นิยายเรื่องแรกหลังจากไม่ได้เขียนมา ๘ ปี เรื่องนี้ใช้นามปากกา ปัณณ์รัก นะคะ
-1-
“เฮ้ย!” เสียงห้าวทุ้มดังขึ้นจากปากของชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทที่เพิ่งก้าวลงจากรถหรูซึ่งพนักงานรับรถของโรงแรมขับออกไปได้ครู่ใหญ่
ดวงหน้าคมสันก้มต่ำ มองดูขากางเกงที่เปื้อนเป็นรอยด่างเหนียวเหนอะก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังเด็กหญิงวัย 4 ขวบผู้มีดวงตากลมโต แก้มใส และปากเล็กๆรูปกระจับเป็นจุดเด่นบนใบหน้า
“หนูขอโทษ” หนูน้อยยกมืออูมๆขึ้นมาพนมแต้ พลางกล่าวขออภัยด้วยความตกใจที่ทำขวดยาในมือหกใส่กางเกงของผู้ใหญ่หน้าดุ หลังจากที่เธอวิ่งมาสะดุดใกล้ๆทางเข้าประตูโรงแรม
“หนูเช็ดให้นะ”ว่าแล้วเจ้าตัวก็เอื้อมมือเล็กๆของตนไปเช็ดรอยเปื้อนด้วยความสำนึกผิด
ทว่ากลับถูกผลักมือออกพร้อมตำหนิเสียงดุ “เล่นอะไร ทำไมไม่ดูตาม้าตาเรือ ไปไกลๆเลยนะ ที่นี่ไม่ใช่ที่เล่นของเด็ก”
เด็กหญิงตัวสั่น เงยหน้าขึ้นมองคนดุด้วยดวงตาพราวพร่างด้วยหยดน้ำตา ก่อนจะมีหญิงกลางคนร่างท้วมวิ่งตามเข้ามา พลางย่อตัวลงดึงร่างเล็กเข้าไปในอ้อมกอด “เกิดอะไรขึ้นคะหนูคำแก้ว”
ชวิศมองผู้มาใหม่ตาขวาง “เธอเป็นแม่ของเด็กคนนี้ใช่มั้ย ทำไมถึงปล่อยลูกออกมาวิ่งเล่นเพ่นพ่าน ที่นี่เป็นโรงแรมห้าดาวนะ ไม่ใช่สวนสาธารณะที่ใครจะเข้ามาก็ได้”
“เอ่อ..คือ” ขณะที่คนตอบอยู่ในอาการอึกอัก น้ำเสียงของใครบางคนก็ดังแทรกขึ้นแทน “นี่ลูกสาวฉันเอง ต้องขอโทษด้วยที่คำแก้ววิ่งมาชนคุณ”
ชวิศหันขวับมาตามเสียง เขานิ่งไปครู่ใหญ่เมื่อเห็นดวงหน้าคุ้นตานั้นดูนิ่งเฉยไร้ความเป็นมิตร ท่าทางของเธอประหนึ่งแม่เสือที่กำลังปกป้องลูก
“เธอเองหรือรินแก้ว” เขาถามอย่างไม่ต้องการคำตอบ
ถึงจะไม่ได้พบกันมานานถึง 5 ปีเขาก็จำหญิงสาวได้ดี แทบไม่น่าเชื่อ จากสาวน้อยเรียนจบใหม่ ดูเชย แต่งตัวไม่เป็น กลายเป็นสาวสวยคม รูปร่างสมส่วนตามมาตรฐานสาวไทย ยิ่งอยู่ในชุดสูทสีเลือดหมูก็ยิ่งดูดีจนผิดตา
“สวัสดีค่ะคุณ ชวิศ” รินแก้วทักทายตามมารยาท แต่ทำเอาชวิศถึงกับชะงักเมื่อ “พี่หนึ่ง”ในอดีตในวันนี้เธอเรียกว่า “คุณชวิศ”ทว่าเขามิได้แสดงท่าทีใดๆออกไป ยังคงยืนมองหญิงสาวยื่นแขนไปจับมือเล็กๆของลูกสาวเอาไว้ “คำแก้ววิ่งมาตามแม่ทำไมลูก ทำไมไม่อยู่กับป้าเพ็ญ”
หนูน้อยสั่นหน้า “หนูจะให้แม่ป้อนยานี่”
“หนูคำแก้วเธอไม่ยอมกินยาเลยค่ะ บอกแต่จะให้คุณแม่ป้อน”นางเพ็ญบอกพร้อมกับขยับตัวถอยออกมา
รินแก้วหัวเราะเบาๆ แววตาอ่อนโยนที่มองลูกสาวแตกต่างจากมองชวิศลิบลับ “กินยายากนะเรา จะกินยาทีไรก็อ้างจะต้องให้แม่ป้อนทุกทีเลย ปะ เดี๋ยวแม่ไปส่ง หนูกลับบ้านเลยดีกว่านะ”
“เดี๋ยว” ชวิศรีบเบรกแล้วกล่าวตำหนิเสียงแข็ง“คุณเป็นพนักงานในโรงแรมของผมแต่แอบเอาลูกมาเลี้ยงด้วยแบบนี้มันใช้ไม่ได้นะ ทำงานบริการแต่ลูกของคุณกลับทำความเดือดร้อนให้คนอื่น แล้วถ้าเกิดวิ่งไปชนแขก ทำเสื้อผ้าเขาเปื้อนเลอะเทอะจะทำยังไง”
“ทำไมหลานฉันจะมาที่นี่ไม่ได้”ก่อนที่รินแก้วจะตอบน้ำเสียงเข้มกังวานก็ดังขึ้นพร้อมกับเจ้าของเสียงปรากฏตัว
ทุกคนหันขวับไปมองหญิงวัยห้าสิบกว่าปีที่เดินมาหยุดอยู่ด้านหลังเด็กหญิงคำแก้ว
“แม่ว่าไงนะครับ หลานของแม่หมายถึงใคร” ชวิศทำหน้าสงสัยสุดขีด หันไปมองรินแก้ว เธอก็ทำหน้าเรียบเฉยไม่สนใจความใคร่รู้ของเขา
“คำแก้วนี่ไงหลานฉัน พอแกไปอยู่เมืองนอกฉันก็นึกว่าจะไม่กลับมาแล้วก็เลยรับรินแก้วเป็นลูกบุญธรรม ทีนี้เข้าใจหรือยัง”ผู้เป็นมารดาตอบขณะจ้องหน้าลูกชายคนเดียวเขม็ง
“แม่ครับ ผมไม่เคยพูดนะว่าจะไม่กลับมา” ชวิศแย้ง
“แต่แกก็ไม่เคยสนใจครอบครัวเลยนะตาหนึ่ง ไม่เคยดูดำดูดีกิจการต่างๆของแม่ โน่นไปทำตัวบ้าบออยู่เมืองนอกอยู่เป็นนานสองนาน พอบทจะกลับก็กลับดื้อๆ”กัญญาโต้กลับลูกชายด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก
“เดี๋ยวหนูไปส่งลูกที่บ้านก่อนนะคะแม่ คำแก้วไม่สบายแต่ไม่ยอมกินยา ป้าเพ็ญเลยต้องพามาที่นี่ค่ะ” รินแก้วบอกแม่บุญธรรมแล้วจึงย่อตัวลงนั่ง ดึงร่างลูกสาวเข้ามาแนบอก โดยใช้มืออีกข้างอังศีรษะน้อยนั้นเบาๆ
ด้วยความอยากโอ๋หลานสาวกัญญาจึงใช้หลังมือแตะแก้มใสแผ่วเบา “กินยาซะลูก เดี๋ยวตอนเย็นยายไปกินข้าวด้วยนะ”
คำแก้วยิ้มกริ่มและพยักหน้าหงึกหงัก “หนูจะรอคุณยายนะคะ”
“ไปลูก”รินแก้วลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือให้ลูกน้อยจับ ก่อนจะพากันเดินออกไปทางด้านหน้าโรงแรม
เมื่อทั้งสามคนเดินลับสายตาไปแล้วกัญญาก็ลุกขึ้นหันมาสบตาลูกชายโทนของตนเองที่ยืนรออยู่ “ไหนแกบอกแม่ว่าจะมาศึกษางาน ทำไมมายืนทะเลาะกับเด็กตรงนี้”
“ผมไม่ได้ทะเลาะแต่เด็กนั่นทำยาหกใส่กางเกงผม”
“แกก็เลยโวยวายใหญ่โต”ผู้เป็นแม่ต่อให้เสียเอง
“แต่แม่ครับ แม่ก็รู้ว่ามันไม่ถูกที่รินแก้วจะพาลูกมาที่ทำงาน เกิดอะไรขึ้นมาที่เสียหายคือโรงแรมของเรานะ” ชวิศยังท้วงไม่หยุด
ทว่าผู้เป็นแม่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน “คำแก้วอยู่ที่นี่ตลอด แล้วแม่ก็กำลังจะให้หลานมาถ่ายป้ายโฆษณาคู่กับหนูเพลงพรีเซนเตอร์โรงแรมเรา เรื่องพวกนี้แกคงยังไม่รู้เพราะเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไม่น่าเชื่อนะว่าจะยอมมาเรียนรู้งานที่เชียงใหม่นี่ นึกว่าจะหลงระเริงกับสาวๆที่กรุงเทพฯต่อ”
ชวิศมุ่นคิ้วพลางถอนหายใจ “ดูแม่ใช้คำนะ หลงระเริง ทำยังกะผมเป็นคนบ้าผู้หญิง ผมบอกแล้วไงว่าตั้งใจจะมาช่วยงานจริงๆ ผมเบื่อชีวิตแบบเดิมๆแล้ว”
“ก็ดี รู้จักเบื่อชีวิตพ่อพวงมาลัยได้สักที เดี๋ยวแกขึ้นไปรอแม่ที่ห้องทำงานนะ ขอแวะไปดูห้องจัดเลี้ยงก่อน” กล่าวจบผู้เป็นมารดาก็เดินแยกออกไปทันที
ชวิศมองตามด้วยความแปลกใจ เขาไปอยู่ต่างประเทศเพียง 5 ปี มารดาก็รับลูกสาวเพื่อนมาเป็นลูกบุญธรรมโดยไม่บอกให้เขารู้สักคำ แถมยายเด็กหัวฟูในวันเก่าก็กลายเป็นคุณแม่ลูกหนึ่ง มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ ใครจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังได้