนหนทาง ในเมืองเชียงใหม่ให้เป็นระเบียบ พระยากรงสุรเดช ปรึกษาเจ้าอุปราช และ เจ้าราชวงศ์ ขอรื้อ ตลาดกลางเวียง หน้าวัดพระสิงห์ไปจนถึงประตูช้างใหม่ และ ประตูช้างเผือกซึ่งสกปรก โดยจะทำให้เรียบร้อย และ ขอย้ายตลาด ไปไว้ที่ประตูสวนปรุง ชั่วคราว
ตลาดกลางเวียงหน้า วัดพระสิงห์นี้ในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ กล่าวว่า เป็นตลาดสำคัญที่เป็นแหล่งพบปะชุมนุม ของพ่อค้าจากเมืองต่างๆ การรื้อตลาด ที่เป็นเหมือนศูนย์กลางเศรษฐกิจของเมือง จึงเป็นเรื่องใหญ่
เมื่อถนนแล้วเสร็จเจ้าราชวงศ์ และ เจ้าอุปราชขอย้ายตลาดกลับมาตั้งหน้าวัดพระสิงห์ ถึง ตันโพธิ์กลางเวียง และให้พระยานริศราชกิจ แจ้งพนักงานตำรวจภูธรให้ทราบเพื่อจะได้ ไม่ขับไล่ราษฎรที่มาค้าขาย แต่พระยานริศราชกิจ ไม่เห็นด้วยและมีหนังสือตอบเจ้าราชวงศ์ว่าการย้ายตลาดกลับไปกลางเวียงนั้นทำให้รถม้าไปมาลำบาก และ สร้างความสกปรกบนถนน
ต่อมาเจ้าราชวงศ์มีหนังสือถึงร้อยเอก มิสเตอร์ดอลซ์ผู้บังคับการกองตำรวจภูธรชี้แจงเรื่องการย้ายตลาด และ ห้ามมิให้พลตระเวนขับไล่ราษฎร ที่ไปขายของแต่ มิสเตอร์ดอลซ์ เชื่อฟัง พระยานริศราชกิจ ข้าหลวงใหญ่มากกว่าภายหลังเจ้าสุริยวงษ์ กับ พระยาแสนหลวงจึงเป็นตัวแทนเจ้าอุปราช มาหารือกับ พระยานริศราชกิจ โดยอ้างว่า ...การซึ่งตั้งตลาดควรจะย้ายมาตั้งหน้าวัดพระสิงห์นี้ โดยเหตุที่ราษฎรพากัน นิยมนับถือว่าถ้าตลาดตั้งอยู่ ที่หน้าประตูสวนปรุงนั้นเป็นการผิดประเพณีไม่เป็นที่พอใจ ของพวกปีศาจที่รักษาบ้านเมือง จึงทำให้ขัดฝนไร่นาแห้งแล้ง ราษฎรทำการไม่เต็มภูมิลำเนา ขอให้พระยานริศราชกิจได้อนุเคราะห์ ย้ายตลาดตามความปรารถนา..."
เมื่อพระยานริศราชกิจ พิจารณาแล้วเห็นว่าการย้ายตลาดนี้ อาจทำให้เกิดความบาดหมาง และ ไม่เป็นผลดีต่อราชการจึงผ่อนผันให้ย้ายตลาดได้ตามความประสงค์ ของเจ้าอุปราชการที่บรรดาเจ้านายกล่าวอ้างว่าการตั้งตลาดที่ ประตูสวนปรุงนั้นผิดผี เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะตามความเชื่อ ของชาวเชียงใหม่ ประตูสวนปรุงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของตัวเมืองและถือว่าเป็น ประตูผีของเมืองเมื่อมีคนตายภายในตัวเมืองจะนำศพออกไปทางประตูด้านนี้เพื่อนำไปประกอบพิธีศพนอกเมือง
เมื่อเรื่องดังกล่าว ทราบถึงกรมหลวงดำรงราชานุภาพพระองค์จึงฝากให้ พระยาศรีสหเทพที่ขึ้นไปจัดราชการช่วยดูแล เมื่อพระยศรีสหเทพ ไต่สวนแล้วพบว่าเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับปีศาจแต่อย่างใด การที่เจ้าอุปราช ต้องการให้ย้ายไปตั้งที่เดิมนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่า เนื่องจากตลาดดังกล่าวมีการซื้อขายวันละหลายพันคนแต่ได้สร้างความสกปรก และ กีดขวางถนนจริง
พระยาศรีสหเทพ จึงเสนอให้ที่ว่างหลังวัดเจดีย์หลวงด้านทิศตะวันตกใกล้ประตูสวนปรุง และ ถนนกลางเวียงทำเป็นตลาดโดยให้เจ้านายลงเงินสร้างตลาด แล้วเก็บค่าเช่าตามอัตราที่กำหนดจนคุ้มค่าก่อสร้าง จากนั้นให้เก็บผลประโยชน์ต่ออีก ๑ ถึง ๒ ปีแล้วจึงยกตลาดให้หลวง พระยาศรีสหเทพตั้งชื่อตลาดนี้ว่า ตลาดทิพย์เนตร เนื่องจากเจ้าทิพเนตร เป็นผู้แผ้วถางตลาด และชักชวนให้เจ้านายเรี่ยไรเงิน
ในวันเปิดตลาดได้จัดให้มีพิธีใหญ่โดยเชิญเจ้านาย และ ข้าราชการมาประชุมพร้อมกัน ซึ่งบรรดาเจ้านายต่างแสดงความยินดีที่ตลาดครึกครื้นในที่ว่างกลางเมืองต่างคนต่างช่วยกันเรี่ยไรเงิน เพื่อสร้างร้านโรงแถวให้เช่าการนี้ไม่ได้รับการกล่าวอ้างว่า ปีศาจที่รักษาบ้านเมือง
ไม่พอใจอีกทั้งๆ ที่ตลาดอยู่ใกล้ประตูสวนปรุงเนื่องจากเจ้านายจำนวนหนึ่งได้รับผลประโยชน์จการก็บคำชำโดยผู้มีรายได้มากที่สุด น่าจะเป็นเจ้าทิพยเนตรภรรยาเจ้าอุปราชนั่นเอง
เห็นได้ว่าความเชื่อเรื่องผี ปีศาจประจำเมืองเป็นสิ่งที่บรรดาเจ้านาย นำมาใช้อ้างกรณี ที่เกิดความขัดแย้ง กับกรุงเทพฯ โดยระยะแรกกรุงเทพฯ ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องดังกล่าวมากนัก ภายหลังข้าหลวงที่ขึ้นมารับราชการยอมรับความเชื่อเหล่านี้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น พศ.๒๔๔๔
เจ้าอุปราชเมืองเชียงใหม่ขออนุญาตเบิกเงินจากคลังมณฑล ๔๐๐ รูปี เพื่อทำพิธีขอฝน เนื่องจากฝนไม่ตก ราษฎรไม่สามารถทำนาได้
โดยเจ้าอุปราชได้ทำพิธีที่มุมมืองทั้ง ๔ แจ่ง ที่ประตูเมืองทั้ง ๕ แห่ง และกลางเมืองอีก ๑ แห่งการนี้ข้าหลวงให้การสนับสนุนโดยอนุมัติให้นำเงินไปใช้ได้
จากการผ่อนปรนของข้าหลวงต่อสิ่งที่เป็นความเชื่อดั้งเดิมของชาวล้านนานี้ทำให้การกล่าวอ้างเรื่องความไม่พอใจของผีปีศาจค่อยๆ ลดลงการที่คนล้านนา นำความเชื่อพื้นบ้านเรื่องผีมาใช้เป็นพลังทางสังคมเพื่อต่อต้านการกระทำของกรุงเทพฯ เกิดจากความต้องการที่จะขจัดอำนาจของข้าราชการสยามออกไปจากสังคม เนื่องจากหมดหวังที่จะต่อสู้ในแนวทางอื่น จึงหันไปพึ่งพาผี หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ
ตัดตอนจาก หนังสือ เปิดแผนยึดล้านนา หน้าที่๑๔๖ เขียนโดย ผศ ดร.เนื้ออ่อน ขรัวทองเขียว
ภาพเก่า ตลาดกลางเวียงหน้าวัดพระสิงห์ เชียงใหม่
#เชียงใหม่ที่คุณไม่เคยเห็น